สำหรับเหมียวอี้ คำพูดนี้ช่างเหลวไหลจริงๆ ต้องสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละถึงจะปล่อยเมียเฟิงเป่ยเฉิน แล้วไปจับลูกสาวของโม่หมิงมาขู่เฟิงเป่ยเฉินแทน
เหมียวอี้ถลันตัวเข้ามาใกล้ รีบลงมือคลายผนึกวรยุทธ์นาง หลังจากควบคุมนางได้แล้วถึงได้มองสำรวจนางศีรษะจดเท้า ในใจย่อมรู้สึกฉงน ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายมาหาเอง แต่ถึงขั้นไม่ลงมือตอบโต้สักนิดเลยด้วย บีบกรามของนาง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ทางที่ดีอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าข้า ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฉินซีเยือกเย็นใช้ได้เลย ถึงแม้เหมียวอี้จะบีบแรง บีบจนนางรู้สึกเจ็บคาง แต่ก็ยังตอบด้วยท่าทางเย็นชาสุขุม “ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ ตอนนี้เจ้าพาข้ากลับไปพบหยางชิ่งที่ยอดเขาหยกนครหลวงสิ เมื่อพบหยางชิ่งแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่าข้าไม่มีทางทำร้ายฉินเวยเวย”
พบหยางชิ่ง? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหยางชิ่ง?
ถ้าอยากจะถามหยางชิ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยและหยางชิ่งล้วนมีระฆังดาราเอาไว้ติดต่อกับเขาและอวิ๋นจือชิวโดยตรง
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาทันที เตรียมจะติดต่อหยางชิ่ง
ฉินซีที่โดนบีบคางราวกับถูกเกี้ยวพาราสีเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าก็มีระฆังดาราเหมือนกัน หรือว่าหยางชิ่งก็มีด้วย? แบบนี้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาแล้ว”
เหมียวอี้แปลกใจ ถามว่า “เจ้ารู้จักระฆังดาราเหรอ?”
ฉินซีตอบว่า “ในมือเฟิงเป่ยเฉินก็มีเหมือนกัน ข้าเคยเห็นมาก่อน ถ้าจะพูดให้ถูก ในมือหกปราชญ์ทุกคนล้วนมี ข้าเคยได้ยินเฟิงเป่ยเฉินพูดถึง ว่าระฆังดารานี้เทพพยากรณ์มอบให้พวกเขา เพียงแต่ในมือหกปราชญ์มีไม่เยอะ เอาไว้ใช้ติดต่อกันระหว่างพวกเขาพอดี และเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างหกปราชญ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะใช้ระฆังดาราติดต่อกับอีกห้าปราชญ์ที่เหลือได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นกว่าอีกห้าปราชญ์จะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นก็คงสายไปเสียแล้ว ใช้วิธีแบบนี้มาหลายปีก็เพื่อคานอำนาจปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน”
“เหมียวอี้อึ้งชะงัก เทพพยากรณ์เคยมอบระฆังดาราให้เขา นึกไม่ถึงว่าจะมอบให้หกปราชญ์ด้วยเหมือนกัน เทพพยากรณ์ท่านนี้กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?”
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเปลืองสมาธิกับปัญหานี้ การช่วยชีวิตฉินเวยเวยต่างหากที่สำคัญที่สุด ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราในมือ
ณ ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งกำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ หลังจากได้รับข่าวจากเหมียวอี้แล้วก็ค่อนข้างแปลกใจ ตั้งแต่ยอดเขาหยกนครหลวงถูกควบคุมโดยอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็เขาก็ติดต่อกันน้อยมาก
หยางชิ่งหยิบระฆังดาราออกมาตอบ : นายท่าน มีอะไรจะกำชับ?
เหมียวอี้ : เวยเวยอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน!
หยางชิ่งที่กำลังนั่งขัดสมษธิอยู่บนเตียงเตี้ยเลือดเดือดพุ่งขึ้นหัวทันที กระโดดลงจากเตียงแล้วถามให้แน่ใจว่า : เวยเวยไปตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร?
เหมียวอี้ตอบ : พวกเราประสาทไปชั่วขณะ ตอนที่แล่นเรือเที่ยวไปโดนคนของแดนอู๋เลี่ยงพบเข้า เฟิงเป่ยเฉินจึงมาด้วยตัวเอง จับตัวฉินเวยเวยไปแล้ว
หยางชิ่งเป็นใครล่ะ แค่ได้ฟังก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว ถามทันทีว่า : ระหว่างเวยเวยกับนายท่าน คนที่เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะทำร้ายมากที่สุดก็คือนายท่าน ทำไมถึงจับตัวเวยเวยไปล่ะ?
