สำนักงามวิจิตรอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล อย่างน้อยก็เป็นแบบนี้สำหรับนักพรต เหมียวจวินอี๋ที่เหาะด้วยความเร็วสูงเข้ามาในนภาอู๋เลี่ยงอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีใครขัดขวาง
ตอนที่พบฟิงเป่ยเฉินในลานบ้านลึกของตำหนักอู๋เลี่ยงที่กว้างใหญ่ไพศาล เฟิงเป่ยเฉินกำลังเอามือไขว้หลังมองดูฉินซีตัดแต่งดอกไม้ที่ปลูกในกระถางด้วยท่าทางสนใจ เฟิงเป่ยเฉินอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติประจำตัวดีสักเท่าไร แต่กลับมีรสนิยมสูง การอยู่เหนือผู้อื่นมานานไม่ใช่สิ่งที่มีไว้แสดงโอ้อวดเท่านั้น ความมีระดับที่ได้รับการบ่มเพาะมาก็ยังมีอยู่บ้าง คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ฉินซีนิดหน่อย
เมื่อเหมียวจวินอี๋ที่เข้ามาคำนับเห็นภาพนี้ ก็จ้องฉินซีที่มีอากัปกิริยาเย็นชาเงียบเหงาพลางเบะปาก เหมือนจะดูถูกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าเรียบร้อยจริงจังอีก
“ท่านอาจารย์! อาจารย์แม่!” หลังจากคำนับแล้ว ก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เฟิงเป่ยเฉินอ่าน
“ตั๊กแตนทมิฬ…” ฟิงเป่ยเฉินรับมาอ่านแล้วพึมพำ สีหน้าเริ่มจริงจังและหนักแน่นทีละนิด เกราะรบสีแดงที่บรรยายในเนื้อหารายงานทำให้เขานึกเชื่อมโยงถึงโซ่สีแดงที่มัดตัวพวกผีดิบที่เห็นบนเรือมังกรอเวจี ทั้งยังมีดาบใหญ่สีม่วงที่ตกอยู่ในมือมู่ฝานจวินอีก
ตอนนี้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าบนตัวเหมียวอี้มีของประเภทนี้อยู่เท่าไรกันแน่ ในใจรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกราะรบสีแดง ลำพังแค่ตัวเหมียวอี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาอยากจะกำจัดทิ้งให้สำราญใจจะแย่อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยหาโอกาสเหมาะพบก็เท่านั้นเอง เขาหันกลับมาถามว่า “คนที่ส่งข่าวกลับมาเชื่อถือได้หรือเปล่า?”
“เชื่อถือได้ค่ะ! เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์เองก็รู้จัก ยินดีจะร่วมทางไปกับท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ตอบ
“ไอ้เหมียวจัญไร!” เฟิงเป่ยเฉินแสยะยิ้ม บีบแผ่นหยกจนแตกเป็นผุยผง แล้วโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ถ้าคนมากกลับจะสะดุดตา ถ้าไปยั่วแหย่พวกมู่ฝานจวินขึ้นมา พาเจ้าไปด้วยกลับจะเป็นภาระ”
ฉินซีกำลังตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสงบใจโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา พอได้ยินคำว่า ‘ไอ้เหมียวจัญไร’ กรรไกรในมือก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตัดแต่งกิ่งไม้ต่อไปอย่างสุขุม นิสัยเย็นชาถึงขั้นพบเหตุการณ์ผิดปกตอแล้วยังนิ่งได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเคยชินแล้ว
เฟิงเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพล ขณะที่หันตัวกำลังจะจากไป เสียงที่เรียบเฉยของฉินซีก็ดังมา “อยู่เป็นเพื่อนข้าสักพักทำให้ท่านทนไม่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมองมา ผู้หญิงคนนี้เย็นชากับเขามากี่ปีแล้ว กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาแบบนี้ ชั่วพริบตาเดียวทำให้เขารู้สึกว่านางยังมีความรักความห่วงใยให้เขาอยู่บ้างนิดหน่อย ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังเรียบนิ่งก็ตาม
