พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1091 สะกดรอยตาม

บทที่ 1091 สะกดรอยตาม

บนท้องฟ้า ฉินเวยเวยที่กำลังอุ้มเหมียวอี้ถามอย่างร้อนใจว่า “จะกลับไปพักที่ยอดเขาหยกนครหลวงอย่างสงบใจก่อนมั้ย?”

เหมียวอี้ตอบอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “มู่ฝานจวินอาจจะจับตาดูที่ยอดเขาหยกนครหลวงอยู่ กลับไปตอนนี้ไม่เหมาะ รอให้ข้าพักฟื้นจนหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน เมืองโบราณพังทลาย เกรงว่าคงดึงดูดให้นักพรตมาสำรวจดูทุกที่ ซ่อนตัวแถวๆ นี้ไม่สะดวก เรือลำนั้นน่าจะลอยไปไม่ได้ไกล ไปขึ้นเรือ”

ฉินเวยเวยพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

ตอนที่พวกเขาเหาะออกจากเมืองโบราณฉางเฟิง ก็มีชายหฐิงอีกคู่หนึ่งปรากฏตัวจากซอกมุมที่อยู่ในเมือง ผู้ชายหน้าตาธรรมดา แต่ผู้หญิงกลับมีทรวดทรงองเอวงดงาม ดวงตาสดใสและกลมเหมือนลูกบ๊วย ใบหน้างดงามน่าทะนุถนอม

“วรยุทธ์เจ้ายังไม่สูงพอ อยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะตามไปดู” ผู้ชายผู้ทิ้งท้ายไว้ เตรียมจะสะกดรอยตาม

ใครจะคิดว่าผู้หญิงกลับดึงแขนเขาไว้ “ข้าไปด้วย!”

ผู้ชายเหมือนจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากลังเลนิดหน่อย ก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ดึงนางเหาะออกจากเมือง อาศัยความมืดยามค่ำคืนและสภาพพื้นที่เพื่อพรางตัวตลอดทาง ตามหลังพวกฉินเวยเวยอยู่ไกลๆ…

พวกฉินเวยเวยหาแม่น้ำที่ใช้เดินทางตอนขามาพบแล้ว พวกนางเดนิทางไปตามกระแสน้ำโดยอาศัยแนวภูเขาสองฝั่งแม่น้ำคอยกำบัง ใช้เวลาไม่นานก็หาเรือโหลวฉวนที่ถูกทิ้งลำนั้นพบ

พวกเขาแยกจากเรือโหลวฉวนลำนั้นเป็นเวลาเพียงเกือบครึ่งวัน เรือโหลวฉวนไหลตามคลื่นกระแสน้ำหลังจากถูกทิ้งไว้ เมื่อไม่มีคนคอยขับเรือ ใช้เวลาเกือบครึ่งวันก็ลอยไปได้ไม่ไกลเท่าไร ที่จริงยังใกล้กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ด้วยซ้ำ เรือโหลวฉวนเกยตื้นนิ่งๆ อยู่บนชายหาดที่เป็นกระแสน้ำย้อนกลับ

หงเหมียน ลู่หลิ่วขึ้นเรือไปสำรวจดูรอบหนึ่งก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคน ฉินเวยเวยถึงได้อุ้มเหมียวอี้เข้ามาในห้องโดยสารเรือ เมื่อวางลงบนเตียงแล้ว ก็ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาให้เหมียวอี้ต่อไป ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเรืออีกครั้ง ทำให้เรือไหลตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว

ต่อให้เรือจะแล่นเร็วกว่านี้ แต่ก็สู้ความเร็วในการเหาะไม่ได้ กอปรกับไหลไปตามกระแสน้ำ เส้นทางชัดเจนและแน่นอน ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะสะกดรอยตามพลาด ชายหญิงที่ติดตามอยู่ตามแนวภูเขาใกล้ๆ สบายแล้ว ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบ เรียกได้ว่าตามหลังอยู่ในแนวภูเขาสองฝั่งน้ำอย่างสบายๆ

“พี่ใหญ่กาน ท่านกำลังทำอะไร?” ผู้หญิงสังเกตเห็นผู้ชายน้ำแผ่นหยกมาเขียนอะไรบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะถาม

ผู้ชายหัวเราะหึหึ แล้วถามว่า “ซู่ซู่ เจ้ารู้มั้ยว่าคนที่ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บเป็นใคร?”

