ยังจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกทำไม?
สวีถังหรานที่ทำสีหน้าไม่ถูกรู้สึกอับอายนิดหน่อย แต่หลังจากที่เสียเปรียบเพราะเหมียวอี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าปิดบัง เพราะไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้มากน้อยแค่ไหน กลัวว่าถ้าโดนเปิดโปงจะยิ่งซวยกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะมาคิดบัญชีนี้กับตนในเวลานี้
หลังจากไตร่ตรองแล้ว สวีถังหรานก็ยิ้มแห้ง “ที่ตัวเองสะสมไว้ตอนฝึกตน ข้าจะกล้านำออกมาเสียที่ไหนกัน ตำหนักสวรรค์สั่งห้ามไม่ให้มีไว้ในครอบครอง เดี๋ยวตอนหลังจะไม่มีทางอธิบายได้ ของแบบนี้ตำหนักสวรรค์จะรับซื้อไว้ หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาเสร็จแล้ว มักจะมีคนนำมันไปขายในจุดที่ตลาดสวรรค์กำหนดให้ ซักถามตตรงประตูเมืองนิดหน่อยก็รู้แล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเห็นมีคนทำตัวเหมือนโจร ตอนสอบสวนจึงถือโอกาสสกัดยึดเอาไว้ ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้”
ได้! ไม่ต้องถามเหมียวอี้ก็รู้เหมือนกัน เจ้าคนที่ถูกเรียกว่า ‘ทำตัวเหมือนโจร’ เมื่อเจอคนใจดำอำมหิตอย่างสวีถังหราน ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว เกรงว่าของที่ ‘ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้’ ก็คงไม่ได้มีแค่สิ่งนี้เหมือนกัน
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ เหมียวอี้ชี้ไปยัง ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้าหามาให้ข้าอีกสิบหกชุด! จำไว้นะ จัดการเรื่องนี้ให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าเผยพิรุธให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นคนนำของสิ่งนี้มา!”
“สิบหกชุด?” สวีถังหรานถามอย่างระแวงสงสัย “ผู้บัญชาการใหญ่ มันมากไปหน่อยหรือเปล่า นี่ถ้ามีข่าวหลุดออกไป มันจะเกิดปัญหาใหญ่ได้นะ! ผู้บัญชาการใหญ่ ท่าจะต้องการเยอะขนาดนั้นไปทำไม? ของแบบนี้ต่อให้ใส่เข้าไปในอาวุธ แต่ก็ไม่กล้านำออกมาใช้อยู่ดี! ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”
เหมียวอี้กวักมือเรียก ให้เขาเอาหูเข้ามาใกล้ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงกระซิบบอกไม่กี่ประโยค
“หา!” หลังจากสวีถังหรานได้ฟัง ก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด “เอ่อ…นี่มันไม่เหมาะสมมั้ง! ภูมิหลังของสิบหกร้านนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะใช้วิธีปั้นเรื่องใส่ร้ายไปสู้ก็เกรงว่าจะไม่ง่าย เบื้องหลังจะต้องมีคนกระโดดออกมาชี้แจงเหตุผลให้แน่นอน ดีไม่ดีความซวยอาจจะตกมาอยู่ที่พวกเราด้วยซ้ำ”
เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าไม่ทำใช่มั้ย? ได้! ทำไมพวกเขาถึงมาหาเรื่องข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้สาเหตุ ข้าแตกคอกับพวกเขาก็เพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ทำ สงสัยข้าจะทำดีแต่กลับไม่ได้รับผลดีตอบ ก็ได้ ขนาดเจ้ายังไม่อยากได้ตำแหน่งนี้เลย แล้วข้ายังจะมีอะไรต้องพูดอีกล่ะ” เขาชี้ที่กำไลเก็บสมบัติบนมือสวีถังหราน “นำของที่สมควรต้องส่งมอบออกมาเถอะ สละตำแหน่งของเจ้าซะ ข้าจะได้ไปเจรจากับพวกเขา”
“ข้า…” สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม กุมหมัดกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ เพียงแต่อยากขอให้ผู้บัญชาการใหญ่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดี ทำแบบนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาเลย พวกเขากระดูกแข็งเกินไป ใช้วิธีการนี้กัดไม่เข้าหรอก ถ้าเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา พวกเราจะต้องซวยมากแน่นอน!”
เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตหรอก กลัวก็แต่เรื่องราวจะไม่ใหญ่โต ต้องใหญ่โตจนราชันสวรรค์รู้สิถึงจะดี ไม่อย่างนั้นใครจะยอมล่วงเกินชนชั้นสูงมากมายไปฟ้องราชันสวรรค์เพื่อตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราล่ะ? ต่อให้ไปขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ตระกูลโค่วก็ไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้นเพื่อพวกเราหรอก”
สวีถังหรานชะงักทันที เอามือลูบคางทำท่าทางครุ่นคิด แล้วลองถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ทำแบบนี้จะได้ผลเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล ต่อให้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเจ้าก็ต้องซวยอยู่ดี เจ้าอยากจะทิ้งโอกาสสุดท้ายในการพลิกสถานะเหรอ? เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากสูญเสียอำนาจไปหรือเปล่า? เจ้าอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานขนาดนี้ คงเห็นภาพสุนัขจมน้ำโดนเหยียบมาไม่น้อยหรอกมั้ง? แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นคนที่ซวยคนแรกก็คือข้า ข้าจะเอาชิตตัวเองมาล้อเล่นเหรอ?”
สวีถังหรานแวบตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กัดฟัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว กุมหมัดตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่วางใจได้ ไม่ต้องใช้เวลาสามวันหรอก ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในครึ่งวัน!”
เหมียวอี้อึ้งอยู่บ้าง ยังกังวลว่าให้เวลาเขาสามวันแล้วจะไม่พอ ดังนั้นจึงออกคำสั่งเด็ดขาดว่าให้เวลาเขาเพียงสามวัน ใครจะคิดว่าเจ้าชาติสุนัขจะรับประกันว่าจะจัดการได้ภายในครึ่งวัน สงสัยเจ้าเวรนี่จะมีประสบการณ์ในการทำเรื่องแบบนี้จริงๆ! แต่ก็ยังต้องเตือนอีกครั้งว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ทำให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าให้อุดปากถ้ำฝั่งนี้แล้วมีโพรงถ้ำฝั่งโน้นโผล่ออกมาอีก จะอุดก็อุดไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ระวังว่าข้าจะเอาหัวเจ้าไปอุดแทน”
“ข้าน้อยรู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้บัญชาการใหญ่รอข่าวดีจากข้าได้เลย!” สวีถังหรานพูดจบแล้วเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นหลายครั้ง ตอนนี้พอมาลองคิดถึงคำพูดอวิ๋นจือชิวแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวมีเหตุผลอยู่หลายส่วน เก็บพวกพวกลักเล็กขโมยน้อยไว้ข้างกายก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานเหมาะสมที่จะทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้ที่สุด อีกฝ่ายมีประสบการณ์โชกโชน นอกจากง่ายดายสบายมือแล้ว เวลาทำขึ้นมาก็ไม่รู้สึกหนักใจด้วย นี่คือการใช้ประโยชน์ได้ในเวลาที่จำเป็น!
จากนั้น เหมียวอี้ก็รีบเรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มาร่วมกันวางแผนลับ การเตรียมตัวถอยกลับพิภพเล็กหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลังจากวางแผนลับเสร็จแล้ว สำหรับเรื่องที่เหมียวอี้ดึงดันจะทำให้ได้ ทั้งสองค่อนข้างจนใจ เดิมทีทั้งสองเตรียมจะสละตำแหน่งตัวเองแล้ว ถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้เรื่องราวราบรื่น ในภายหลังยังมีโอกาส แต่เหมียวอี้ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว จะประลองกับกลุ่มพ่อค้าพวกนั้นให้ได้ จะพิสูจน์ให้ได้ว่าใครมีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์ ทั้งสองจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือ
เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้ว อิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างกังวลอยู่บ้างว่า “ให้สวีถังหรานไปทำเรื่องนี้ เขาจะไม่ทำข่าวหลุดเหรอ? ถ้าเขาเห็นท่าไม่ดีขึ้นมา จะไปขอพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า?”
“ไปพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นก็แปลว่าจะปกป้องตำแหน่งของเขาได้เหรอ? ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าพ่อค้าพวกนั้นต้องการอะไร แล้วอีกอย่าง ในมือข้าก็มีจุดอ่อนของเขาอยู่ ต่อให้เขาไปพึ่งพิงอีกฝ่ายแล้วยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มแล้วแสยะยิ้มอีก “ถ้าเขากล้าทำแบบนั้นจริงๆ ข้าก็จะจัดการเขาก่อน แล้วค่อยถือหัวเขาไปล้างเลือดตลาดสวรรค์!”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก แม้แต่คำว่าล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ยังพูดออกมาได้ สงสัยเจ้าห้าจะตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดฉากสังหารที่ตลาดสวรรค์!
ที่ประตูเขตเมืองตะวันตก ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูมองดูสวีถังหรานที่จู่ๆ ก็โผล่อยู่บนหอประตูเมืองและกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พวกเขาสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าท่านผู้บัญชาการโผล่ออกมาทำอะไรในเวลานี้…
ทว่าสวีถังหรานบอกไว้ว่าใช้เวลาครึ่งวัน ก็ใช้เวลาครึ่งวันจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันก็รีบร้อนมาที่ผู้บัญชาการใหญ่แล้ว
พอเห็นเขามา เหมียวอี้ก็โบกมือให้เป่าเหลียนทันที บอกใบ้ให้นางถอยไปก่อน
ถึงแม้เป่าเหลียนจะถอยออกไปแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้เห็นนางเป็นคนของตัวเองหรอกเหรอ
เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครแล้ว สวีถังหรานก็ไม่พดพร่ำทำเพลง นำขวดผลึกใบเล็กที่บรรจุ ‘ความปรารถนาร้าย’ สีดำขึ้นมากองบนโต๊ะ ในจำนวนนั้นยังมีหลายใบที่เป็นวดขนาดใหญ่ด้วย “ผู้บัญชาการใหญ่ นำของมาแล้ว มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ยี่สิบสองขวด พอใช้รึเปล่า?”
เหมียวอี้ตรวจสอบครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันคล่องจริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำภารกิจสำเร็จสำเร็จแบบเกินจำนวนแล้ว ไม่พูดไม่ได้แล้วว่าเขาประเมินเจ้านี่ต่ำไป
“นี่คือรายชื่อร้านค้าสิบหกร้าน…” เหมียวอี้โยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เขา แล้วถ่ายทอดเสียงสั่ง
สวีถังหรานพยักหน้า หลังจากจำได้แล้วก็รีบเก็บขวดทั้งใบเล็กใบใหญ่ แล้วก้าวยาวออกไป!
เห็นได้ชัดเจนมาก ขอเพียงไม่ใช่เรื่องต่อสู้เข่นฆ่า ลักษณะการทำงานของสวีถังหรานก็รวดเร็วเด็ดขาดมาก!
หลังจากสวีถังหรานไปได้ไม่นาน ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็มาอีกครั้ง
“เจ้าห้า สืบมาชัดเจนแล้ว! ร้านค้าที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลังร้านค้าสิบหกร้านนี้ มีทั้งหมดสองร้อยห้าร้าน รวมกับสิบหกร้านนั้นด้วยก็เป็นสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้าน!” ฝูชิงยื่นแผ่นหยกให้เหมียวอี้
“เงินเยอะแล้วเสียงดังกว่าคนอื่นจริงๆ ด้วย!” หลังจากเหมียวอี้รับมาอ่านในมือแล้ว ก็ถามอีกว่า “ในเวลานิดเดียวแค่ก็รู้ชัดแล้วเหรอ? พี่รอง มีอะไรตกหล่นหรือเปล่า?”
ฝูชิงตอบว่า “ร้านค้าพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เปิดเผยโจ่งแจ้ง พวกเราก็แค่รวบรวมข้อมูลนิดหน่อย ไม่มีผิดพลาดหรอก นอกเสียจากจะยังแอบซ่อนอะไรเอาไว้ไม่ให้คนอื่นรู้อีก ถ้ามีจริงๆ อีกฝ่ายจงใจปิดบังแบบนี้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสืบได้ภายในเวลาสั้นๆ”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วมองทั้งสองพร้อมบอกว่า “พี่รอง พี่สาม เอาตามนี้แล้วกัน พรุ่งนี้หลังจากฟ้าสางแล้วมารวมตัวกันที่นี่ ก่อนหน้านั้นอย่าปล่อยข่าว ป้องกันไม่ให้รู้กันหลายปากแล้วข่าวหลุด!”
ทั้งสองเอ่ยรับแล้วออกไป
เป่าเหลียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าการที่พวกผู้บัญชาการเข้าออกที่นี่บ่อยขนาดนี้หมายความว่าอะไร ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ยังไม่เคยเห็นผู้บัญชาการพวกนี้เข้าออกที่นี่ซ้ำไปซ้ำมาภายในวันเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยปกติ กอปรกับสถานการณ์ใช่ช่วงนี้ นางรู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
พอตกเย็น เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ มาหาข้าที่นี่สักรอบ
เหมียวอี้ตอบว่า : ข้ามีธุระ ไปไม่ได้ มีเรื่องสำคัญอะไร?