รอยยิ้มที่พิเศษปรากฏบนใบหน้าเฟิงเป่ยเฉิน เขาเดินกลับเข้ามาอีก ยื่นมือไปโอบเอวของฉินซีเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว การได้อยู่กับฮูหยินถือเป็นเกียรติของข้า เพียงแต่มีธุระสำคัญต้องไปจัดการสักหน่อย เดี๋ยวรอข้ากลับมา ข้าจะชดเชยให้ฮูหยินอย่างดีเลย”
เหมียวจวินอี๋ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ เรียกได้ว่าไม่ค่อยพบเห็นท่าทางแบบนี้ของเฟิงเป่ยเฉิน เวลาที่เป็นการเป็นงาน แต่ไหนแต่ไรมาเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เคยมีไมตรีจิตอะไรเลย ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ถ่วงเรื่องสำคัญเอาไว้เพื่อมายิ้มปลอบโยนผู้หญิงแบบนี้ ทำให้นางมองฉินซีด้วยแววตาที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก
ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเฟิงเป่ยเฉิน กล่าวเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไรพาข้าไปด้วยเถอะ”
“เอ่อ…” เฟิงเป่ยเฉินลำบากใจนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปกับเขา ยามปกติเป็นเขาที่ดึงนางไปด้วยกัน ถ้าหากพูดปฏิเสธไป ก็จะเป็นการขัดขวางผู้หญิงที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเอ่ยปากสักครั้ง แบบนั้นเกรงว่าเขาจะต้องเห็นใบหน้าที่เย็นชาของนางไปอีกหลายปี แต่ก็ไม่สะดวกจะพานางไปด้วยจริงๆ จึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าต้องไปอาณาเขตของมู่ฝานจวิน ดีไม่ดีอาจจะเกิดการปะทะกัน เจ้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกับเจ้า”
“มีท่านอยู่ด้วย ข้าจำเป็นต้องกลัวด้วยหรือ?” ฉินซีกล่าวเสียงเรียบ
“…” ประโยคนี้อุดปากจนเฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออก ถ้าจะให้บอกว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องเมียตัวเอง นั่นก็ทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาเกินไปแล้ว จะดีจะร้ายก็ยังเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่ได้มีดีแค่ชื่อ ถึงแม้จะปกป้องฮูหยินคนแรกของตัวเองไม่ได้ก็ตาม
“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เก็บข้าไว้ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก็ได้ ไปกันเถอะค่ะ!” เมื่อวางกรรไกรในมือลงเบาๆ ฉินซีก็ทำท่าเหมือนจะไปทันทีโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“เหอะๆ!” เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าหัวเราะอย่างจนใจ คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแค่เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ก็สิ้นเรื่องแล้ว เขาจึงจูงมือนาง แล้วหันมาบอกเหมียวจวินอี๋ว่า “อินทรีเทพ อินทรีเทพที่เซี่ยงไป่ถิงใช้ติดต่อกับลูกศิษย์ของเขา!”
ทั้งสามเหาะออกจากนภาอู๋เลี่ยงด้วยกัน เร่งเดินทางสู่สำนักงามวิจิตร
เฟิงเป่ยเฉินและฮูหยินไม่ได้เข้าสำนักงามวิจิตร แต่รออยู่ด้านนอกในจุดที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ให้เหมียวจวินอี๋กลับไปคนเดียวเพื่อนำอินทรีเทพมาจากเซี่ยงไป่ถิง แล้วกลับมาส่งต่อให้เฟิงเป่ยเฉิน จากนั้นนางก็มองส่งเฟิงเป่ยเฉินพาฉินซีเร่งเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
“ทำไมเหาะเร็วขนาดนี้? ช้าสักหน่อยเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ตามรายทางไม่ได้หรือคะ?”
เมฆลมลอยผ่านหู ร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ฉินซีที่ถูกจูงให้เหาะไปด้วยกันเอ่ยถาม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเหาะไปกับเฟิงเป่ยเฉิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพานางเหาะด้วยความเร็วสูงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งทำเวลา
“วันนี้ฮูหยินเหมือนจะมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษ แต่ข้ามีธุระต้องไปให้ทันเวลาจริงๆ เดี๋ยวตอนหลับข้าค่อยพาชื่นชมอย่างช้าๆ ก็ยังไม่สาย” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มตอบ
ที่จริงในใจกลับค่อนข้างร้อนรน ดูจากวันที่อินทรีเทพส่งข่าวมา นับจากวันที่พบเบาะแสของเหมียวอี้ กว่าจะมาถึงทางนี้ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วอินทรีเทพบินช้าเกินไปสำหรับเขา เวลาผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยังอยู่ในขอบเขตการสะกดรอยตามหรือไม่
ความเร็วของอินทรีเทพย่อมเทียบเฟิงเป่ยเฉินไม่ติดอยู่แล้ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน เฟิงเป่ยเฉินก็มาถึงบนฟ้าเหนือเมืองโบราณฉางเฟิง เขามองเมืองโบราณที่ถูกทำลายพังข้างล่างแวบหนึ่ง เป็นการพิสูจน์ข่าวที่รายงานมาแล้วจริงๆ
“แค่ซากเมืองพังควรค่าให้ท่านชื่นชมด้วยหรือคะ?” ฉินซีที่ลอยอยู่บนฟ้าหันหน้ามาถาม ที่จริงนางอยากจะหยั่งเชิงเจตนาของเฟิงเป่ยเฉินในการมาครั้งนี้ ตลอดทางที่มาไม่ได้คอยถามแค่ครั้งเดียว
เฟิงเป่ยเฉินเพียงส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร ดึงนางเหาะไปข้างหน้าต่อด้วยความเร็วสูง
ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองก็มาใกล้ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำที่ไม่นับว่าอยู่ไกลเกินไป เฟิงเป่ยเฉินปล่อยอินทรีเทพของกานเจ๋อกวงออกมา ให้มันไปหากานเจ๋อกวง
พออินทรีเทพขยับตัวบิน เขาก็เหาะไล่ตามมันไปทันที หลังจากเล็งทิศทางที่อินทรีเทพบินไปอย่างแม่นยำแล้ว เขาก็จับอินทรีเทพพาเหาะไปด้วยกันเพื่อประหยัดเวลา ทำแบบนี้เพื่อแยกแยะทิศทางการติดตามซ้ำอีกครั้ง
ในเวลานี้ หลังจากกึ่งเดินทางกึ่งหยุดพักไปตามริมแม่น้ำ จนกระทั่งเรือที่สะกดรอยตามลอยไปไกลแล้ว กานเจ๋อกวงก็ดึงฟางซู่ซู่ให้สะกดรอยตามโดยอาศัยสภาพพื้นที่อำพรางตัว คอยตามดูอยู่ห่างๆ ตลอด
“ใกล้จะออกทะเลแล้ว อินทรีเทพคงจะถึงสำนักงามวิจิตรแล้ว ลองคำนวณเวลาดู คนที่ถูกส่งมาน่าจะถึงภายในสองวันนี้แล้วสิ?” ขณะที่สะกดรอยตาม ปากกานเจ๋อกวงก็พึมพำนับเวลาไม่หยุด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คำพูดนี้ทำให้ฟางซู่ซู่รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็หยุดแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่กาน นี่คือเรื่องของสำนักงามวิจิตรของพวกท่าน คงไม่ดีที่คนนอกอย่างข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าไม่ตามต่อแล้ว”
กานเจ๋อกวงหยุดเดินตาม แล้วมองนางอย่างงุนงง “เจ้าอยากเข้าสำนักงามวิจิตรมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
ฟางซู่ซู่ตอบว่า “ท่านทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าคนนอกอย่างข้าตามไปด้วย หากมีอะไรพลาดพลั้งเสียหายขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้คนเข้าใจผิด”
กานเจ๋อกวงเงียบงันพลางครุ่นคิด รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน หากเกิดเรื่องขึ้นมาดีไม่ดีจะทำให้ฟางซู่ซู่ลำบากไปด้วย จึงหันไปมองทิศทางที่เรือแล่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “ก็ได้! งั้นเจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าค่อยไปหาเจ้าทีหลัง”