เหมียวอี้ตอบไปตรงๆ ว่า : เฟิงเป่ยเฉินกับข้าเคยประมือกันแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เลยจับตัวเวยเวยเพื่อบีบให้ข้าไปที่นภาอู๋เลี่ยง คาดว่าต้องวางแผนอะไรไว้ที่นภาอู๋เลี่ยงแน่ๆ
หยางชิ่งตกใจมาก สำหรับเขาแล้ว วันนี้เท่ากับบังเอิญได้ฟังข่าวที่น่าตกใจมากสองข่าว ข่าวแรกคือลูกสาวโดนจับตัวไป ข่าวที่สองคือเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้เหมียวอี้!
เรื่องนี้ทำให้เขาทำใจเชื่อลำบากจริงๆ แต่พอลองครุ่นคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางนำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น หลายปีมานี้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวทำตัวลับๆ ล่อๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของเหมียวอี้แน่นอน
หลังจากสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยางชิ่งก็ถามว่า : นายท่านคิดจะช่วยเวยเวยอย่างไร?
เหมียวอี้ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า : ท่านกับฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉินมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
หยางชิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : เหตุใดนายท่านจึงถามเช่นนี้
เหมียวอี้ : ฉินซีตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง นางบอกให้ข้าไปจับตัวลูกสาวของโม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรเพื่อไปแลกกับตัวเวยเวย ท่านคิดว่าข้าเชื่อคำพูดนางได้มั้ย? นางให้ข้าติดต่อกับท่าน เหมือนนางคิดว่าท่านจะเชื่อคำพูดนาง
หยางชิ่งทำสีหน้าห่อเหี่ยวในชั่วพริบตาเดียว เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากจะให้เหมียวอี้รู้เลยจริงๆ กลัวว่าเหมียวอี้จะดูถูกฉินเวยเวย
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ยังเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : นางไม่มีทางทำร้ายเวยเวย นางคือมารดาแท้ๆ ของเวยเวย!
มารดาแท้ๆ? ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะต้องตกตะลึงบ้างแล้ว ตกใจมากจริงๆ มือที่บีบคางฉินซีรีบหดกลับราวกับถูกงูกัด มองผู้หญิงที่งดงามเยือกเย็นตรงหน้าราวกับเห็นผี ล้อเล่นอะไรกัน คนที่ตัวเองจับมาคือแม่ยายของตัวเองงั้นเหรอ!
“ชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่างทันที เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวตรงหน้าฉินเวยเวยอย่างกะทันหันในตอนแรกที่ไปสำนักงามวิจิตร พอมานึกๆ ดูตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมตอนแรกผู้หญิงคนนี้ถึงเตือนตนว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่วยามค่ำคืน ที่บอกให้ทิ้งฉินเวยเวยไว้ ที่จริงเพราะอยากจะปกป้องฉินเวยเวย กลับเป็นการลำบากใช้ความคิดไปมาก
ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูอีกที ฉินซีกับฉินเวยเวยก็หน้าตาคล้ายกันอยู่หลายส่วน และทั้งสองก็แซ่ฉินเหมือนกันด้วย สงสัยฉินเวยเวยจะไม่ได้ใช้แซ่ของบิดา แต่ใช้แซ่ตามมารดา
พอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เหมียวอี้ก็ลองถามฉินซีให้แน่ใจ : “ท่านคือแม่แท้ๆ ของเวยเวยเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้าเบาๆ “เวยเวยคือลูกสาวของข้ากับหยางชิ่ง ข้าก็ยังนึกว่าหยางชิ่งจะไม่มีวันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียอีก”
“…” เรื่องที่ฉินเวยเวยโดนจับถูกโยนไว้ทิ้งไปทันที เหมียวอี้อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ก็เกรงว่าจะคิดตามไม่ทันเหมือนกัน เหมียวอี้แทบจะกลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้สติกลับมา ในใจรู้สึกอับอาย ยังดีที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับผู้หญิงคนนี้
ทั้งยังบอกด้วยว่าเวยเวยคือลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่ง? ความสวยของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเยว่เหยากับเทพธิดาหงเฉินเลย เรียกได้ว่าท่ามกลางผู้หญิงที่เขาเคยเจอในพิภพเล็ก ความสวยของนางไม่เป็นรองใครเลย จะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยเป็นอันดับหนึ่งในพิภพเล็กก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป อย่าบอกนะว่าเฟิงเป่ยเฉินเห็นคนสวยแล้วเกิดความคิดไม่ดี ถือดาบไปแย่งคนรักของคนอื่น?
แต่ก็ไม่ถูกสิ! จากข่าวเรื่องที่เฟิงเป่ยเฉินแต่งงานใหม่กับท่านนี้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว ตอนนั้นหยางชิ่งคงยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เฟิงเป่ยเฉินจะไปแย่งชิงคนรักของหยางชิ่งได้อย่างไรกัน ไม่สอดคล้องกับเวลา
หยางชิ่งแย่งคนรักของคนอื่น? นั่นก็ยิ่งเหลวไหล ลองนับอายุฉินเวยเวยก็จะรู้ว่าในปีนั้นหยางชิ่งยังวรยุทธ์ต่ำมาก คาดว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพบหน้ายอดหญิงงามท่านนี้ได้ แต่ต่อให้มีโอกาสพบกัน หยางชิ่งต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงได้ไปนนกับเมียของเฟิงเป่ยเฉินได้
หยางชิ่งที่เขารู้จักทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงแน่ นิสัยคิดอะไรรอบคอบอย่างหยางชิ่ง จะทำเรื่องกำเริบเสิบสานประเภทนี้ได้อย่างไรกัน
ถ้าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวของท่านนี้จริงๆ นั่นก็แปลว่า ผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินได้หลายปีแล้ว ตอนหลังถึงได้คลอดลูกสาวให้หยางชิ่ง? เมียของเฟิงเป่ยเฉินคลอดลูกสาวให้หยางชิ่งงั้นเหรอ? มีสิทธิ์อะไรล่ะ? เรื่องนี้มันเหลวไหลขนาดไหนกัน!
เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเลือน เหม่องงจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก จึงรีบเขย่าระฆังดาราติดต่อหยางชิ่งอีกที : ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเวยเวยคือลูกสาวของท่านกับนาง มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?
หยางชิ่งกำลังเม้มริมฝีปากแน่นยืนเงียบๆ อยู่ในห้องศิลา หลังจากในหัวคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า : ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ คิดหาทางช่วยเวยเวยก่อน เรื่องนี้ซับซ้อน วันหลังค่อยบอกนายท่านก็ยังไม่สาย…ถ้าช่วยเวยเวยมาได้แล้ว อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเวยเวยนะ
เหมียวอี้ : เฟิงเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?
“หยางชิ่ง : นอกจากข้ากับฉินซี ตอนนี้ท่านก็เป็นคนที่สามที่ได้รู้เรื่องนี้ นายท่าน! ในเมื่อท่านประมือกับเฟิงเป่ยเฉินแล้ว ทั้งยังโจมตีจนเขาล่าถอย เรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้าอีกห้าปราชญ์ได้ยินข่าว สถานการณ์ของพวกเราก็จะลำบากมาก ดังนั้นได้โปรดติดต่อกับข้าตลอดเวลา หยางชิ่งจะพยายามรับมืออย่างเต็มที่ แล้วอีกอย่าง หยางชิ่งขอถามละลาบละล้วงสักคำ ท่านกับกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร?
เหมียวอี้ : ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี
หยางชิ่ง : นายท่านมีฐานะเป็นประมุขถิ่นกลาง สามารถระดมกำลังให้พวกเขาร่วมบุกร่วมถอยไปกับท่านได้หรือเปล่า?
เหมียวอี้ : ได้!
หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินจะวางกำลังไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง เช่นนั้นก็จะไปเสี่ยงอันตรายลำพังไม่ได้เด็ดขาด ไม่สู้เรียกรวมนักพรตบงกชทองของทะเลดาวนักษัตรให้ไปช่วยด้วย
เหมียวอี้ : ข้าก็มีความคิดนี้พอดี
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วมองดูแม่ยายที่ถูกเอาเปรียบข้างกายตัวเอง อยากจะพูดแต่กลับไม่รู้ว่าจะเรียกนางอย่างไรดี
ฉินซีมองออกว่าเขาก็อึดอัดเช่นกัน จึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ายังมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสของเจ้ารึเปล่า”
เหมียวอี้พยักหน้า “เหตุใดผู้อาวุโสจึงใช้ลูกสาวของโม่หมิงมาแลกกับเวยเวย?”
ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เพราะพ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันก็คือเฟิงเป่ยเฉิน?”
เหมียวอี้ตะลึงค้างไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าโม่จวินหลันมีเฟิงเป่ยเฉินคอยปกป้อง ถึงได้ถูกฝากเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของโม่หมิง? เฟิงเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายของหลานชายตัวเอง ผู้อาวุโสก็บอกเช่นกัน ต่อให้ข้านำตัวผู้อาวุโสไปแลก เฟิงเป่ยเฉินก็จะไม่ตอบตกลงอยู่ดี คนที่ไม่สนใจแม้แต่เมียกับหลาน แล้วจะมาสนใจลูกสาวคนเดียวได้อย่างไร?”
ฉินซีที่สีหน้าเย็นชาและสูงสะโอดสะองเอียงหน้ามองเขา แล้วบอกว่า “สงสัยเจ้าจะยังฟังไม่เข้าใจความหมายของข้า พ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันคือเฟิงเป่ยเฉิน และก็เป็นลูกสาวของเหมียวจวินอี๋จริงๆ ไม่ใช่การฝากเลี้ยงภายใต้ชื่อของโม่หมิง”
ไม่ได้คิดเรื่องนี้ไปในทางไร้ระเบียบซี้ซั้วแบบนั้นเลย แต่หลังจากคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง แทบจะอดไม่ไหวที่จะอุทานออกมา “ผู้อาวุโสหมายความว่า เฟิงเป่ยเฉินมั่วกับเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์ของตัวเองมั่ว…” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนี้ เขาพูดคำว่า’มั่วกาม’ ไม่ออกจริงๆ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
ฉินซีพยักหน้า “ครั้งแรกที่ข้าจับได้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติระหว่างเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋ ก็เป็นหลังจากที่ข้าแต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินไปแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงก่อนกำหนด ก็บังเอิญเห็นเหมียวจวินอี๋ออกมาจากห้องนอนของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องแค่มองก็รู้แล้ว เพียงแต่ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์จะทำเรื่องสกปรกโสมมแบบนั้นได้ แต่หลังจากนั้นมาข้าก็เริ่มสงสัยแล้ว ตอนหลังข้าคอยสังเกตเงียบๆ มาเป็นเวลานาน พบว่าเหมียวจวินอี๋มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ ถ้าพวกเขาศิษย์อาจารย์รักกันด้วยใจจริงก็ยังพอว่า แต่เหมียวจวินอี๋ดังแต่งงานกับโม่หมิงไปแล้ว พอมองดูโม่จวินหลันอีกที ก็พบว่าหน้าตาไม่เหมือนโม่หมิงเลยสักนิด แต่กลับมีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง ยังต้องคิดอะไรมากเรื่องภูมิหลังของโม่จวินหลันอีกเหรอ? ที่จริงลูกศิษย์ที่มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีแค่เหมียวจวินอี๋หรอกนะ ยังมีชุยหย่งเจินที่ถูกเจ้าฆ่าไปด้วย ชุยหย่งเจินถึงขั้นคลอดลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคนให้เฟิงเป่ยเฉินด้วย เจ้าว่าน่าขำมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน พบว่าเฟิงเป่ยเฉินนี่มันพอได้จริงๆ มิน่าล่ะไอ้เฒ่าจัญไรถึงไม่แยแสความตายของหลานชาย คงจะเป็นการตายอย่างเปิดเผยทั้งนั้น ลับหลังยังมีสินค้าสำรองอยู่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าข้าจับลูกสาวของชุยหย่งเจินมาด้วยกัน การแลกตัวเวยเวยกลับมาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นรึเปล่า?”
ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้า ที่ข้าให้เจ้าจับตัวโม่จวินหลัน ไม่ใช่เพราะจะให้เจ้าเอาความตายของโม่จวินหลันมาบีบเฟิงเป่ยเฉิน เขาไม่ได้แยแสความเป็นความตายของลูกชายลูกสาวพวกนั้นเลย เจ้าจับมามากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ทำให้เฟิงเป่ยเฉินหวาดกลัวจริงๆ ก็คือการเปิดเผยเรื่องฉาวโฉ่ของเขา ผลที่ตามมาหลังจากนั้นไม่มีใครรับไหว เข้าใจหรือยัง?”
…………………………