พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1075 ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

บทที่ 1075 ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

บนพื้นที่ว่างนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก กำลังพลสี่เขตเมืองมารวมตัวกันที่นี่อย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์จากการรวมตัวก็คือ ผู้ต้องสงสัยที่จับมาจากร้านค้าต่างๆ ถูกโยนออกมาแล้ว กระแทกตกลงปนกันเหมือนเนื้อและผักในอาหาร

ชั่วพริบตาเดียวก็มีคนสี่พันห้าพันคนถูกคุมตัวออกมา แต่ละคนสภาพจนตรอกสะบักสะบอม มีคนไม่น้อยที่เปื้อนเลือดเต็มตัว ถูกซ้อมจนมีบาดแผลไปทั่วไป

ณ ที่ตรงนั้น ถ้ารวมกับทหารสวรรค์หลายพันคน ก็ทำให้คนเยอะจนเกลื่อนกลาดไปยันถนนใกล้เคียง

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

กลุ่มทหารสวรรค์เดินผ่ากลางระหว่างกลุ่มผู้ต้องสงสัย เกราะรบสว่างจ้าตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ควงดาบโบกทวนชี้ไปทั่วราวกับเป็นอันธพาลชั่วร้าย เสียงตะคอกดังขึ้นเป็นระลอก บังคับให้ผู้ต้องสงสัยคุกเข่าลงหน้าประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ

มีบางคนแข็งข้อไม่ยอมคุกเข่า “อา!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังขึ้นทันที มีคนควงดาบฟันแล้ว ฟันจนขาสองข้างกระเด็น ดูซิว่าเจ้าจะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่า!

บางคนก็ยิ่งกว่านั้น พอแสงสะท้อนคมดาบกะพริบ เลือดสดก็พุ่งขึ้นฟ้า ศีรษะถูกตัดกระเด็น ไม่มีที่ว่างให้เจรจากันเลย กลุ่มพ่อค้าพากันคุกเข่าเป็นแถบๆ ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่า ทุกคนคุกเข่าพร้อมกันก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร

แม้แต่อวี้ซวีเจินเหรินที่ลังเลและคุดเข่าช้านิดหน่อย ก็ถูกคนเตะให้คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนกัน

หลังจากถูกจับออกมาจากกระเป๋าสัตว์ หวงฝู่จวินโหรวที่ผมงามยุ่งสยายก็ตกใจกับภาพเห็นการณ์ที่เห็น แต่ใครจะคิดว่าข้างหลังจะมีคนจับคอนางกดทันที พร้อมทั้งมีคนเตะที่ข้อพับหลังเข่าในนั่งลง ไม่คุกเขาก็ต้องคุกเข่า คุกเข่าลงพื้นอย่างมั่นคง ความเดือดดาลในใจนางยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พลังอิทธิฤทธิ์ถูกผนึกจึงไม่มีทางขัดขืน

หารู้ไม่ว่านางยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นศีรษะของหายไปนานแล้ว เมื่อมองดูศีรษะและขาหลายข้างที่โดนฟันกระเด็นอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่องก็จะรู้เอง

เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจหวงฝู่จวินโหรวยากจะสลายหายไปจริงๆ ตลอดชีวิตนางไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก!

ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว คุกเข่าก็คุกไปแล้ว ไม่คุกเข่าก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงปะปนอยู่ในกลุ่มคนและคุกเข่ากัดฟันอยู่อย่างนั้น มีอารมณ์วู่วามอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ผู้บัญชาการทั้งสี่คนมาเจอกัน พวกมองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการจริงๆ บังคับทาสประจำตระกูลของชนชั้นสูงสี่ห้าพันคนให้คุกเข่า กวาดล้างผู้มีอำนาจระดับบนของตำหนักสวรรค์จนแทบไม่เหลือ!

ทั้งสี่คนหันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่อาศัยแค่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนี้ ทั้งสี่ก็แอบทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้แล้ว!

ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าทั้งสองจะเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้หรือไม่ อย่างน้อยภายนอกทั้งสองก็มียศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็แยกยืนเป็นแถวอยู่ทางซ้ายและขวา

ภายใต้การถ่ายทอดเสียงคุยกันของทั้งสี่ ร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่อยู่อันดับต้นๆ ในรายชื่อถูกคุมตัวมาอยู่ข้างหน้า คนของร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่เหมียวอี้เพิ่มเข้าไปตอนหลังเพราะความโมโหคุกเข่าอยู่ด้านหลัง กันคนสองกลุ่มออกจากกัน แบ่งแยกความแตกต่างชัดเจน

ส่วนเย่สวินเกาและผู้จัดการของสิบหกร้านค้า ก็ถูกลากออกมาท่ามกลางกลุ่มคน มาแยกคุกเข่าเป็นสี่แถวตรงจุดหน้าสุดที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด แต่ละคนคุกเข่าอยู่อย่างนั้นด้วยสภาพที่ถูกซ้อมจนสาหัสยับเยินถึงขีดสุด

ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้กำหนดให้ดูแลสิบหกคนนี้เป็นพิเศษ

ผู้จัดการทั้งสิบหกคนมองประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างแววตาลุกเป็นไฟ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร บุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว เอาไว้รอคิดบัญชีกับขุนนางสุนัขนี่ทีหลัง!

ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสามคนไม่แยแสแววตาดุร้ายของพวกเขา ยืนรอคอยอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น

ส่วนรอบข้างก็ยิ่งมีคนมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหัวซอยท้ายซอย ทั้งยังมีบนหลังคารอบๆ จวนผู้บัญชาการ กลุ่มคนที่เบียดเสียดทว่าเงียบเชียบไร้เสียงกำลังเบิกตากว้างมามองตรงนี้ มีแต่ความรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ เหลือเชื่ออยู่บนใบหน้าพวกเขา

อวิ๋นจือชิว สองพี่น้องโอวหยาง เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์เบียดกันอยู่บนหลังคาและกำลังมองภาพเหตุการณ์ตรงนี้อย่างงุนงง พวกนางกังวลเรื่องทางนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะดูจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนช่างไม้กับช่างหินก็คอยยื่นมือกันข้างหลังให้พวกนาง กันไม่ให้คนอื่นๆ เข้าใกล้พวกนาง

คนหลายพันคนนั่งคุกเข่า ภาพนี้ยิ่งใหญ่อลังการเกินไปจริงๆ โอวหยางหลางหันกลับมา แล้วถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่สาว นี่นายท่านกำลังจะทำอะไร?นี่เป็นคำสั่งของนายท่านจริงเหรอคะ?”

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “จะทำอะไรได้ล่ะ? ก็เพื่อจะเอาชนะไง ผู้ชายบ้านเราเป็นบ้าไปแล้ว! สงสัยพวกเราคงต้องรีบแอบหนีกลับพิภพเล็กเร็วๆ นี้แล้วล่ะ! ไม่ใช่สิ บางทีอาจจะมีแค่เขาที่หนีกลับไป พวกเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ถึงอย่างไร…”

สายตานางหยุดชะงัก บังเอิญไปเห็นคนที่คุ้นตาคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน หวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชน!

ตอนแรกนางยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป แต่หลังจากเห็นพนักงานหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงได้กล้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง

เมื่อเห็นหวงฝู่จวินโหรวนั่งคุกเข่าด้วยสภาพสะบักสะบอมผมยุ่งสยาย อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้างุนงง ทำไมแม้แต่นางก็จับมาคุกเข่าด้วย หนิวเอ้อร์ทำกับนางแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? หรือว่าสิ่งที่ตนคาดเดาผิดพลาดมาตลอด? ใส่ร้ายเขาอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด?

ตรงริมหน้าต่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงและนางรำคนอื่นๆ ของหอกลิ่นสวรรค์เบียดกันดูอยู่ตรงหน้าต่างเช่นกัน แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ตรงนั้นมีผู้จัดการร้านที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งมากมายที่พวกนางคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ละคนกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพวกเขา

สำหรับคนที่รู้จักภูมิหลังของผู้จัดการพวกนั้น นี่คือเหตุการณ์ที่เขย่าขวัญมาก สำหรับผู้จัดการร้านค้าที่โชคดีไม่เป็นอะไร เหตุการณ์นี้สะเทือนใจสุดๆ!

ส่วนคนที่ผ่านทางมาชั่วคราวก็แค่ประหลาดใจเท่านั้น กำลังสุมหัวกระซิบกระซาบสืบข่าวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แกรก! แกรก!

เสียงฝีเท้าที่มั่นคงแผ่วเบาทว่ามีจังหวะดังมาจากในจวนผู้บัญชาการ

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลีกทางถอยไปทางซ้ายและขวาทันที กุมหมัดคารวะไปทางประตูใหญ่

ทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูใหญ่ก็รีบกุมหมัดคารวะเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของตรงนี้ทำให้รอบข้างเงียบสงัดทันที สายตาของทุกคนมองไปยังทิศทางเดียว เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาอย่างชัดเจน

ภายใต้แสดงอาทิตย์ที่สว่างสดใส ร่างสูงตระหง่านที่สวมเกราะรบสีม่วงค่อยๆ ก้าวมาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ ย่างก้าวมั่นคงหนักแน่น ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา เกราะม่วงบนตัวถูกปกคลุมด้วยรัศมีสวยวิจิตรตระการตาหนึ่งชั้นอันเกิดจากการประสมของสีทองและสีม่วง บางทีฝูงชนอาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมของสถานที่ตรงนั้น การปรากฏตัวของผู้ที่มาทำให้คนรู้สึกเคารพเลื่อมใสตามไปด้วย

รองท้ายาวโลหะสีม่วงตรงเท้าของเหมียวอี้หยุดเดิน เขาหยุดอยู่นอกประตูจวนผู้บัญชาการ องอาจผึ่งผาย แววตาเย็นเยียบดุร้าย สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ลักษณะอันทรงพลังของผู้บัญชาการใหญ่แผ่คลุมคนทั้งพื้นที่ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้เพียงคำเดียวว่า…ไม่เห็นใครอยูในสายตา!

คนที่ไม่เคยเห็นเขามาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคือใคร

ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น สายตาที่จ้องอยู่บนตัวเหมียวอี้ฉายแววเคลิบเคลิ้มในชั่วพริบตาเดียว  แต่ละคนร้องอุทานในใจ ช่างเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ที่ทั้งหล่อและมีความสามารถ มีรสชาติของความเป็นลูกผู้ชาย ช่างมีพลังอำนาจ!

ส่วนพวกผู้ชายก็หวาดกลัวในใจ ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!

แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเห็นเหมียวอี้ตอนตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้งงัน ก็มองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงนั้นอีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยุติเรื่องนี้อย่างไร เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งเกลียด!

ส่วนสองพี่น้องโอวหยางและคนอื่นๆ ที่ดวงตาฉายแววทึ่งก็กำลังรู้สึกลุ่มหลงมัวเมา นี่คือผู้ชายของพวกนาง รู้สึกค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม!

ช่างไม้กับช่างหินมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่ายิ่งเหมียวอี้มีอำนาจเพิ่มขึ้น ลักษณะท่าทางก็ยิ่งน่าเกรงขามจริงๆ!

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่ทั้งรักทั้งเกลียดเหมียวอี้ ในตอนนี้ก็คุกเข่ามองด้วยความตะลึงงันเช่นกัน

ท่านแม่สวีที่อยู่ตรงหน้าต่างเห็นแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่คือเจ้าหนุ่มที่เคยมานั่งดื่มน้ำชาที่หอกลิ่นสวรรค์บ่อยๆ!

แกรก! เสียงเกราะรบที่ขยับพร้อมกันเป็นแถบๆ ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้กลับมา ทุกคนกวาดสายตามองสถานที่เกิดเหตุ เห็นเพียงทหารสวรรค์ทุกคนกุมหมัดคารวะไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ

วิธีการที่ทหารสวรรค์หลายพันที่ทำความเคารพพร้อมกันโดยไร้เสียงยิ่งเพิ่มพลังอำนาจ กอปรกับคนหลายพันที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายใต้ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้ความน่าเกรงขามทั้งหมดไปรวมอยู่บนตัวของผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ พลังอำนาจแบบนั้นทำให้คนที่มาล้อมดูรู้สึกกดดันมหาศาล ราวกับคนคนนั้นคือศูนย์กลางของโลกใบนี้!

เหมียวอี้โบกมือส่งๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นก็ได้ยินเสียงเกราะรบขยับอีกพักหนึ่ง ดังเสร็จแล้วก็เงียบ ทุกคนหยุดทำความเคารพแล้ว

เหมียวอี้เอียงศีรษะมองฝูชิง แล้วก็มองไปทางตำหนักคุ้มเมือง

ฝูชิงพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้เขาวางใจได้ เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ตามแผนการที่วางไวก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงปี้เยว่ฮูหยินปรากฏตัว กำลังพลที่อยู่ทางนี้ก็จะรู้ทันที จะไม่ส่งผลกระทบกับเรื่องนี้

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า “เดี๋ยวกลับไปควบคุมของที่ยึดได้ทันที นี่คือทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ถ้ากู้สถานการณ์ทางนี้ไม่ได้ พวกเราก็จะนำของกลับพิภพเล็กทันที ถ้ายังสามารถถ่วงเวลาได้อีก ก็ยึดให้ได้มากๆ หน่อย”

ฝูชิงอึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็ยังทำแบบนี้ได้ เขาพยักหน้าอีกครั้ง บอกใบ้ว่าทราบแล้ว