“พี่ใหญ่กานรักษาตัวด้วย!” ฟางซู่ซู่กุมหมัดคารวะ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสุภาพเกรงใจอะไรกันมาก กานเจ๋อกวงกุมหมัดคารวะ แล้วสะกดรอยตามไปข้างหน้าต่อ
จนกระทั่งเขาเดินไปไกลแล้ว ฟางซู่ซู่ก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถลันตัวไปที่ริมแม่น้ำ เกิดเสียงดังจ๋อม นางดำลงไปในแม่น้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่ตามไปยังทิศทางเรือด้วยความเร็วสูง
จนกระทั่งเรือมาถึงทางออกทะเล นางถึงได้ตามทัน นางไม่ได้โผล่ขึ้นมาทางหางเรือ เพราะกลัวว่ากานเจ๋อกวงที่ตามมาไกลๆ จะสังเกตเห็น นางไล่ตามไปที่หัวเรือแทน
ตอนที่นางเตรียมจะโผล่พ้นน้ำเพื่อกระโดดขึ้นเรือ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งคีบตัวนางเอาไว้ ขณะกำลังตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไม่ถูก ภาพตรงหน้าก็ทำให้ตาลาย นางถูกดึงขึ้นจากผิวน้ำแล้ว ร่างตกลงบนดาดฟ้าตรงหัวเรือ ยังไม่ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนคนบีบคอไว้เสียแล้ว
คนที่บีบคอนางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง แขนสองข้างของเขาเพิ่งงอกออกมาได้ไม่ถึงสองวัน ยังอยู่ในช่วงปรับตัวให้กลับสู่สภาพเดิม แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เมื่อมีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ดำน้ำผ่านใต้ท้องเรือของเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สังเกตเห็น จึงจับตัวฟางซู่ซู่ได้อย่างง่ายดายราวกับเอามือล้วงไปหยิบของในกระเป๋า
ฉินเวยเวยเดินช้าๆ ออกจากห้องโดยสารเรือ เมื่อมาปรากฏตัวข้างหลังเหมียวอี้ นางก็ถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน มาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ใต้ท้องเรือ?”
ฟางซู่ซู่โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำและแทบจะขาดใจ นางตบที่แขนเหมียวอี้แล้วชี้ที่หน้าตัวเอง เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้?
เหมียวอี้กำลังมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ รู้สึกเช่นกันว่านางหน้าคุ้นๆ เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งเกิดภาพในความทรงจำ กอปรกับพบว่านางไม่ได้มีวรยุทธ์สูง ยากที่จะสร้างภัยคุกคามต่อเขาได้ เขาถึงได้ปล่อยนาง แล้วถามอย่างสงสัย “เหมือนพวกเราจะเคยเจอกันนะ เจ้าคือ?”
“แค่กๆ!” ฟางซู่ซู่นวดคอตัวเองพลางไอออกมา มองเขาแวบหนึ่งอย่างหงุดหงิด ในใจรู้สึกสับสนอย่างประหลาด เมื่อได้สัมผัสกับตัวว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกันนางก็พบว่าเขาอยู่บนฟ้า ส่วนตัวเองอยู่ใต้ดิน
“เมืองคล้อยบูรพา เจ้ากับข้าเคยขึ้นเรือล่องแม่น้ำด้วยกัน ฟางซู่ซู่ ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีภาพติดอยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า?” นางถามอย่างมีอัธยาศัยตรงไปตรงมา
เหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในทันที นึกออกแล้ว เขาขานรับแล้วกุมหมัดทักทายด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟาง ไม่ทราบว่าแม่นางมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าใกล้แบบนี้ทำไม?”
“ตรงนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุยกัน ไปคุยในห้องโดยสารเรือเถอะ” นางกลัวกานเจ๋อกวงที่อยู่ข้างหลังจะสังเกตเห็น จึงเดินผ่านกลางสองคนนั้นเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
เหมียวอี้กับฉินเวยเวยมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วหันตัวตามเข้าไปทันที
ตอนเดินถึงทางผ่านของห้องโดยสารเรือ ฟางซู่ซู่ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเจี่ยเสียน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าเหมียวอี้?”