ผู้หญิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย ถามว่า “อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่กานรู้จัก?”

ที่จริงนางก็รู้จักเหมียวอี้เหมือนกัน แต่จนใจที่แค่บังเอิญพบเหมียวอี้เท่านั้น และไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมียวด้วย

นางเคยเป็นคนเมืองคล้อยบูรพา ชื่อว่าฟางซู่ซู่ จะว่าไปแล้วการที่นางเข้าสู่แดนฝึกตนก็เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้เหมือนกัน ในปีนั้นเหมียวอี้ยังเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา ตอนที่มาเที่ยวเล่นเมืองคล้อยบูรพา ก็บังเอิญรับลูกกลมแพรปัก[1]ที่นางโยนมาได้ จากนั้นก็โยนทิ้งโดยไม่ใส่ใจ เรื่องนี้ทำให้นางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของเมืองคล้อยบูรพา

สาวน้อยคนหนึ่งที่โยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าวแต่กลับโดนปฏิเสธ จะไม่ให้นางเหลือทนได้อย่างไร ดังนั้นจึงติดตามมาตลอดเพราะต้องการคำอธิบาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นนักพรต ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ชายตามองนาง เพราะอีกฝ่ายเป็นท่านเซียน จะมาสนใจมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างไร แต่นิสัยนางหยิ่งในศักดิ์ศรี จึงตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญเซียน เพื่อรอทวงความยุติธรรมในอนาคต

ตอนหลังเมื่อเหมียวอี้ถูกลดขั้นให้เป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา แล้วมาเที่ยวเล่นในเมืองคล้อยบูรพาอีกครั้ง เขาก็บังเอิญพบนางอีกครั้งหนึ่ง แต่เหมียวอี้ไม่รู้จักนางแล้ว ส่วนนางถึงแม้จะรู้จักเหมียวอี้แต่ก็ยังเป็นฝ่ายเข้ามาทำความรู้จัก ทำให้ทั้งสองได้ล่องเรือ้ที่ยวด้วยกัน แต่นางกลับไม่ได้สืบจนรู้ฐานะที่แท้จริงของเหมียวอี้ นางแค่สังเกตเห็นว่าถึงแม้ความคืบหน้าในการฝึกตนของนางจะไม่ช้า แต่เมื่อเทียบกับเหมียวอี้แล้วก็ยังห่างกันไม่ใช่น้อยๆ ตอนหลังเหมียวอี้ก็ทิ้งนางแล้วจากไปโดยไม่ลาอีก การจากลาครั้งนั้นก็ทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลยหลายปี

ครั้งนี้ได้พบเหมียวอี้อีกครั้งถือเป็นโชคชะตาแท้ๆ ที่เขาว่ากันว่า ‘ถ้าไร้ความบังเอิญก็คงเขียนหนังสือออกมาไม่ได้’ ก็เป็นแบบนี้นี่เอง

เป็นเพราะตอนแรกนางไม่เชื่อฟังคำโน้มน้าวของพ่อแม่ จากบ้านเกิดเมืองนอนไปตามหาววาสนาในการฝึกตนเป็นเซียน แต่ตอนที่ได้วาสนาในการฝึกตนมา พ่อแม่ของนางกลับจากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้ในใจนางเสียใจเคียดแค้นกับเรื่องนี้ไม่หาย แค้นใจที่ตัวเองไม่ได้กตัญญูอย่างเต็มที่ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทุกๆ หลายปีนางจึงกลับบ้านเกิดมาเอาศีรษะโขกพื้นตรงหน้าหลุมศพพ่อแม่เสมอ เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี

ส่วนผู้ชายที่ร่วมเดินทางมาด้วยชื่อว่ากานเจ๋อกวง เป็นลูกศิษย์ขอสำนักงามวิจิตรที่งแดนอู๋เลี่ยง

สาเหตุที่ฟางซู่ซู่มารู้จักเขาได้ จะว่าไปก็ยังเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้อยู่ ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเหมียวอี้ นางพบว่าตัวเองพยายามมาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถดึงระยะห่างระหว่างกันได้ และสำนักของนางที่แดนอู๋เลี่ยงก็เล็กเกินไป แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังมีวรยุทธ์แค่บงกชแดงเท่านั้น ถามหน่อยว่านางจะทำอะไรได้ สำนักเล็กๆ ไม่เพียงพอจะสนับสนุนอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของนาง ดังนั้นสายตานางจึงมองไปยังจุดที่ไกลกว่าเดิม

จุดสูงสุดของแดนอู๋เลี่ยงย่อมเป็นนภาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว แต่นภาอู๋เลี่ยงไม่ใช่จุดที่นางจะเข้าใกล้ได้เลย จึงถอยมาจับจ้องเป้าหมายรองซึ่งก็คือสำนักงามวิจิตรที่เกี่ยวข้องกับนภาอู๋เลี่ยง ด้วยการลองคบค้าสมาคมหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้รู้จักกับกานเจ๋อกวงคนนี้

สำหรับฟางซู่ซู่ ภูมิหลังของกานเจ๋อกวงไม่เล็กเลย อาจารย์ของเขาก็คือเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์พี่ของเยารั่วเซียนนั่นเอง

เจตนาเดิมของนางคือหวังจะให้กานเจ๋อกวงแนะนำให้นางเข้าสำนักงามวิจิตร เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่าว่าแต่สำนักงามวิจิตรเลย แต่ไม่ว่าสำนักใดก็ไม่รับคนส่งเดชทั้งนั้น แต่กานเจ๋อกวงกลับถูกใจในความสวยของนาง ชื่นชอบนาง ตามจีบนางมาตลอด ครั้งนี้ที่ฟางซู่ซู่กลับบ้านเกิดมากวาดหลุมศพพ่อแม่ เขาถึงขั้นเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ

สำหรับนักพรต เมืองคล้อยบูรพาอยู่ห่างจากเมืองฉางเฟิงไม่ไกล ล้วนขึ้นตรงต่ออาณาเขตจวนหนานเสวียน ระหว่างทางที่กลับมาจากกวาดหลุมศพ เมื่อเดินทางผ่านตรงนี้ เสียงระเบิดก็ทำให้ทั้งสองตกใจ ทั้งสองมาถึงเร็วกว่าฉินเวยเวยก้าวหนึ่ง เรียกได้ว่าเห็นภาพที่เหมียวอี้ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกับตา

หลังจากตั๊กแตนทมิฬถอยไปแล้ว เดิมทีกานเจ๋อกวงคิดจะจัดการเหมียวอี้ที่กำลังบาดเจ็บ ทว่าตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำให้เขาหวาดกลัว กอประกับตอนหลังฉินเวยเวยมาถึงแล้ว เขาถึงได้ซ่อนตัวอยู่ตลอด ตอนหลังถึงได้ติดตามไป

ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินทางทะลุป่าภูเขาริมแม่น้ำ เมื่อได้ยินคำถามของฟางซู่ซู่ กานเจ๋อกวงก็เดาะลิ้นแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ! ซู่ซู่ เจ้าคือดาวนำโชคของข้าจริงๆ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ตามเจ้ามาไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด ข้าจะได้สร้างผลงานใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร! เจ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้เหมียวจัญไรไง!”

ฟางซู่ซู่อึ้งไปชั่วขณะ ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน จึงถามว่า “ไอ้เหมียวจัญไรไหน?”

กานเจ๋อกวงตอบกลั้วหัวเราะ “อย่าบอกนะว่ามีไอ้เหมียวจัญไรหลายคน? ไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนฝึกตนไง ประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ไอ้เหมียวจัญไรที่เอาเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุมาเป็นเมียไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยิน?”

