หลังจากกำชับหงเหมียน ลู่หลิ่วแล้ว ฉินเวยเวยก็หันกลับมา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอก ก็โค้งมุมปากยิ้มอย่างซุกซน
เห็นเพียงนางถอดปิ่นปักผมออก หันหน้าสะบัดผมยาวดุจน้ำตกให้ปลิวรับลม คลายผ้าไหมรัดเอว ถอดถุงเท้าออก เปลือยเท้าขาวดุจหยกสองข้างเหยียบบนดาดฟ้าเรือ กึ่งเดินกึ่งลอยรับกับสายลม ราวกับเป็นเทพธิดา นางนั่งลงข้างกายเหมียวอี้แล้วเอนกายลง ก่อนจะเบียดซุกเข้าไปในอ้อมอกของเขา นี่ก็คือข้อดีของการถอดปิ่นปักผมออก
เหมียวอี้กอดนางไว้ครึ่งตัว แต่สายตากลับมองก้อนเมฆบนฟ้าพลางทำท่าครุ่นคิด ยังคงคิดเรื่องแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง
เมื่อเห็นเขาเหม่อลอย ฉินเวยเวยจึงคว้าผมช่อเล็กๆ ของตัวเองเกาที่จมูกของเขา
เหมียวอี้ยิ้มเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปช้อนข้างล่าง ดึงต้นขาที่อยู่ใต้กระโปรงของนางขึ้นมาโดยตรง แล้วจับฝ่าเท้านางมาเกาพักหนึ่ง
“ฮ่าๆ…” ฉินเวยเวยขำกลิ้งแล้ว พยายามหดเท้ากลับมาอย่างสุดชีวิต แต่กลับสู้วรยุทธ์ของเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่มีทางหนีพ้นเลย จั๊กจี้แทบแย่แล้วจริงๆ บิดตัวไปมาพลางขอร้องว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว นายท่านให้อภัยด้วยค่ะ!”
เหมียวอี้หยุดมือแล้ว แต่กลับพลิกฝ่าเท้าของนางพร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่หัวโปราณมาก ยามปกติแม้แต่ส่วนคอก็ไม่เปิดเผยให้ใครเห็น วันนี้กลับกล้าแต่งตัวตามสบายขนาดนี้ ทั้งยังเปลือยเท้าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหรอ?”
ฟันขาวกัดขูดริมฝีปากแดง ถามเสียงต่ำอย่างค่อนข้างอับอายว่า “ไม่มีคนนอกแล้ว…หม่อมฉันสะเพร่าเกินไปใช่มั้ยคะ?”
เป็นเพราะช่วงนี้ทั้งสองสนิทกันเกินไปจริงๆ ร่างกายของนางถูกเหมียวอี้สำรวจจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ผ่านด่านผู้หญิงที่อับอายยามอยู่ต่อหน้าผู้ชายไปแล้ว ฟ้าสูงทะเลกว้างทำให้จิตใจผ่อนคลาย อดไม่ได้อยากจะปล่อยตัวตามใจสักครั้ง
“สะเพร่าต่อหน้าข้าคนเดียวก็พอ ถ้ากล้าให้ผู้ชายคนอื่นเห็น ก็คอยดูแล้วกันว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!” เหมียวอี้ที่ตอบพร้อมเสียงหัวเราะดึงฝ่าเท้านางมาเกาอีก
“อ๊า…ให้อภัยด้วย…หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว!” ฉินเวยเวยที่โวยวายไม่หยุดถูกกลั่นแกล้งจนร้องอย่างน่าสงสาร
ทำเอาหงเหมียน ลู่หลิ่วตื่นตกใจจนอดไม่ได้ที่จะวิ่งขึ้นมาดู เมื่อได้เห็นฉากหยอกล้อนี้ สาวใช้ทั้งสองก็เม้มปากหัวเราะ นี่เป็นเรื่องดี จึงไม่รบกวนแล้ว ถอยกลับไปอีกรอบ
เมื่อเสียงของฉินเวยเวยที่จั๊กจี้จนหอบหายใจเงียบสงบลงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นไปนอนคว่ำบนตัวเหมียวอี้ ลมทะเลเป่าให้เส้นผมกวาดไปกวาดมาบนหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้หลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผมนาง
“ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำอะไร จะดีขนาดไหนกันนะ” ฉินเวยเวยที่หลับตาดื่มด่ำด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขกล่าวพึมพำ ง่ามเท้าที่ขาวใสดุจหยกงอกระดิกเบาๆ รู้สึกสดชื่นยามลมพัดผ่านระหว่างง่ามเท้า
“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คิดในใจว่านี่ก็เป็นความหวังของเขาเหมือนกัน แต่จะเป็นไปได้เหรอ?