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ก้าวไปข้างหน้า ส่วนพวกฝูชิงก็ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังเขา

พวกเย่สวินเกาที่โดนซ้อมจนสภาพอนาถเกินทนมองเงยหน้าขึ้นมา แต่ละคนมองเขาด้วยแววตาดุร้าย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีก ไม่อยากเห็นใครบางคนมันทำท่าเหิมเกริมมองต่ำลงมา

เหมียวอี้กลับเดินไปข้างกายทหารที่เฝ้าคุม ยื่นมือชักกระบี่ออกมาจากเอวอีกฝ่าย แล้วใช้คมกระบี่เสยแตะที่คางของเย่สวินเกาสองครั้ง เสยศีรษะที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อวานยังหยิ่งผยองอยู่เลยนี่ ตอนนี้เห็นผู้บัญชาการใหญ่แล้วทำไมหน้าม่อยคอตกกันเป็นแถวเลยล่ะ?”

กระบี่ยาวในมือย้ายไปบนหน้าหวงลีสิ้งที่อยู่ข้างๆ คมกระบี่เสยไปตรงรูจมูกของเขา เขี่ยใบหน้าให้เงยขึ้นมา “เมื่อวานยังพูดเสียงดังอยู่เลยนี่? ตอนนี้เป็นใบ้แล้วเหรอ?”

ในบรรดาผู้จัดการร้านทั้งสิบหกคน หวงลีสิ้งสภาพยับเยินที่สุดแล้ว แขนสองข้างถูกอิงอู๋ตี๋ฉีกขาด ตอนนี้กำลังจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายอำมหิต “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว!”

“ผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่การใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว พ่อค้ากระจอกๆ อย่างเจ้ากับผู้บัญชาการใหญ่คนนี้มีคำว่า ‘ส่วนรวม’ เสียที่ไหน ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่กำลังลงโทษเจ้าอยู่ต่างหาก!” พอพูดจบ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้ก็ปาดขึ้นมา แววตาสะท้อนเงาเลือด

“เอื้อ…” หวงลีสิ้งทำสีหน้าขื่นขมทันที เจ็บปวดจนอวัยวะบนใบหน้าขมวดย่น ตรงจมูกมีเลือดไหลราวกับน้ำกรอก ถูกเหมียวอี้ปากจมูกทิ้งแล้ว

ไอ้เวรนี่มันบ้าไปแล้ว! ผู้จัดการสิบกว่าร้านที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง เมื่อวานยังชักสีหน้าใส่เหมียวอี้อยู่ตรงตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย วันนี้ดันกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่างก็นึกไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับพวกเขาที่ตลาดสวรรค์ บ้าไปแล้ว!

เย่สวินเกาที่ทำเหมือนโดนกระบี่ปาดหน้าตัวเองแยกเขี้ยวยิงฟันกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่ากำเริบเสิบสายเกินไปนัก! ข้าแนะนำให้เจ้าวางมือดีกว่า อย่าทำเรื่องนี้ให้เลยเถิด ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”

เหมียวอี้กำลังใช้คมกระบี่ชี้ผู้จัดการสิบหกคนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินแล้วก็เก็บกระบี่กลับมา แล้วใช้ตัวกระบี่เคาะศีรษะเย่สวินเกาอีก “ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมาพูดจากับข้าแบบนี้ล่ะ? เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”

ภายใต้การใช้กำลังขู่คุกคาม เย่สวินเกาก็กลัวเหมือนกัน เขาสีหน้าซีดเผือด กล่าวอย่างหอยหายใจเล็กน้อยว่า “ข้าเป็นขุนนางประจำตระกูลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ถ้าเจ้าบุ่มบ่ามแตะต้องข้า เทพประจำดาวไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

เพี้ยะ! เหมียวอี้พลิกเปลี่ยนด้านกระบี่ในมือแล้วตบหลังศีรษะเขา ตบจนเขาล้มคะมำลงพื้น

เหมียวอี้ยกเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว รองเท้ายาวโลหะสีม่วงข้างหนึ่งเหยียบบนใบหน้าด้านข้างของเย่สวินเกา เหยียบศีรษะจนติดแหง็กบนพื้นอย่างเย่อหยิ่งไร้ที่เปรียบต่อหน้าฝูงชน ใช้มือข้างเดียวจับกระบี่ค้ำพื้น พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “บอกข้ามาซิ ว่าเกราะม่วงหนึ่งแถบบนตัวผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ได้รับรางวัลมาจากใคร?”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset