คำพูดนี้ ช่างเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ปรารถนาแต่ไม่เคยสมหัวงสักที!
ขณะที่มองตามหวงฝู่จวินโหรวจากไป เหมียวอี้ก็แอบสะใจ เฝ้ารอให้หวงฝู่จวินโหรวรีบไปร้องเรียนเบื้องบนไวๆ สมาคมวีรชนเป็นหูเป็นตาให้ราชันสวรรค์ คงจะช่วยตนรายงานเรื่องนี้ให้ถึงหูเบื้องบนสุดได้โดยดเร็ว คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้แต่ของของสมาคมวีรชนยังถูกตนยึดไว้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวน่าจะไม่มีทางปิดบังได้
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ครั้งนี้ล่วงเกินผู้หญิงคนนี้อย่างโหดเหี้ยมพอสมควร เดาว่าในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากการพัวพันของผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นตนก็ทนความยั่วยวนจากความงามล่มเมืองของผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว เอาแต่ตัดไม่ขาดจนใจว้าวุ่นอยู่เสมอ
จากนั้นเขาก็หันตัวกลับมา ถอดชุดเกราะ นั่งลงใต้เถาวัลย์สีเขียว ยกกาน้ำชารินดื่มเพียงลำพัง
เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ไม่มีทางควบคุมได้แล้ว สิ่งที่สามารถทำได้ก็มีแค่รอต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมอย่างแท้จริง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หนีไป
รอปสักประเดี๋ยว เป่าเหลียนก็มารายงานอีก บอกว่าอวี้ซวีเจินเหรินขอพบ เหมียวอี้พยักหน้าเชิญ
จนกระทั่งนำอวี้ซวีเจินเหรินมาถึง เหมียวอี้ก็รีบลุกขึ้นและก้าวขึ้นมา ก่อนจะโค้งตัวค้างไว้ “เจินเหรินโปรดระงับโทสะ ดูหมิ่นเจินเหรินแล้ว เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ไร้มารยาท ขออภัยเจินเหริน!”
อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน “คุกเข่าพร้อมกับทุกคน ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่เปิดฉากสังหารหมู่ใหญ่โตขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยพิจารณาถึงผลที่ตามมาจริงๆ?”
“เจินเหรินเชิญนั่งแล้วค่อยๆ คุยกันเถิด!” เหมียวอี้ยื่นแขนเชิญเข้ามานั่งข้างโต๊ะหินใต้เพิงเถาวัลย์ หลังจากรินน้ำชาเพื่อขอโทษด้วยตัวเอง ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สถานการณ์ของข้าก่อนหน้านี้ เจินเหรินเองก็รู้เช่นกัน ข้าเองก็โดนร้านค้าพวกนั้นกดดันจนหมดทางเลือก ครั้งนี้ทำให้เจินเหรินลำบากไปด้วยแล้ว ข้าหมดหนทางแล้วจึงได้ทำแบบนี้ ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ก็ทำไปดูไปทีละขั้นตอนแล้วกัน!”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มาก อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแต่แววตาที่มองเหมียวอี้ค่อนข้างซับซ้อนหลากอารมณ์ ตอนแรกที่เข้าสำนักลมปราณ เป็นคนหนุ่มที่ดีขนาดไหน ศิษย์พี่ถึงขั้นอยากรับเข้ามาเลี้ยงให้เป็นผู้สืบทอดสำนัก ตอนนี้พอเข้ามาอยู่ในวงการขุนนาง เมื่ออยู่ในถังย้อมขนาดไหน ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ชีวิตคนหลายพันคนก็สามารถสั่งประหารได้โดยไม่กะพริบตา ฆ่าคนหัวคนกลิ้งเต็มพื้น เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใจดำอำมหิตขนาดไหน
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปลื้มใจก็คือ อีกฝ่ายยังคงเคารพนอบน้อมเขาเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าสันดานเดิมยังไม่ถูกกลบไป…
ณ ตลาดสวรรค์ ไม่ได้มีแค่มู่หรงซิงหัวเท่านั้นที่ติดต่อกับเฉาว่านเสียง ผู้จัดการของร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาล้อมดูการสังหารหมู่ พอต่างคนต่างกลับมาถึงร้านค้าของตัวเองแล้ว ก็รีบติดต่อกับเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังเช่นกัน พากันเล่าสถานการณ์ของที่นี่ให้ฟัง
ส่วนจะปฏิบัติตามคำสั่งโดยการสารภาพเรื่องที่สมาคมร้านค้ามาขอความร่วมมือฝ่ายตัวเองเพื่อต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ก็ยังต้องฟังความคิดเห็นของเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เพียงประเดี๋ยวเดียว ตอนนี้แพร่กระจายลึกไปยังอวกาศอันไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว
ณ ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกภูเขาจำลองขับให้เด่น อวิ๋นจือชิวนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็นิ่งเงียบไปนานมากเช่นกัน เชียนเอ๋อร์ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน จะถามนายท่านดีมั้ยเจ้าคะว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?”
“ไม่ถามแล้ว รอให้ถึงเวลาที่เขาเต็มใจจะบอกข้าก่อนแลวค่อยว่ากัน!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ ดูใจคอแห้งเหี่ยว ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่นานในดวงตางามก็ฉายแววเหม่อลอยอีกครั้ง
ณ จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ใหญ่โตมโหฬาร ในนั้นมีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง ชายวัยกลางคนจำนวนมากกำลังเดินร่วมทางช้าๆ อยู่บนทางเล็กในป่า ที่ทั้งสูงเตี้ยอ้วนผอม แต่ละคนมีสง่าราศีไม่ธรรมดา มีลักษณะเหมือนอยู่เหนือคนอื่นมานาน
ชายหนุ่มหนวดสั้นที่กำยำล่ำสันและสวมชุดผ้าแพรอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือผังก้วน เทพประจำดาวฟ้าเถาะนั่นเอง
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ สรุปก็คือสุดท้ายกุมหมัดกล่าวอำลากัน คนที่เดินร่วมทางมาด้วยกันทยอยกันออกไปจากตรงนั้น
หลังจากกกุมหมัดคารวะส่งเพื่อนร่วมงานแล้ว ผังก้วนที่เอามือไขว้หลังก็นำบ่าวชราเดินไปข้างหน้าต่อ
เดินออกจากป่าที่เขียวชอุ่ม ในทุ่งดอกไม้ตรงหน้าที่เบ่งบานตระการตาราวกับผ้าแพรมีศาลาที่งดงาม ชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่แปลกตานานาชนิด สตรีวัยกลางคนที่งามเลิศล้ำคนหนึ่งถูกให้ความสำคัญ มีคนเดิมติดตามกันเป็นกลุ่ม ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่
เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ ผังก้วนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หาทางเบี่ยงอีกทาง หมายจะเดินอ้อมออกไปข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าสตรีชั้นสูงคนนั้นจะตาแหลม ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกลๆ “นายท่าน! นายท่านหยุดก่อน!”
ผังก้วนหยุดฝีเท้า ฮูหยินที่แต่งกายหรูหราหันหน้ากลับมาโบกมือเช่นกัน ไล่ชายหญิงกลุ่มนั้นให้แยกย้ายกันออกไป พาแค่ชายหนุ่มรูปงามหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งเดินเข้ามา
พอเดินเข้ามาใกล้ สตรีที่แต่งกายหรูหราก็วางมือย่อเข่าทำความเคารพ พร้อมกล่าวเรียกด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “นายท่าน!”
ชายหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านอาเขย!”
สตรีที่แต่งกายหรูหราไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจาหรูเยี่ยนฮูหยินภรรยาเอกของผังก้วน รูปร่างละมุนละไม ใบหน้างดงามดุจดอกไห่ถัง สวยเพริศพริ้งที่สุด ที่จริงคนที่อยู่ตำแหน่งระดับเดียวกับผังก้วน มีภรรยาของใครบ้างที่ไม่สวยเพริศพริ้ง ผู้หญิงสวยธรรมดาไม่อยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล เวไนยสัตว์เหลือคณานับ อาศัยฐานะตำแหน่งของพวกเขา หญิงงามที่คนธรรมดาทั่วไปใฝ่ฝันแต่เอื้อมไม่ถึง แต่สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ขอเพียงถูกใจ การได้พวกนางมาก็เป็นแค่เรื่องที่ง่ายดายเหมือนสั่งได้ในคำเดียว
ส่วนชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างหายจาหรูเยี่ยน ก็คือจาเหรินจวิ้น ผู้ที่เย่สวินเกาอยากแนะนำให้ไปทำงานเป็นลูกน้องของเหมียวอี้
“อืม!” ผังก้วนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองทั้งสองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง มอไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในดวงตาฉายแววล้ำลึกอยู่บ้าง หันตัวเดินจากไปแล้ว
“ฮูหยิน นายน้อยเหรินจวิ้น!” หลังจากบ่าวชราเฉินหวยจิ่วคำนับทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินตามหลังผังก้วนต่อไป
“นายท่าน หม่อมฉันมีเรื่องจะบอกค่ะ” จาหรูเยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินตาม
ผังก้วนเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร อ้างอย่างขอไปที “ถ้ามีเรื่องอะไรรอให้ข้ากลับมาจากตำหนักสวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ไอ๊หยา นายท่านของข้า มีคนรังแกมาถึงหัวพวกเราแล้ว เรื่องนี้ต้องให้ท่านออกหน้าจริงๆ หม่อมฉันจะรอไหวได้อย่างไรกัน” จาหรูเยี่ยนดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้เสียเลย
ผังก้วนทำได้เพียงหยุดฝีเท้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหวนิดหน่อย “ข้ายังมีธุระสำคัญ มีอะไรก็รีบพูดมา”
“กินยาผิดมาเหรอคะ? ข้าไปยั่วโมโหท่านเหรอ?” จาหรูเยี่ยนกลอกตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “ข้าจะบอกท่านให้นะ ร้านค้าของตระกูลเราที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนถูกตรวจค้นและยึดทรัพย์แล้ว ของในร้านก็ถูกปล้นไปหมด พนักงานในร้านก็โดนฆ่าจนหมดเกลี้ยง ถ้าท่านไม่ทวงความยุติธรรมให้เรื่องนี้ พวกเราเสียหน้ากับเรื่องนี้ไม่ได้ ท่านเป็นขุนนางตำหนักเดียวกับเทพประจำดาวคนฉลู สนิทสนมกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ท่านต้องออกหน้าบอกด้วยตัวเอง!”
เทพประจำดาวคนฉลูชื่อว่าหมิงเย่าคง เป็นผู้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวน ดาวเทียนหยวนย่อมอยู่ในขอบเขตการควบคุมของหมิงเย่าคง
ตอนยังไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังดีอยู่ แต่พอพูดเรื่องนี้ ผังก้วนกลับแสยะยิ้มแล้วเอาสองมือไขว้หลังอีกครั้ง ถามกลับว่า “ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่ากลุ่มสตรีก็ร้องเรียนอะไรกับหมิงเย่าคง เจ้าเองก็มีส่วนเหมือนกันรึเปล่า? ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนริเริ่ม?”
จาหรูเยี่ยนทำตัวไม่เป็นธรรมชาตินิดหน่อย แต่ก็ดึงมือจาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างหลังออกมา “เหรินจวิ้นก็นับว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถเหมือนกัน หน้าตาก็โดดเด่นเกินใคร ตอนนี้วรยุทธ์ก็ถึงขั้นแล้วด้วย ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วว่าให้ช่วยหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้เขา ท่านบอกมาตลอดว่าเดี๋ยวช่วยเตรียมให้ แต่รอมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่เห็นทำอะไรสักที ข้าก็เลยบอกผู้จัดการร้านที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน ให้เขานำของขวัญไปมอบเพื่อให้อีกฝ่ายจัดหาตำแหน่งให้ ไม่ทำให้เจ้าเสียหน้าอะไรด้วย ใครจะคิดล่ะว่าในเมล็ดแตงโมจะมีหนอน ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งจะใจกล้าคับฟ้า กล้ารับของขวัญพวกเราแต่ไม่ยอมจัดการธุระให้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยอยู่แล้ว”
จาเหรินจวิ้นที่ถูดถึงออกมา เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหวาดกลัวผังก้วน ไม่กล้าหายใจแรง ถึงอย่างไรผังก้วนก็มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก ลักษณะท่าทางก็ทำให้คนหวาดกลัวด้วย
ผังก้วนถามเหมือนแปลกใจว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเรื่องของเหรินจวิ้นยังไม่เหมาะจะจัดการตอนนี้ รอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้ายังจะทำเรื่องนี้ลับหลังข้าอีก เจ้าเห็นคำพุดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”
จาหรูเยี่ยนกระทืบเท้าสองสามที “ทำไมท่านยังไม่เข้าใจอีก ข้าบอกว่าตลาดสวรรค์ ตำแหน่งของตลาดสวรรค์แต่ละที่มีแต่เส้นสาย ปกติเวลายัดคนไปเบียดตำแหน่งคนอื่นจะล่วงเกินคนอื่นได้ง่าย มีโอกาสที่ดาวเทียนหยวนพอดี ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้แล้วโดนคนอื่นแย่งไปล่ะ เดี๋ยวมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเจอกับเจ้าชาติสุนัขที่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งแล้วไม่ได้ผล กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ฝ่าฝืนกฎ ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”
ผังก้วนเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถามว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าคนที่พวกเจ้าต้องการจะเล่นงานเป็นใคร? นั่นคือแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์เพิ่งแต่งตั้งให้ได้ไม่นาน บนทิศทางลมแบบนี้ พวกเจ้าจะไปเล่นงานเขาเหรอ? ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าโดนหมากินสมองไปหมดแล้วหรือไง หรือว่ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เลยหาเรื่องใส่ตัวเอง?”
“ผังก้วน ทำปากท่านให้มันสะอาดๆ หน่อย!” จาหรูเยี่ยนเดือดดาลแล้ว โดนสามีตัวเองด่าแบบนี้ต่อหน้าหลานชาย นางทนเสียหน้าไม่ไหวแล้วจริงๆ กล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นหลายส่วน “ก็แค่แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบไม่ใช่เหรอ คนที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้เองมีตั้งเยอะ ที่พวกเจ้าเล่นงานลับหลังมีน้อยเสียที่ไหนล่ะ? คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ นะ ตระกูลพวกเราเสียเปรียบแล้ว เจ้าไม่กู้หน้ากลับมา แถมมาระบายความโกรธใส่ข้าด้วย…”
เสียงเปาะแปะดังไม่หยุด ผังก้วนโดนตบแก้มหลายครั้ง
เพี้ยะ! ไม่มีปี่มีขลุ่ย ตบบ้องหูอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ เรียกได้ว่าเสียงดังชัดเจน
ผังก้วนระงับไฟโกรธไม่ไหว ในที่สุดก็ฟาดฝ่ามือออกมากหนึ่งที พอสิ้นเสียงจาหรูเยี่ยนก็ล้มลงพื้น ที่มุมปากมีเลือดซึม นั่งมึนงงอยู่บนพื้น โดนตบจนมึนแล้ว
จาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นมาประคองเขา
ผังก้วนกลับยังไม่หายโมโห ชี้จาหรูเยี่ยนพร้มอตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไม่รู้เหรอว่าอยู่ใกล้ราชันก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ? พอไม่ระวังก็ตายทั้งตระกูลได้เลย เจ้าจะเอาให้โดนประหารทั้งบ้านเลยใช่มั้ยถึงพอใจ? ผู้หญิงโง่เง่า! โง่เง่าไร้ที่เปรียบ!”
“ผังก้วน เจ้ากล้าตบข้าเหรอ!” จาหรูเยี่ยนที่ได้สติกลับมาเช็ดรอยเลือดที่ริมฝีปาก นางประสาทเสียทันที สะบัดบ่าวชราที่เข้ามาประคองออก แล้วพุ่งเข้าไปดึงคอเสื้อผังก้วน ผลักเขาไม่หยุดพร้อมโวยวายว่า “เจ้ามันคนไร้มโนธรรม ที่เจ้ามีวันนี้ได้ ตระกูลจาของข้ามีคนตายไปตั้งกี่คน! หมดกำลังทรัพย์ไปมากมายท่าไร เสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไรกว่าจะผลักดันเจ้าขึ้นมาได้ ตอนนี้หลานชายของข้าแค่คนเดียวไม่มีที่พึ่งพิง แค่เข้าไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการสักตำแหน่งจะเป็นไรไป? เจ้ายังกล้าตบข้าด้วย! ข้าจะสู้ตายกับเจ้า! ข้า…”
เสียงโวยวายร้องไห้พลันหยุดลง ผังก้วนบีบคอนางไว้แล้ว พร้อมตะคอกด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “จาหรูเยี่ยน ถ้าหาเรื่องอีก เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทิ้งเจ้า!”
จาหรูเยี่ยนใช้สองมือแกะมือใหญ่ที่คอตัวเอง แต่ไม่มีทางแกะออกได้ โดนบีบคอจนตาเหลือก
“นายท่าน! ฮูหยินกระวนกระวายร้อนใจ ถึงได้ใช้คำพูดไม่ถูก!” บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบเข้ามาขอวิงวอน
“เฮอะ!” ผังก้วนผลักคนที่อยู่ในมือจนล้มลงพื้น แล้วหันกลับมาบอกว่า “จับตาดูนางไว้ให้ดี! อย่าให้นางเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อีก ไม่ต้องไปหาเส้นสายที่ดาวเทียนหยวนหรอก ร้านที่โดนปิดกับของที่โดนยึดก็ไม่ต้องเอาแล้ว สรุปว่าห้ามเข้าไปยุ่งอะไรอีก!”
“ขอรับ!” บ่าวชราเอ่ยรับ
จาหรูเยี่ยนที่นั่งล้มอยู่บนพื้นกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นลุกขึ้นมา แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านจากไปเร็วเกินไป ข้าโดนรังแกแต่ไม่มีคนให้ฟ้องด้วยซ้ำ เขาทำร้ายข้า ทั้งยังบอกว่าจะทิ้งข้าด้วย คำพูดหวานไพเราะที่พูดตอนแต่งงานกับข้าเป็นแค่คำหลอกลวงทั้งนั้น เสียแรงที่พวกท่านสละชีวิตเพื่อเขา ลูกสาวช่างชะตาลำเค็ญนัก!”
“…” ผังก้วนที่ได้ยินดังนั้นกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง รู้สึกเหมือนทำให้ถูกพ่ายแพ้ ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว สะบัดแขนเสื้อถลันตัวจากไปทันที
…………………………