ถ้าไม่ทำอะไรเลย มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ที่อจะยอมเหรอ? เฟิงเป่ยเฉินและพวกจีฮวนจะปล่อยตนไปเหรอ? เหยียนซิวและลูกน้องคนอื่นๆ จะทำอย่างไรล่ะ? หลบอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่งานอะไรเลย พวกที่ตนเคยไปล่วงเกินไว้จะปล่อยตนไปเหรอ ฆ่าคนที่ตลาดสวรรค์ไปมากมายขนาดนั้น ฆ่าคนตอนการทดสอบไปมากมายขนาดนั้น ถ้าตนไม่มีอำนาจแล้ว คนกลุ่มใหญ่ก็จะมาหาเรื่องตน
นอกเสียจากจะฆ่าพวกทะเลดาวนักษัตรที่รู้ความลับเรื่องพิภพใหญ่กับพิภพเล็กให้หมด จากนั้นก็กลับมาพิภพเล็กเพื่อสู้กับหกปราชญ์แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ บางทีอาจจะได้อยู่อย่างเงียบสงบและสบายหน่อย แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากพิภพเล็กจะไม่มีนักพรตอยู่แล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีสักวันที่มีคนผงาดขึ้นมาหาเรื่องเขา จากนั้นเขาก็ต้องทำอะไรสักหน่อยอีกเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวเอง อย่างเช่นถักทอเครือข่ายเพื่อควบคุมทั้งใต้หล้า อ้อมไปรอบหนึ่งก็ยังต้องวนกลับมาที่เดิม ยังต้องทำแบบนี้ต่อไป
ในเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ก็ไม่มีทางให้กลับแล้ว!
ขณะที่เหมียวอี้กำลังลูบคลำก้นของฉินเวยเวยเพื่อดื่มด่ำสัมผัสมือ จู่ๆ ก็ลืมตามองไปข้างหน้า แล้วบอกว่า “มีเรือแล่นเข้ามาแล้ว”
“หา!” ฉินเวยเวยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งร้องตกใจ เท้าสองข้างที่กำลังเปลือยไม่มีที่ให้หลบ ให้เหมียวอี้ดูคนเดียวก็ยังพอไหว หนังหนาของนางยังไม่ด้านพอที่จะทำให้นางเปลือยเท้าให้ผู้ชายคนอื่นดู แนวคิดบางอย่างได้ฝังรากลึกแล้ว นางจึงรีบถลันตัวเข้าไปหลบในห้องโดยสารเรือ
เรือสินค้าลำหนึ่งเฉียดผ่านไป คนบนเรือยื่นศีรษะมามองทางนี้ แล้วจู่ๆ ก็ผิวปาก แล้วเรือสินค้าก็เลี้ยวตามมาทันที ใต้แคมเรือมีคนโผล่ออกมาแถวหนึ่ง แล้วสะบัดเชือกตะขอ มาเกี่ยวกับแคมเรือทางนี้เอาไว้
“มีคนถือธนูขึ้นมาง้างแล้ว เล็งมาหาเหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนหัวเรือ
คงจะเป็นโจรสลัดที่ปลอมตัวเป็นเรือสินค้า! ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้นึกถึงภัยพิบัติบนทะเลตอนที่ตัวเองยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์
ซวบ! เสียงธนูยิงเข้ามา ทว่ากลับหยุดอยู่ตรงหน้าและยากที่จะเข้าใกล้เหมียวอี้ได้
คนที่ยิงธนูงุนงงทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เหลือบมองด้วยสายตาเย็นเหยียบ พอสะบัดมือลวกๆ หนึ่งที ลูกธนูก็ยิงกลับไป
บึ้ม! ทั้งตัวเรือสินค้าอยู่ภายใต้การบีบอัดของแรงระเบิดมหาศาล ระบิดจนพังคาที่ เศษเรือลอยตกบนลงผิวทะเล เลือดสดสาดตกลงบนผิวทะเลราวกับน้ำฝน ย้อมจนน้ำกลายเป็นสีแดง
วรยุทธ์ที่สามารถทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกได้เพียงแค่โบกมือ มีหรือที่มนุษย์ธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานไหว ชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแล้ว
หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ออกมาดูกลับเข้าไปโดยไม่พูดอะไร กลุ่มโจรสลัดตายถือเป็นเรื่องดี เท่ากับได้ช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย
ฉินเวยเวยที่ออกมาอีกครั้งรวบผมใหม่ สวมรองเท้าเรียบร้อย กลับสู่สภาพผู้หญิงเรียบร้อยสง่างาม เหมียวอี้มองนางแวบหนึ่งแล้วรู้สึกขำ ผู้หยิงคนนี้ไม่ใช่คนที่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้เลย…
เรือลอยอยู่บนทะเลตลอดก็ไม่มีอะไรน่าสนุก ตอนหลังหงเหมียนลู่หลิ่วจึงเร่งความเร็วเรือ
จนกระทั่งเข้าสู้แม่น้ำใหม่อีกครั้ง ขณะที่เข้ามาในทางน้ำที่เป็นภูเขา ทิวทัศน์ภูเขาสองฝั่งที่คุ้นเคยทำให้เขานึกถึงภาพตอนที่นั่งเรือกับเหล่าไป๋ในปีนั้น ราวกับเป็นเมื่อวาน ตอนนั้นเขาผ่านแม่น้ำสายนี้พอดี ภูเขาหลายจุดที่มีเอกลักษณ์พิเศษเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ตั้งตระหง่านพันปีโดยไม่สูญสลาย
ทั้งสี่ลงเรือตอนที่เรือแล่นเข้ามาในป่าภูเขาได้ครึ่งทาง ส่วนเรือโหลวฉวนก็ทำภารกิจเพื่อให้พวกเขาท่องเที่ยวตามธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว จึงปล่อยให้มันลอยกลับไปตามน้ำ ใครเก็บได้ก็ถือเป็นของคนนั้นไป
ฉินเวยเวย หงเหมียน ลู่หลิ่วแต่งตัวเป็นผู้ชายแล้ว จากนั้นก็เหาะไปตามป่าภูเขา พอเหยียบลงนอกเมืองฉางเฟิง ถึงได้เดินเท้าเข้าไปในเมือง
ในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นไม่น้อย มีเยอะจนเหมือนเป็นการพลิกโฉมใหม่หมดสำหรับเหมียวอี้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะประชากรเพิ่มขึ้น เมืองฉางเฟิงเปลี่ยนไปจนทำให้เขาหาร่องรอยใดๆ ในปีนั้นไม่พบแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพบคนรู้จัก
เหมียวอี้ที่เดินเล่นอยู่ที่หัวถนนพบปัญหาอย่างหนึ่ง สาวกที่พิภพเล็กใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเกินไปแล้ว ไม่เคยถูกคุกคามจากสงครามเลย ประชากรแทบจะอยู่ในสภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ มาโดยตลอด ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่พิภพใหญ่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมจากนักพรต แต่มีระบบกษัตริย์ปกครอง ผู้คนล้วนวางแผนจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และได้บรรดาศักดิ์ชั้นสูง ดังนั้นภายใต้การทำสงคราม ประชากรจึงเริ่มมีลดมีเพิ่ม เป็นการรักษาสมดุลเอาไว้
เหมียวอี้สงสัย ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องมีสักวันที่จำนวนสาวกของพิภพเล็กจะทำให้พิภพเล็กไม่มีทางรองรับได้ สิ่งนี้ทำให้คนที่ยืนอยู่สูงขึ้นอีกระดับอย่างเขาเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อดีข้อเสียระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็ก
เดินเล่นไปทั่วเมืองจนมืดค่ำ เขาหาห้องที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากจัดแจงที่พักให้พวกฉินเวยเวยแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งอะไรไว้นิดหน่อยแล้วออกไปข้างนอกเพียงลำพัง
เมืองโบราณฉางเฟิงกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร เพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ เป็นเพราะบางครั้งมีการปรับปรุงให้เหมือนใหม่ จึงรักษาสภาพเดิมไว้ตลอด ไม่น่าเชื่อว่าต้นหลิวโบราณนั่นจะยังมีชีวิตอยู่
เมื่อเหยียบที่ยอดกำแพงเมืองแล้วมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง สายตาเหมียวอี้ก็จ้องไปยังหมอกแดงที่เชื่อมต่อฟ้าดินและดูค่อนข้างดำทึบภายใต้ม่านราตรี ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงนอกหมอกแดงผืนนั้น
เขาจับไก่ตัวผู้ขนห้าสีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งออกมา เป็นไก่ซื้อมาจากในเมืองเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นฉินเวยเวยไม่เข้าใจว่าเขาซื้อไก่ตัวนี้มาทำอะไร