“เขาคือเหมียวอี้เหนอ? พี่ใหญ่กาน ท่านแน่ใจนะว่าเป็นเขา?” ฟางซู่ซู่ตกตะลึงปนประหลาดใจ

กานเจ๋อกวงตอบว่า “ไม่ผิดแน่! ตอนที่เขาก่อเรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าอยู่ในเหตุการณ์และได้เห็นกับตาตัวเอง จะจำผิดได้อย่างไร แล้วก็มีผู้หญิงที่อุ้มเขาด้วย ตอนนั้นข้าเคยเจอที่สำนักงามวิจิตรเหมือนกัน ฉินเวยเวย เป็นอนุภรรยาของเขา มีผู้หญิงคนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ก็ยิ่งไม่ผิดแน่ ไอ้เหมียวจัญไรนี่ก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตร ทั้งยังฆ่าลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย มาบังเอิญถูกข้าพบเข้าแล้ว ถ้าข้าส่งข่าวนี้กลับไป ก็จะมีคนมาจับตัวเขาได้ทันเวลา เจ้าว่านี่จะไม่ใช่ผลงานใหญ่ได้อย่างไร?”

ฟางซู่ซู่เงียบไป ถึงขั้นแค้นจนกัดฟันกรอดด้วยซ้ำ ที่แท้คนที่นางตามหามาหลายปีก็คือไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังทั้งแดนฝึกตน อีกฝ่ายมีอนุภรรยาแล้วด้วยซ้ำ เสียแรงที่นางทรยศบุญคุณของบิดามารดาเพื่อเขา หลายปีมานี้เพื่อที่จะดึงระยะห่างให้ใกล้กับเขา นางก็ยิ่งได้รับความลำบากทุกข์เต็มที่

จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองจะลำบากไปเพื่ออะไรกัน เข้ามาอยู่ในสำนักงามวิจิตรอล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายคือคนที่กล้าก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตรต่อหน้าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินนะ กล้าสังหารแม้กระทั่งลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ด้วยระยะห่างแบบนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้นางคงจะไม่มีทางดึงให้เสมอกันได้

เจี่ยเสียน! ในฟางซู่ซู่มีชื่อหนึ่งแวบเข้ามา เป็นตอนที่ได้พบเหมียวอี้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เหมียวอี้ปลอมชื่อนี้มาตบตานาง ในใจมีความเคียดแค้นพรั่งพรูออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้!

สิ่งที่ผู้หญิงไขว่คว้ามาไม่ได้ มักจะทำให้เกิดความเคียดแค้นอย่างแปลกประหลาด!

“ซู่ซู่ เจ้าติดตามต่อไป ข้าไปที่อื่นประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวกลับมา!” เมื่อเขียนแผ่นหยกเสร็จแล้ว กานเจ๋อกวงที่จับอินทรีเทพมาตัวหนึ่งก็สั่งนางไว้

ฟางซู่ซู่พยักหน้าเอ่ยรับ กานเจ๋อกวงอุ้มอินทรีเทพเหาะไปไกลทันที ไม่กล้าปล่อยอินทรีเทพให้บินในจุดที่ใกล้เกินไป กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของเป้าหมาย ถ้าแหวกหญ้าให้งูตื่นจนหนีไป ผลงานก็จะหายไปด้วยเช่นกัน…

หลังจากเรือแล่นไปหลายวัน ก็ออกจากบริเวณฝนชุกที่ถูกขนาบด้วยภูเขา มาถึงจุดที่กว้างขวางของแม่น้ำ ในแม่น้ำมีเรือประมงและเรือสินค้าสัญจรไปมาเป็นระยะ สองฝั่งแม่น้ำก็มีท่าเรือและบ้านคนอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อลักษณะพื้นที่กว้างขวาง กานเจ๋อกวงกับฟางซู่ซู่ก็สะกดรอยตามได้ค่อนข้างลำบาก ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะจะถูกพบได้ง่าย ทำได้เพียงตามอยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ที่กำลังประคองลมหายใจพบปัญหาใหญ่แล้วเช่นกัน อาการบาดเจ็บคงที่แล้ว แต่แขนสองข้างที่โดนพลังโจมตีเยอะที่สุดในตอนนั้นกลับใช้งานไมได้ กระดูกและเนื้อหนังสะเทือนจนแทบแตกเละทั้งหมด ไม่สามารถฟื้นตัวได้โดยตรง จำเป็นต้องตัดขาสองข้างทิ้งและปล่อยให้งอกใหม่อีกครั้ง

ความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมการงอกใหม่ของอวัยวะ คนนอกไม่สามารถจินตนาการได้ นี่คือเรื่องที่เหมียวอี้ประสบพบเจอเป็นครั้งที่สอง โชคดีที่ตอนนี้บนตัวเขามีสมุนไพรเซียนซิงหัวมากพอ สามารถค่อยๆ ใช้สอยได้

พวกฉินเวยเวยปวดใจแทบแย่ ระหว่างทางร้องไห้ไปหลายรอบแล้ว

จนกระทั่งสามารถลุกเดินได้แล้ว เหมียวอี้ก็เดินแกว่งแขนเสื้อสองข้างออกมาจากห้องโดยสารเรือ เขาออกมาตากอากาศบนตึกเรือ แต่ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อกาฬซึมออกจากหน้าผากไม่เคยหยุด เสื้อผ้าบนตัวถูกทำให้เปียกครั้งแล้วครั้งเล่า การยืนพิงระเบียงให้ลมเป่า กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยเลย เขาเอนกายลงบนเก้าอี้นอน ไม่ยอมอุดอู้อยู่ในห้องโดยสารเรืออีก

ฉินเวยเวยที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกัดฟันถามว่า “ใครทำให้ท่านบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้คะ?”

เหมียวอี้ที่สีหน้าซีดขาวยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่คนหรอก! เป็นข้าเองที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ไปเรียกตั๊กแตนทมิฬออกมาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เวยเวย ต่อไปนี้เจ้าจำไว้นะ ว่าตั๊กแตนทมิฬที่ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมีพลังเหนือกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ไกลมาก ขนาดข้ายังต้านทานไม่ไหวเลย ข้าแน่ใจด้วยว่าหกปราชญ์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันเหมือนกัน อย่าไปยั่วโมโหมันเด็ดขาด…”

ณ สำนักงามวิจิตร เซี่ยงไป่ถิงได้รับข่าวจากกานเจ๋อกวงที่เป็นลูกศิษย์แล้ว ความคิดแรกก็คือไปบอกโม่หมิงผู้เป็นอาจารย์ของเขา

แต่หลังจากเดินมาถึงที่หลอมของวิเศษของสำนัก ฝีเท้าก็หยุดชะงัก ไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ของโม่หมิงกับเยารั่วเซียน แล้วเยารั่วเซียนกับเหมียวอี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา…เซี่ยงไป่ถิงจึงหันตัวหลับ เปลี่ยนเส้นทางไปยังลานบ้านของเรือนพักด้านในที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ สถานที่ฝึกตนของอาจารย์แม่เหมียวจวินอี๋

เหมียวจวินอี๋ที่สวมชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ ตอนนี้กำลังเล่นกับวิหคขนสีรุ้งในกรงที่ห้อยใต้ชายคาพอดี การขอพบจึงไม่ลำบากอะไร

หลังจากได้อ่านแผ่นหยกที่เซี่ยงไป่ถิงยื่นมาให้ เหมียวจวินอี๋ก็เงยหน้าถามทันที “อาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“กำลังจะไปบอกท่านอาจารย์พอดีขอรับ แต่นึกไม่ถึงว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่” เซี่ยงไป่ถิงตอบ

เหมียวจวินอี๋เตือนทันทีว่า “ห้ามบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เจ้า ข้าจะไปพบท่านปราชญ์เดี๋ยวนี้…”

หลังจากสั่งแล้ว นางก็ไม่สนใจนกที่อยู่ใต้ชายคาอีก เรียกได้ว่าเหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย

เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร เซี่ยงไป่ถิงก็ดีดนิ้วปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสายหนึ่ง ทำให้นกขนสีรุ้งที่อยู่ในกรงเจ็บจนดิ้นพล่าน…

…………………………

[1] ลูกกลมแพรปัก 绣球 ในสมัยโบราณมีไว้ใช้การเสี่ยงทายเลือกคู่ ถ้าผู้หญิงโยนไปให้ใคร คนนั้นจะได้เป็นเจ้าบ่าว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset