ตำหนักคุ้มเมือง ในโถงหลักของตำหนักหลัง เกาก้วนนั่งอย่างสง่าผ่าเผย จ้องตาปี้เยว่ฮูหยินด้วยสายตาเย็นเยียบ จ้องจนปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่เบื้องล่างหลบสายตา ไม่กล้ามองตรงๆ
ลูกน้องหลายคนที่อยู่สองฝั่งของเกาก้วนกำลังยืนเรียงแถวตรงข้ามกันสองแถว ปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลางรู้สึกเหมือนกลายเป็นนักโทษ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
หลังจากผ่อนคลายอารมณ์ลงเล็กน้อย ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็รวบรวมความกล้าพูดไปว่า “สามีข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เหตุใดทูตขวาเกาจึงไร้มารยาทเช่นนี้!”
เกาก้วนไม่สนใจจะปฏิเสธหรือแก้ตัวกับนางเลย กล่าวเสียงเรียบว่า “ว่ามาเถอะ! ตลาดสวรรค์ที่เจ้ารักษาการณ์มีศีรษะของคนหลายพันตกลงพื้น ร้านค้าสามร้อยกว่าร้านโดนสั่งปิด ต้นสายปลายเหตุ รายละเอียดที่อยู่ในนั้น บอกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ถ้ามีการปิดบัง ก็อย่าหาว่าข้าลงดาบอย่างไร้ความปรานี!”
ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้! ปี้เยว่ฮูหยินที่ตกใจไม่เบาแอบโล่งใจ ย่อมต้องอธิบายตามที่สามีตัวเองกำชับอยู่แล้ว
ถึงแม้ผลของของการหลอกลวงราชันสวรรค์จะร้ายแรง แต่สำหรับคนที่ตำแหน่งสูงในระดับหนึ่งแล้ว ราชันสวรรค์ก็มีไว้หลอกลวงไม่ใช่เหรอ
ความจริงแล้ว คนทั้งข้างบนทั้งข้างล่างก็ล้วนกำลังหลอกลวงราชันสวรรค์ ต่างก็ต่อต้านราชันสวรรค์กันทั้งนั้น และแน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้านโดยใช้วิธีการก่อกบฏ
ราชันสวรรค์ไม่ให้รับสินบน แต่คนทั้งข้างล่างข้างบนกลับทำเช่นเดิม ราชันสวรรค์ไม่ให้เล่นพรรคเล่นพวก แต่ลับหลังทุกคนก็แอบทำอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะไต่เต้าขึ้นข้างบนได้อย่างไร ราชันสวรรค์ไม่ให้ใช้เล่ห์กลแย่งชิงทรัพย์สิน แต่ความจริงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ได้เลย ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วพวกผู้มีอำนาจอิทธิพลจะร่ำรวยได้อย่างไร?
เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งอย่างราชันสวรรค์ เมื่ออยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า ก็เท่ากับว่าถูกจัดวางให้คนในใต้หล้าหลอกลวง ต่อให้เป็นในสังคมมนุษย์ธรรมดา มีใครบ้างที่ไม่เคยด่าว่าท่านปู่สวรรค์สมควรตาย ราชันสวรรค์แล้วยังไงล่ะ?
ในทางกลับกัน ถ้าพูดทุกอย่างออกมาหมดจริงๆ เกรงว่าพวกชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์คงจะตายกันหมดแล้ว และคงไม่มีอำนาจอิทธิพลของฝ่ายต่างๆ คงอยู่ด้วย เรื่องบางเรื่องราชันสวรรค์ก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน
แล้วอีกอย่าง สามีของตนก็พูดต่อหน้าราชันสวรรค์ไปแล้ว ถ้าตนพูดความจริงออกไป นั่นจะต่างหากที่จะจบเห่ของจริง
ถามนางแล้วไม่ได้คำตอบอะไรที่แตกต่าง ต่อให้ตีให้ตายนางก็ไม่พูดความจริงอยู่ดี
ถึงแม้เหมียวอี้จะรู้ว่าปี้เยว่ฮูหยินมีเรื่องอะไรปิดบัง แต่ก็ยังพูดตามที่ปี้เยว่ฮูหยินบอก ไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่ง ถ้าสามารถกระโดดผ่านปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าไปได้ แล้วจะกระโดดผ่านเฉาว่านเสียงที่อยู่ข้างบนได้เหรอ? ถึงอย่างไรข้างบนเฉาว่านเสียงก็ยังมีท่านโหวเทียนหยวนอีกคน ถึงอย่างไรในภายหลังก็ยังต้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานก็ถูกเหมียวอี้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ไม่ได้ให้พวกเขาโกหกหรือรับผิดชอบอะไร ให้พูดความจริงไปเท่านั้น
ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะพูดความจริงไป แต่ก็ไม่ได้ความเท่าไรนัก เดิมทีนางก็รู้อะไรไม่มากอยู่แล้ว ถูกกดดันให้ไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ตัวเองไม่ถนัด
บางสิ่งบางอย่างฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ย่อมไม่พูดอยู่แล้ว สิ่งที่พูดได้ก็มีแค่เหตุการณ์ที่ทุกคนประสบร่วมกันเกี่ยวเรื่องในครั้งนี้
สวีถังหรานเองก็ไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองอยู่แล้ว
สรุปก็คือพูดตามเหตุการณ์จริง เท่ากับว่าผลักความรับผิดชอบทุกอย่างไปให้เหมียวอี้
ส่วนเหมียวอี้ก็ผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยิน บอกว่าก่อนทำได้ปรึกษากับปี้เยว่ฮูหยินแล้ว ได้รับอนุญาตจากปี้เยว่ฮูหยินแล้ว
เกาก้วนพักอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองชั่วคราว ตรวจสอบคำให้การที่ส่งขึ้นมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดหย่อน
ตั้งแต่แม่ทัพภาคไปจนถึงผู้บัญชาการในสังกัดถูกแยกตัวและจับตาดูชั่วคราว การสอบสวนก็เริ่มตั้งแต่สามระดับนี้ไปจนถึงรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการใต้สังกัด แล้วขยายไปที่ทหารสวรรค์คนอื่นๆ ผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์ก็เลี่ยงการสอบสวนจากคนพวกนี้ไม่พ้นเช่นกัน
จัดการร้านค้าพวกนั้นย่อมพูดความจริง ส่วนพวกทหารสวรรค์ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น จะไปรู้เงื่อนงำที่อยู่ภายในได้อย่างไร
บรรดาบุคคลระดับหัวหน้าของตลาดสวรรค์ถูกควบคุมไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลาสิบกว่าวัน
ส่วนตลาดสวรรค์ก็เริ่มเกิดข่าวลืออย่างเลี่ยงใมได้ ข่าวลือประมาณว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวกำลังจะซวยแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเป็นกังวลมาก คอยสืบข่าวตั้งแต่เช้ายันค่ำ สองพี่น้องโอวหยางกับพวกเยารั่วเซียนถูกนางย้ายไปซ่อนตัวที่ดาวไร้ลักษณ์ล่วงหน้าแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งเดือน หลังจากรวบรวมข้อมูลของสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว เกาก้วนก็ออกคำสั่งให้คืนอิสระแก่ปี้เยว่ฮูหยินและพวกเหมียวอี้
ในตอนนี้ท่านโหวเทียนหยวนก็รีบกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนเช่นกัน หลังจากได้รับรายงานจากผู้การสองหลันเซียง เขาก็รีบมาที่นี่ทันที
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายปี้เยว่ฮูหยินถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนเล็ก ท่านโหวเทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกก็เข้าไปรับนางทันที จับมือสองข้างของปี้เยว่ฮูหยินพร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินรับรู้ถึงความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูด รู้ว่ากำลังถามว่านางได้พูดซี้ซั้วหรือไม่ นางส่ายหน้าตอบ “ไม่เป็นอะไร! แค่ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้”
ท่านโหวเทียนหยวนโล่งใจ กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะพลั้งปาก แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เกาก้วนไม่ได้เล่นไม่ซื่ออะไรกับเจ้าใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินคิดไปคิดมา ก่อนจะตอบว่า “แค่ตอนแรกดูน่าตกใจมาก ข้าตกใจจนปัสสาวะแทบราด ข้าก็ยังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเขาจะมาเอาชีวิตข้าซะอีก แต่ตอนหลังก็ยังดีหน่อย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้”
“ดูท่าแล้วเกาก้วนคงจะไม่ได้ทำเรื่องนี้รุนแรงเกินไป ข้าก็ยังกังวลว่าเนื้อหนังเจ้าจะได้ความทรมานอะไร” เทียนหยวนกลับแปลกใจ
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไอแห้งๆ แล้วยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “หลังจากมาถึงข้าอยากจะพบเกาก้วน แต่เกาก้วนปฏิเสธไม่ให้พบเลย คาดว่าตอนนี้คงพบได้แล้ว ไปกันเถอะ! พวกเราสองสามีภรรยาไปแสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่!” พูดจบทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน
เมื่อเดินมาถึงเรือนพักชั่วคราวของเกาก้วน ทั้งสองก็เจอกับเกาก้วนที่สีหน้าเย็นเยียบพอดี เจ้าตัวกำลังนำกลุ่มลูกน้องเดินก้าวยาวออกมาจากลานบ้าน
เทียนหยวนกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มทันที “ทูตขวาเกา นับว่าได้พบหน้าท่านแล้ว”
“ท่านโหวมีธุระอะไรเหรอ?” เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ
เทียนหยวนกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในเมื่อพี่เกามาที่นี่แล้ว พวกเราสองสามีภรรยาก็ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านสิ!”
“ไม่ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านหรอก ข้ายังต้องไปตรวจสอบคำให้การของหนิวโหย่วเต๋อแบบต่อหน้าอีก!” เกาก้วนกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด นำลูกน้องเดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด
ขณะที่มองกลุ่มคนหายลับไป ปี้เยว่ฮูหยินก็พึมพำว่า “คนนี้นี่ยังไงกันแน่?”
เทียนหยวนพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “สุนัขรับใช้ประจำตัวของประมุขชิงไงล่ะ เจ้าตัวอยากจะเป็นขุนนางโดดเดี่ยวก็ย่อมต้องทำตัวให้เหมือนขุนนางโดดเดี่ยวอยู่แล้ว! แต่คนแบบนี้มักจะมีจุดจบที่อนาถมาก จะเป็นหรือจะตายก็ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดเจ้านายทั้งนั้น ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเองผิดใจกับคนอื่นหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่คนที่ช่วยพูดให้ ผู้คนกลับจะพากันเหยียบซ้ำอีกต่างหาก”
ปี้เยว่ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่กลับกังวลอีกเรื่องหนึ่ง “แล้วเขายังจะไปหาหนิวโหย่วเต๋อทำไมอีก? ทางหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”
เทียนหยวนส่ายหน้า “คิดมากไปแล้ว! แค่เขาอาศัยอำนาจเปิดฉากสังหารหมู่ ก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ของการทรยศเจ้าแล้วนะ ภายใต้อนาคตที่ไม่แน่นอน ถ้าเปลี่ยนคนอื่นมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวน เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีข้ากับเจ้าคอยกันให้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก็วนไปไม่ถึงเขาหรอก? ตราบใดที่เขาไม่มั่นใจว่าเจ้ากับข้าจะล้มพร้อมกัน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่ปล่อยคนไป เขาก็ไปไม่ได้อยู่ดี ในภายหลังยังต้องเผชิญหน้ากับพวกเราอีก มิหนำซ้ำการล้มพวกเราก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเขา เขาไม่มีเส้นสายอะไรที่ตำหนักสวรรค์ การหลบอยู่ใต้ปีกของเจ้ากับข้าชั่วคราวคือทางเลือกที่ดีที่สุด อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเงยหน้าอ้าปาก ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ยังวนมาไม่ถึงเขาหรอก ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้เขาก็ถูกมัดให้ลงเรือลำเดียวกับเราแล้ว หลอกลวงตบตาเบื้องบนร่วมกับพวกเรา จะไม่เป็นคนของพวกเราก็ไม่ได้ พวกเราสามารถใช้งานได้อย่างวางใจ!”
“คนในราชสำนักอย่างพวกเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก” ปี้เยว่ฮูหยินกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “
ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เกาก้วนและพรรคพวกบุกเข้ามาอีกแล้ว มุ่งตรงมายังจวนขุนนางของเหมียวอี้
เมื่อเห็นเกาก้วนนำคนมา เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย เพิ่งจะได้รับอิสระมาแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายใจเต็มปอด ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?
โดยเฉพาอย่างยิ่ง การที่เกาก้วนนำคนมาด้วยตัวเอง ทำให้เหมียวอี้รู้สึกกดดันไม่น้อยเลย กังวลว่าโดนฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินวางกับดักแล้วหรือเปล่า นี่กำลังจะมาจับตนเหรอ
แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินไม่มีอะไรให้ต้องวางกับดัก เพราะตนผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยินแล้ว
ตอนนี้เขาพบว่าแผนเตรียมตัวหลบหนีที่ตัวเองวางไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้เลย เพราะอีกฝ่ายเป็นประเภทเข้าออกที่ไหนโดยไม่บอกล่วงหน้า ถ้าอยากจะมาหาเจ้าก็จะมาหาตรงๆ เลย อยากจับเจ้าก็จับไปตรงๆ เลย ไม่ให้เวลาเจ้าตอบโต้อะไรทั้งนั้น กฎกติกาของตำหนักสวรรค์ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่คนพวกนี้ต้องปฎิบัติตาม ไม่ไหวเลย! ตอนนี้ต่อให้คิดจะใช้ทางใต้ดินในบ่อหลบหนีแต่ก็สายไปแล้ว
เรื่องนี้คิดไปคิดมาแล้วก็เหงื่อออกหลัง พบว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องของตำหนักสวรรค์ไม่มากพอ นึกเสียใจทีหลังที่ไม่เชื่อฟังอวิ๋นจือชิว ทำอะไรวู่วามเกินไปแล้ว
มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ กุมหมัดคำนับอีกฝ่าย “ข้าน้อยคำนับทูตขวาเกา!”
เกาก้วนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มีลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร สนใจแค่เบิกทางเดินไปข้างหน้า กดดันจนเหมียวอี้ต้องถอยไปหลบอีกข้าง แต่กลับยกมือเล็กน้อย ทำให้กลุ่มลูกน้องหยุดอยู่ในลานบ้านทันที ไม่ได้เข้าไปข้างในต่อ หยุดยืนเรียงแถวอยู่สองฝั่ง
เหมียวอี้หันหลังกลับไปมอง แล้วรีบเดินตามหลังเกาก้วนเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาในโถงหลัก เกาก้วนก็โบกมือสะบัดผ้าคลุม หันตัวไปนั่งลงบนตำแหน่งที่ยามปกติมีเพียงเหมียวอี้ที่นั่งได้
พอเขาไปนั่งลงตรงนั้น บรรยากาศทั้งโถงก็เปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนเป็นกดดันถึงขีดสุด
ส่วนเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงยืนอยู่เบื้องล่าง ใช้สายตาบอกใบ้ให้เป่าเหลียนที่ค่อนข้างหวาดกลัวรีบนำน้ำชามาวาง
เป่าเหลียนเพิ่งจะยกน้ำชามา เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบแล้วว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตอนสืบคดีข้าไม่พบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เจ้าออกไปก่อน!”
เป่าเหลียนจะกล้าพูดมากได้อย่างไร นางมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่มีความเห็นอะไร ก็ถอยไปทันที
รอไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเกาก้วนได้แต่ใช้สายตาจ้องประเมินตนศีรษะจดเท้าไม่หยุด เหมียวอี้ก็แข็งใจกุมหมัดกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามีเรื่องอะไรจะถามขอรับ ขอเพียงข้าน้อยรู้ ก็จะตอบให้หมดแน่นอน”
เกาก้วนกล่าวว่า “ต้องปิดคดีนี้ได้แล้ว เจ้าว่ายังมีตรงไหนต้องแก้ตัวอีกมั้ย คดีนี้เกิดจากที่ผู้จัดการของร้านค้าเจ็ดอารมณ์และร้านอื่นๆ อีกสิบห้าร้านมอบของขวัญให้เจ้า หวังจะขอตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ ข้าพูดผิดหรือไม่?”
นี่คือสิ่งที่ตนเคยตอบไปแล้วอย่างซื่อสัตย์ เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ผิดขอรับ!”
“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นตามคำให้การของพวกเจ้า ล้วนเป็นแผนการที่เจ้าไปขอให้ปี้เยว่แม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวนเสนอแนะ สุดท้ายก็เป็นผลการตัดสินใจของปี้เยว่ เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม
เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว ในคำรับสารภาพของข้ามีบอกเหรอว่าข้าขอคำเสนอแนะแผนการจากปี้เยว่ฮูหยิน? เหมือนข้าจะบอกไปว่าเป็นความคิดของปี้เยว่ฮูหยินทั้งหมดนะ นี่กำลังจงใจบิดเบือนไม่ใช่เหรอ?
เขากุมหมัดคารวะและเน้นย้ำอีกครั้ง “ข้าน้อยทำตามแผนที่ท่านแม่ทัพภาควางไว้ทั้งหมดขอรับ”
เกาก้วนถามกลับว่า “เจ้านึกว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่าปี้เยว่เป็นคนอย่างไร? ถ้าไม่มีคนยุยง ปี้เยว่จะกล้าตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าคิดว่าพวกเราหลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ถ้าพวกเจ้าพูดอะไรแล้วเป็นอย่างนั้น ยังจะให้พวกเรามาตรวจสอบอะไรอีกล่ะ?”
กับเรื่องแบบนี้ เหมียวอี้จำเป็นต้องเน้นย้ำอีกครั้ง “ทุกสิ่งที่ข้าน้อยทำ ล้วนเป็นการทำตามคำสั่งของท่านแม่ทัพภาคจริงๆ ขอรับ”
เกาก้วนไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ถามอีกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ยินดีจะมารับตำแหน่งที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์มั้ย?”
“…” เหมียวอี้คิดตามเขาไม่ค่อยทัน มาสืบคดีไม่ใช่เหรอ ทำไมกระโดดมาประเด็นนี้แล้ว
เขายังกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี แต่เกาก้วนก็นำระฆังดาราสองอันวางไว้บนโต๊ะแล้ว “รอให้ถึงตอนที่เจ้าเต็มใจจะมา ก็ติดต่อข้าได้โดยตรง” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่ระฆังดาราสองอันนั้น
เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ดูถูกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะหักหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน ก้าวขึ้นไปลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น
จากนั้นเกาก้วนก็หยิบเอาไว้หนึ่งอัน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าในมือ หลังจากเห็นว่ามีปฏิกิริยากับระฆังอีกอันหนึ่งแล้ว เขาถึงได้เก็บระฆังไว้ แล้วพลิกฝ่ามือโยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไป
เหมียวอี้รับมาไว้ในมือด้วยสีหน้าสงสัย แต่เกาก้วนพูดแล้วว่า “นี่คือภูมิหลังเกี่ยวกับเจ้าที่ข้าสืบมา เจ้าดูว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า?”
แม้แต่ภูมิหลังของข้าเจ้าก็ไปสืบมาได้เหรอ? เหมียวอี้คิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเนื้อหาข้างใน
ทว่าแค่เจอส่วนแรกเขาก็อ่านไม่เข้าใจแล้ว เขาพึมพำในใจว่า อสุราอัคนี? อสุราอัคนีเป็นใคร? ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีตั้งแต่เมื่อไรกัน
เมื่ออ่านเนื้อหาตอนท้าย เขาก็แอบตกใจไม่หาย เริ่มตั้งแต่ที่ตัวเองเป็นเสนาบดีต่างถิ่นของสำนักลมปราณ พออ่านมาถึงตอนหลัง ก็เจอเรื่องที่ตัวเองเคยทำเขียนอยู่บนนั้น แต่พออ่านให้ละเอียด ก็พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องน่าไม่อายเขียนอยู่บนนั้น
สิ่งที่ทำให้เขาเคลือบแคลงที่สุดก็ยังเป็นอสุราอัคนี ขนาดเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นใคร ทำไมท่านนี้ถึงรู้ได้ล่ะ? เขาอดไม่ได้ที่จะกอดแผ่นหยกและถามหยั่งเชิงว่า “ทูตขวาเกาทราบได้อย่างไรว่าข้าน้อยเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี?”
“ดูออกตอนที่เจ้าลงมือ” เกาก้วนเพียงอธิบายอย่างเรียบง่ายประโยคเดียว แล้วถามว่า “สถานการณ์ของเจ้า ข้าสืบมาผิดหรือไม่?”
เหมียวอี้อึกอักนิดหน่อย กำลังครุ่นคิดว่าท่านนี้คงไม่ได้กำลังทดสอบตนหรอกใช่มั้ย?
ใครจะคิดว่าเกาก้วนกลับไม่ยอมให้เขาคิดเยอะ พูดสรุปให้ทันทีว่า “ไม่ตอบแสดงว่าข้อมูลที่ข้าสืบมาไม่ผิดพลาด ถ้าตอนหลังข้ารู้ว่าเจ้ากลับคำพูด ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!” พูดจบก็กางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกกลับไปไว้ในมือเขา จากนั้นลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินลากผ้าคลุมอกไป
เหมียวอี้อ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน? นี่ไม่ใช่การบังคับให้ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีหรอกเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ที่สำคัญคือข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอสุราอัคนีมันคือตัวอะไร!
…………………………