เห็นได้ชัดว่าไก่ตัวผู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญชะตากรรมอะไร หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งก็ยอมรับชะตากรรมแล้วเช่นกัน แต่ไม่นานเรื่องที่ทำให้มันตื่นตกใจก็เกิดขึ้นแล้ว มันพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนมันจะชินกับการถูกคนจับมากกว่า เหมือนจะรับกับสภาพนี้ไม่ค่อยได้ ก็เลยกระพือปีกขึ้นมาอีก ทว่ามีหรือที่จะหนีจากพันธนาการของพลังอิทธิฤทธิ์จากเหมียวอี้ได้
ในฝ่ามือของเหมียวอี้ที่กำลังกางอยู่ เพลิงจิตกลุ่มหนึ่งพรั่งพรูขึ้นมา ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ไว้กลางอากาศ พอใช้ฝ่ามือผลักเบาๆ ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่กระพือปีกอยู่กลางอากาศก็ลอยช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดลึกลับที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาดทันที
เคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนสามารถแก้ได้สารพัดพิษ พลังป้องกันของเพลิงจิตในตอนนี้ก็ยิ่งเหนือกว่าในอดีต ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากจะทดสอบพลังป้องกันของเพลิงจิตที่มีต่อหมอกเลือดพวกนี้ เพราะเขาอยากจะเข้าไปค้นหาที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งจริงๆ ตอนที่เขาหาสมบัติเจอตามแผนที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้ ทุกที่ล้วนมีภาพสตรีทะยานฟ้า และในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งก็ดันมีเหมือนกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีแรงดึงดูดขนาดไหน
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้เริ่มดีใจแล้ว ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่โดนผลักเข้าไปในหมอกเลือดกลับมาอย่างปลอดภัย พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงให้เข้ามาใกล้ ก็พบว่ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ ยังคงกระพือปีกอยู่ในเพลิงจิต สิ่งนี้อธิบายได้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนมีความสามารถในการสกัดกั้นหมอกเลือดอันน่าหวาดกลัวจริงๆ
เพื่อที่จะทดสอบว่าผิดพลาดหรือไม่ เพลิงจิตที่ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่หดหายไปอย่างรวดเร็ว
“กุกๆ…” ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่พลันส่งเสียงร้องพวาดกลัว ก่อนจะตกลงดิ้นรนบนพื้น แล้วหลอมละลายอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าเห็นได้
ไม่ผิดหรอก! มันกำลังหลอมละลายจริงๆ ท่ามกลางการกัดกร่อนของหมอกเลือด เสียงไก่ร้องดังไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวทั้งตัวทั้งขนก็กลายเป็นน้ำสีดำที่มีกลิ่นเหม็นคาว
เหมียวอี้ที่สูดหายใจอย่างตกตะลึงทำสีหน้าไม่ถูก พิษของหมอกเลือดโหดไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่โชคดีที่เพลิงจิตของตนสามารถสกัดกั้นได้ เหมียวอี้พลิกฝ่ามือนำเกราะรบสีแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงออกมา เขาสวมเกราะรบไว้บนร่างกาย ในมือถือทวนเกล็ดย้อน ใช้เพื่อป้องกันตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง
ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเพลิงจิตปกป้องร่างกายเพื่อบุกเข้าไป จู่ๆ เขาก็ชะงัก นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง
พอโบกมือหนึ่งครั้ง ตั๊กแตนที่ใหญ่เท่าวัวตัวผู้ก็บินออกมา นี่คือตั๊กแตนที่เขาพกติดตัวเอาไว้ป้องกันตัวตลอดเวลา มันกระพือปีกบินเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเขียวขลับน่ากลัวอยู่ภายใต้ม่านราตรี
ตั๊กแตนทมิฬสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยงจะเข้าไปข้างในได้หรือเปล่า เขาจำได้ว่าเหล่าไป๋เคยบอก ว่าตั๊กแตนที่ฟักไข่ออกมาจากวิธีการที่สอนก็คือตั๊กแตนหยินหยาง เขาอยากจะทดลองมาก
เพียงแต่การทดสอบนี้ค่อนข้างอันตรายกับตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยง ถ้าเกิดเหตุการณ์เหมือนกับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่เมื่อครู่นี้ขึ้นมา นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ในตอนนี้ตั๊กแตนหนึ่งตัวสามารถช่วยเขาหาเงินได้ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะมีความเสียหายเยอะมาก
เมือ่คิดไปคิดมา ก็ยังตัดสินใจว่าจะลองดู อยากมากก็แค่ต้องระมัดระวังหน่อย
เหมียวอี้ปักทวนลงพื้น พอกวักมือนิดหน่อย วูบ! ตั๊กแตนตัวหนึ่งก็เหาะลงตรงหน้าทันที
พอเหมียวอี้กอดแขน ตั๊กแตนที่ตัวใหญ่ราวกับวัวทว่าหนักกว่าก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาได้อย่างสบายๆ ตัวหนึ่ง
ตั๊กแตนที่ถูกอุ้มขึ้นมาตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันดิ้นรนขาทั้งสี่ โบกสะบัดหนวดสัมผัส หันหัวมามองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเอามันไม่ทำอะไร ให้ความรู้สึกคล้ายๆ ชายหญิงห้ามอยู่ใกล้ชิดกัน ตั๊กแตนที่ขาทั้งสี่ลอยอยู่กลางอากาศหันหัวมาจ้องเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่ามองแล้วไม่เข้าใจ
“อย่าขยับ!” เหมียวอี้ตะคอก หลังจากทำให้ตั๊กแตนว่าง่ายแล้ว จับขาข้างหนึ่งของมันให้ตรงแล้วยื่นเข้าไปในหมอกเลือด ไม่กล้าปล่อยเข้าไปหมด
ผลลัพธ์ทำให้คนดีใจ ตั๊กแตนไม่มีความผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น ข้อขาน่าเกลียดน่ากลัวที่ยื่นเข้าไปในหมอกเลือดก็ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมียวอี้ดีใจมาก จากนั้นก็ลองค่อยๆ ปล่อยตั๊กแตนเข้าไปทั้งตัว หลังจากเข้าไปเกินครึ่งตัวแล้วไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็ใช้แขนดัน โยนมันเข้าไปทั้งตัว
ไม่เป็นอะไร ตั๊กแตนกระพือปีกบินอยู่ในหมอกเลือด แล้วก็แฉลบออกมาอีก มันส่ายหน้าสั่นหัว ยังคงมองเหมียวอี้อย่างไม่เข้าใจ
พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนทั้งห้าตัวก็บินเข้าไป ดวงตาสีเขียวขลับขยับอยู่ในหมอกเลือด บินไปบินมาอย่างเป็นปกติมาก
“จุๆ!” เหมียวอี้ร่าเริงแล้ว แบบนี้ดีแน่นอน พอร่ายอิทธิฤทธิ์ เพลิงจิตก็พรั่งพรูออกมาครอบตัวเอง และเตรียมตัวจะเข้าไป…
“บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ทำให้ผิวดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หมอกเลือดที่อยู่ตรงหน้าเริ่มหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง ตั๊กแตนห้าตัวรีบบินออกมาราวกับเห็นผี
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่กำลังจ้องหมอกเลือดค่อนข้างงุนงง เล่นใหญ่เกินไปแล้ว!
เห็นเพียงแสงมันวาวสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในหมอกเลือด ถ้าดวงตาของตั๊กแตนห้าตัวขนาดมีขนาดเท่าโคมไฟอันเล็ก เช่นนั้นดวงตาประกายสีเขียวเข้มที่ปราฏรางๆ อยู่ในหมอกเลือดก็ต้องมีขนาดเท่าโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งแน่นอน สิ่งนี้ทำให้คนขนลุกซู่
…………………………