อวิ๋นจือชิว : มีคนจากสมาคมร้านค้ามาบอกข้า มาเตือนว่าตั้งแต่นี้ไปให้ข้าเลิกมอบผลประโยชน์และมอบของขวัญทุกอย่างกับขุนนางทหารที่เฝ้าเมือง ไม่อย่างนั้นสมาคมร้านค้าก็มีหนทางที่จะสู้กับพวกเราแน่ หลางหลางกับหวนหวนก็ได้รับข่าวนี้เหมือนกัน สงสัยคนพวกนั้นคงจะเริ่มลงมือกับเจ้าแล้ว!
เหมียวอี้ : ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดี๋ยวจะมีคนออกหน้ามาแก้ปัญหาให้! ไม่คุยแล้ว ข้ายังมีแขก
ไม่ได้พูดอะไรมากอีก และไม่ได้ไปหาด้วย เหมียวอี้กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะเผยเบาะแสเสียก่อน ทั้งสองมีแนวคิดในการทำงานไม่ค่อยเหมือนกัน ถ้าปล่อยให้อวิ๋นจือชิวรู้ นางจะต้องห้ามไว้แน่ ดังนั้นจึงเตรียมจะปิดบังไว้ เตรียมจะทำก่อนแล้วค่อยบอก
ไม่ใช่แค่อวิ๋นจือชิวที่มาฟ้อง ท่าวแม่สวีแห่งหอกลิ่นสวรรค์และหวงฝู่จวินโหรวก็ทยอยสั่งให้คนนำจดหมายที่ปิดผนึกแน่นมาส่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ทั้งสองสะดวกจะไปมาหาสู่กับเหมียวอี้โดยตรง พอเหมียวอี้ฉีกจดหมายอ่าน ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก กำลังพูดถึงเรื่องนั้นเช่นกัน
“หึหึ!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ พลิกฝ่ามือเผาจดหมายทิ้งในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นเอามือไขว้หลังเดินมาตรงประตู “เป่าเหลียน เชิญผู้บัญชาการฝูมาที่นี่หน่อย!”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับแล้วออกไป
ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงก็มาถึงแล้ว ภายนอกก็ทำความรพผู้บัญชาการใหญ่ แต่พอเดินขึ้นบันไดไปแล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไร?”
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่รอง นอกจากรายชื่อเมื่อตอนกลางวัน ช่วยร่างราชื่อให้ข้าอีกสักฉบับ ร้านค้าร้อยอันดับแรกของตลาดสวรรค์ อย่าให้ขาดไปแม้แต่ร้านเดียว เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งร้อยร้าน!”
ฝูชิงตกใจ “พื้นที่กว้างเกินไปหรือเปล่า ร้านค้าหนึ่งร้อยอันดับแรก…นี่เจ้าต้องล่วงเกินชนชั้นสูงทั้งหมดของตำหนักสวรรค์เลยนะ! ตระกูลโค่วก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่คนช่วยเจ้าพูดสักคนก็จะไม่มี!”
เหมียวอี้ตอบเพียงคำเดียวว่า “ตอนนี้ข้ายังต้องกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตเกินไปอีกเหรอ? พี่รอง นำรายชื่อมาให้ข้าก่อนฟ้าสว่าง”
“เฮ้อ!” ฝูชิงถอนหายใจ แล้วพยักหน้าเดินออกไป…
หลังจากฟ้าสาง ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหราน มู่หรงซิงหัว ผู้บัญชาการของเขตเมืองทั้งสี่มาถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว
เมื่อก้าวเข้ามาในจวนผู้บัญชาการใหญ่ ก็เห็นเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพังบนหลังคาที่โค้งขึ้นสวยงาม เงยหน้ามองแสงแดดยามเช้าที่อ่อนโยน สีหน้าเรียบเฉย ชุดคลุมปลิวสะบัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน ทำให้คนรู้สึกว่าอยู่บนที่สูงแต่ไม่หนาว บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้สภาพจิตใจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ จึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
มู่หรงซิงหัวย่อมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อเหมียวอี้ นางมองไปที่อีกสามคน ไม่รู้ว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่จึงเรียกพบในเวลานี้ ทว่าไม่พบคำตอบใดๆ จากใบหน้าของทั้งสามคนเลย
ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในลานบ้าน แล้วกล่าวทำความเคารพพร้อมกัน “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
…………………………