เมื่อนางถามแบบนี้ เหมียวอี้ที่กำลังเหม่องงก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องชื่อปลอมในปีนั้น จึงเอามือลูบจมูกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางอย่าถือสาเลย ตอนแรกแม่นางมาเข้าตีสนิทโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย ข้าก็ต้องสงวนตัวบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่แท้แม่นางก็รู้ถึงตัวตนของข้าแล้วนี่เอง เป็นเหมียวเองที่ไม่ระวัง”
ฟางซู่ซู่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้อีก ส่ายหน้ายอกว่า “เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ คนของนภาอู๋เลี่ยงอาจจะตามมาทันแล้ว”
ว่ากันตามจริง การที่จะปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้เหมียวอี้รู้หรือไม่ นางเองก็คิดวนเวียนอยู่หลายวันมาก ถ้าจะบอกว่าไม่แค้นเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ได้รู้ความจริงในวันนั้น นางถึงขั้นอยากจะฆ่าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะบอกสักหน่อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีของนาง ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้แตกต่างกันมาก แต่นางก็คิดว่าทุกคนล้วนมีหนึ่งจมูกสองตาเหมือนกัน คนอื่นยังทำได้ แล้วทำไมนางจะทำไม่ได้ นางเชื่อว่าต้องมีสักวันที่นางจะเหนือกว่าเหมียวอี้ ไม่ใช่มาคอยด้อมๆ มองๆ คนอื่นฆ่าเหมียวอี้ตายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นราคาที่นางสู้ฝ่าฝันมาหลายปีไปจะไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ? ขนาดนางยังรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าแทนตัวเองเลย
เดินมาจนถึงวันนี้แล้ว นางไม่อยากละทิ้งเป้าหมายในการต่อสู้ฝ่าฟันของตัวเอง นางตัดสินใจจะตั้งเหมียวอี้ให้เป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องไล่ตามให้ทัน
เหมียวอี้กับฉินเวยเวยสบตากันอีกครั้ง แล้วเหมียวอี้ก็ถามอย่างฉงนใจว่า “แม่นางมีที่มาที่ไปอย่างไร รู้ได้อย่างรว่าคนของนภาอู๋เลี่ยงกำลังตามข้า? แล้วนภาอู๋เลี่ยงจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
ฟางซู่ซู่ตอบว่า “เจ้าลืมแล้วเหรอว่าข้าเป็นคนที่ไหน? ข้ามาจากกวาดหลุมศพที่เมืองคล้อยบูรพา ระหว่างทางตอนผ่านเมืองฉางเฟิง…” นางเล่าเรื่องสะกดรอยตามให้ฟังรอบหนึ่ง
ฉินเวยเวยได้ยนิแล้วกัดริมฝีปาก พบว่าตัวเองประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว ขนาดโดนสะกดรอยตามมาครึ่งเดือนกว่ายังไม่สังเกตเห็นอะไรด้วยซ้ำ
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อแม่นางฟางเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง เหตุใดต้องตามมาปล่อยข่าวล่ะ?”
ฟางซู่ซู่เงียบไปคณู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็จ้องตาเหมียวอี้ พร้อมกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้าเป็นมนุษย์ ข้าเคยอยู่บนหอสูงแล้วโยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าว บังเอิญว่าประมุขถ้ำคล้อยบรูพาเดินผ่านมาพอดี จึงรับลูกกลมแพรปักของจ้าได้ แต่กลับโยนทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ”
เหมียวอี้ค่อยๆ ทำสายตาเหม่อค้าง ถ้าไม่พูดก็คงไม่รู้ แต่พอพูดถึงขึ้นมา ถึงอย่างไรการรับลูกกลมแพรปักก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น จะมีสักกี่คนที่ในชีวิตจะได้เจอกับเรื่องแบบนี้ ย่อมต้องตราตรึงอยู่ในความทรงจำอยู่แล้ว
ฉินเวยเวยมองไปที่เหมียวอี้ด้วยความสงสัย
“อย่ามองข้าอย่างนั้น” ท่านขุนนางเหมียวโบกไม้โบกมือ แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ในความทรงจำเหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟางนี่เอง ตอนนั้นข้าตามกลุ่มคนไปดูเอาสนุก ไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นเลย”
ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แดนอู๋เลี่ยง ข้ากับพวกศิษย์พี่กำลังอาบน้ำอยู่ด้วยกัน แต่มีอาชามังกรอ้วนตัวหนึ่งแอบมาขโมยเสื้อผ้าของพวกเราไป ตอนหลังอาชามังกรตัวนั้นก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งกับตาแก่มอมแมมคนหนึ่งมาดูพวกเราอาบน้ำอีก พวกเขาได้เห็นพวกเราตอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไปรอบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเจ้ารู้จักสองคนนั้นรึเปล่า?”
…………………………