พูดจาชัดเจนขนาดนี้ มีหรือที่จะยังไม่เข้าใจ
แต่มีอยู่บางจุดที่ยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างเฟิงเป่ยเฉิน อย่าบอกนะว่ายังขาดผู้หญิง ทำไมต้องเอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นเมีย?”
ฉินซีกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าไม่ได้มีความคิดสกปรกโสมมแบบนั้น ก็ย่อมไม่เข้าใจเขาอยู่แล้ว ข้าร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาหลายปี ย่อมรู้ดีกว่าเจ้าว่าเขาเป็นคนอย่างไร ภายนอกแต่งตัวดูดี วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่รสนิยมพิเศษบางอย่างที่เขาทำลับหลัง เจ้าไม่มีทางจินตนาการได้หรอก ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินภรรยาเอกของเจ้าคนนั้น ในปีนั้นตอนที่ยังอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน อย่าไปมองว่าเฟิงเป่ยเฉินมักตำหนินางที่แต่งตัวเปิดเผยไม่เรียบร้อย แต่สิ่งที่เผยออกมาจากแววตาที่เฟิงเป่ยเฉินมองนาง คนอื่นไม่รู้ แต่ข้ากลับรู้ว่าเขาคิดอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงกลัวปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนที่หนุนหลังอวิ๋นจือชิวอยู่ เกรงว่าเขาคงยื่นมือมารไปที่อวิ๋นจือชิวนานแล้ว และแน่นอน สาเหตุที่เอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นผู้หญิงของตัวเอง ก็ไม่ใช่เพราะเป็นรสนิยมพิเศษของเขาอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้นเป็นเพราะลูกหลานของเขาโดนฆ่าตายไปเกือบหมด ไม่เหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนกับจีฮวนที่ยังมีลูกหลานมากมาย เขาไม่มีคนที่เชื่อใจได้มากพอที่จะทำงานให้เขา เขาเอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น จึงมักจะกลัวว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะพึ่งพาไม่ได้ เลยใช้ความสำพันธ์อีกอย่างมาผูกมัดลูกศิษย์ตัวเองไว้ สาเหตุที่ทำให้ลูกหลานเกิดมา ก็เพราะอยากจะผูกมัดให้แน่นหนาขึ้นสักหน่อย ที่เหมียวจวินอี๋แต่งงานกับโม่หมิง ก็เพื่อที่จะช่วยเขาควบคุมสำนักงามวิจิตร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางเป็นเครื่องมือที่มีไว้ให้เขาใช้งานเท่านั้น”
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นจือชิว แต่นางจงใจจะเอ่ยถึงอวิ๋นจือชิว จะเตือนเหมียวอี้ว่าอวิ๋นจือชิวในปีนั้นไม่เรียบร้อย ผู้หญิงปกติจะแต่งตัวยั่วยวนผู้ชายแบบนั้นได้อย่างไรกัน อยากจะสร้างหนามเอาไว้ในใจเหมียวอี้ สรุปก็คือนางไม่พอใจที่ลูกสาวตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางหวังนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะถอดอวิ๋นจือชิวและยกลูกสาวนางขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ตราบใดที่เป็นแม่คน ความคิดแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร นางคงไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้
เหมียวอี้ใจกว้างกับอวิ๋นจือชิว ตอนที่ได้ครอบครองมา ร่างกายอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย ในใจไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรตามคำเตือนของนางเลย แต่กลับตกใจในความวิปริตของเฟิงเป่ยเฉิน พอนึกว่าฉินเวยเวยตกอยู่ในน้ำมือเฟิงเป่ยเฉิน เขาก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว รีบถามว่า “เวยเวยตกอยู่ในมือเขาแบบนั้น นางจะเป็นอะไรรึเปล่า? เวยเวยเป็นคนหัวโบราณ ถ้าประสบกับเรื่องแย่ๆ แบบนั้น เกรงว่านางอาจจะอยากตายได้”
ฉินซีตอบว่า “ก่อนที่จะตกลงเงื่อนไขกับเจ้าสำเร็จ เขาคงจะยังไม่ทำอะไรซี้ซั้ว เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาทำให้เขาแผนพังหรอก สำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จสำคัญกว่าผู้หญิง แต่ถ้าข้อตกลงนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ สัตว์ร้ายที่สวมอาภรณ์หรูหราอย่างเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เกรงใจแน่ ประการแรกคือบอกให้เจ้ารู้ถึงวิธีการช่วยชีวิตเวยเวย ประการต่อมาคือวรยุทธ์ข้าต่ำ ถ้ารอจนกว่าข้าจะตามกลับไปถึง ก็ยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะทำอะไรกับเวยเวยบ้าง ข้าต้องการให้เจ้ารีบพาข้ากลับไปส่งที่นภาอู๋เลี่ยง จากนั้นเจ้าค่อยไปที่สำนักงามวิจิตร ขอเพียงข้าได้ไปดูอยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉิน คอยเฝ้าจับตาดูไว้ ต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหน้าด้านกว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรซี้ซั้วเหมือนกัน”
“ไป!” เหมียวอี้รอไม่ไหวแม้แต่นิดเดียว ฉินเวยเวยตกอยู่ในมือคนวิปริตประเภทนั้น เขานึกแล้วรู้สึกกลัว ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉิน หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นคนที่น่ารังเกียจแบบนั้น ลงมือผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ของฉินซีทันที แล้วดึงแขนนางแฉลบขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว
การดึงคนให้เหาะไปด้วยกันทำให้ความเร็วลดลง ฉินซีไม่อยากให้คนเห็นว่าเหมียวอี้กับเขาอยู่ด้วยกัน โดนเหมียวอี้ดึงไว้ในมือแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเช่นกัน จึงเป็นฝ่ายขอเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้
ระหว่างทางกลับที่รีบเร่ง เหมียวอี้ก็รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับสงเวยและหงเทียนแห่งทะเลดาวนักษัตร ให้ทั้งสองรีบระดมยอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรไปที่นภาอู๋เลี่ยง…
ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งเงียบงันอยู่ในห้องศิลาเรียกได้ว่าทำสีหน้าคับแค้น สองมือกำหมัดแน่น
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ตนรักษาไว้ในฝ่ามือ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยทำให้นางได้รับความลำบากอะไร แต่วันนี้กลับตกอยู่ในมือของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากอะไรบ้าง ไฟโกรธที่เดือดดาลในใจยากที่จะสงบลงได้
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว
ใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เขาเตรียมตัวล้างแค้นแล้วหากฉินเวยเวยไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะช่วยฉินเวยเวยให้รอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ เขาก็จะไม่ปล่อยเฟิงเป่ยเฉินไป ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเฟิงเป่ยเฉิน!
ที่จริงอวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางกลับพิภพเล็ก ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเหาะเพียงลำพังอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใกล้จะถึงพิภพเล็กแล้ว
จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากหยางชิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า : เกิดอะไรขึ้น?
หยางชิ่ง : นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เวยเวยถูกเฟิงเป่ยเฉินจับตัวไปแล้ว
อวิ๋นจือชิวตกใจมาก : เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?
หยางชิ่งเล่าสิ่งที่ได้รู้จากเหมียวอี้ให้นางฟังคร่าวๆ ทันที
เมื่อได้ทราบว่าเฟิงเป่ยเฉินสู้กับเหมียวอี้ไม่ไหว อวิ๋นจือชิวก็ทั้งดีใจทั้งตกใจ ดีใจเพราะศักยภาพของเหมียวอี้ ตกใจเพราะถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่เหมียวอี้ต้องเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้มีแค่เฟิงเป่ยเฉินคนเดียวแน่ เหมียวอี้ผงาดขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ถ้าอีกห้าปราชญ์ไม่กังวลก็แปลกแล้ว
หลังจากใช้ความคิดแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบปลอบโยน : ผู้การหยางไม่ต้องกังวล ต้องเชื่อในความสามารถของนายท่าน นายท่านจะต้องหาทางช่วยน้องเวยเวยกลับมาได้แน่
หยางชิ่ง : ข้าน้อยจะต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านทูต โอกาสที่นายท่านจะแทนที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินมาถึงแล้ว ข้าน้อยคิดว่าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
อวิ๋นจือชิว : หมายความว่าอย่างไร?
หยางชิ่ง : เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยกลับไป จะต้องเรียกรวมยอดฝีมือบงกชทองที่นภาอู๋เลี่ยงเอเตรียมทำศึกแน่ แต่ละสายของแดนอู๋เลี่ยงไม่มีนักพรตบงกชทองนั่งรักษาการณ์แล้ว สายมะโรงของเราอยู่ใกล้กับแดนอู๋เลี่ยง ภายใต้ความได้เปรียบในการระดมพลและบัญชาการกองทัพไปทางใต้ แดนอู๋เลี่ยงก็ต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่ากำลังพลฝั่งแดนเซียนจะรุกโจมตีในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนที่แดนอู๋เลี่ยงจะระดมกำลังพลทันเวลา ก็ไม่มีทางต้านทานกองทัพใหญ่นับล้านของข้าได้เลย ลั่นกลองรบปลุกใจให้ตีชนะไปทีละอาณาเขต ทำลายรากฐานนับหมื่นปีของเฟิงเป่ยเฉินให้สิ้นซาก ถึงตอนนั้นต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหลบภัยครั้งนี้ไปได้ แต่เบื้องล่างไม่กำลังทหารให้ควบคุมแล้ว เขาคนเดียวต่อให้จะมีวรยุทธ์สูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แดนอู๋เลี่ยงย่อมต้องเปลี่ยนยุคสมัยใหม่ ถึงตอนนั้นก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่เฟิงเป่ยเฉินจะเงยหน้าอ้าปาก
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วทั้งตกใจทั้งโมโห ตำหนิว่า : หยางชิ่ง! ขนาดเฟิงเป่ยเฉินสู้กับนายท่านตัวต่อตัว นายท่านยังทำอะไรเขาไมได้เลย ถ้าเขาเรียกรวมยอดฝีมือจากสายต่างๆ มาช่วย นายท่านจะไม่เป็นอันตรายเหรอ!
หยางชิ่ง : นายท่านติดต่อกับคนของทะเลดาวนักษัตรแล้ว มียอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรมาช่วย ตราบใดที่นายท่านสามารถรับมือกับเฟิงเป่ยเฉินได้ ก็จะไม่เป็นอะไรแน่นอน
อวิ๋นจือชิว : สายมะโรงมีการระดมกำลังพลใหญ่โตขนาดนี้ มีหรือที่แดนโพ้นสวรรค์จะไม่รู้ ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งคนมายับยั้งในทันที ถอดอำนาจของท่านทูตทิ้ง แล้วกำลังพลสายมะโรงจะรุกโจมตีไปทางใต้ได้ยังไง?
หยางชิ่ง : ขอเพียงท่านทูตยินยอม หยางชิ่งยินดีจะไปคุยต่อหน้าท่านปราชญ์ที่แดนโพ้นสวรรค์ทันที จะต้องโน้มน้าวให้ปราชญ์เซียนปิดตาข้างเดียวได้อย่างแน่นอน
อวิ๋นจือชิว : เจ้าจะโน้มน้ามอย่างไร?
หยางชิ่งย่อมมีข้ออ้างมาชี้แจงอยู่แล้ว สรุปก็คือเป้าหมายของเขาใหญ่มาก อาจจะใช้ผลประโยชน์มาทำให้มู่ฝานจวินสงบลง ใช้กำลังพลของสายมะโรงแดนเซียนโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาเสริมเพื่อแก้ไขจุดด้อยให้สายมะโรง อาศัยโอกาสนี้กดดันให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรแตกหักกับปราชญ์ปีศาจจีฮวน ทำให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรหมดทางหนีทีไล่ จนจำเป็นต้องสนับสนุนเหมียวอี้ให้ครอบครองอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงมาเป็นของตัวเองคนเดียว
สิ่งเดียวที่หยางชิ่งกังวลก็คือฝ่ายปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าอวิ๋นจือชิวมีวิธีการทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนสงบลงได้ ขอเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินยืนอยู่ฝ่ายเหมียวอี้ เหมียวอี้มีศักยภาพเทียบเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ปราชญ์พุทธฉางเหลย ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวและปราชญ์ปีศาจจีฮวนก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้ว ส่วนแนวโน้มที่เหมียวอี้จะมาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินก็ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์คนใหม่
ดังนั้นหยางชิ่งจึงถามอวิ๋นจือชิวแค่คำเดียว ว่ามีความมั่นใจขนาดไหนที่จะจัดการกับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!
จากที่เขารู้จักอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เขารู้สึกว่าสามารถทำให้อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวได้แน่นอน ทำให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางจัดการปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนได้แน่นอน
ทำให้เหมียวอี้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์! อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวแล้วจริงๆ ใจเต้นโครมๆ แล้ว
มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งไม่รู้ แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้ ว่าการดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาสนับสนุนเหมียวอี้ไม่ใช้ปัญหาอะไรเลย ประมุขถิ่นสี่ทิศกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดาอย่างที่คนนอกเห็น พวกเขาถูกผูกมัดไว้แล้วจริงๆ ส่วนในมือนางก็มีไพ่ใบสุดท้ายที่จะควบคุมปู่ของนางเหมือนกัน จะไม่ให้นางใจสั่นหวั่นไหวได้อย่างไร
เพียงแต่ว่า…อวิ๋นจือชิวถาม : เรื่องนี้เจ้าปรึกษากับนายท่านหรือยัง? นายท่านมีความเห็นอย่างไร?
หยางชิ่ง : เปล่าขอรับ! ท่านทูตต่างหากที่กุมอำนาจของกำลังพลสายมะโรง การจะระดมกำลังพลของสายมะโรง ย่อมต้องให้ท่านทูตยินยอม แล้วอีกอย่าง อันหรูอวี้กับสามีก็อยู่ในมือมู่ฝานจวิน นิสัยอีกด้านของนายท่านคือเด็ดเดี่ยวที่จะเสี่ยงอันตราย แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่ลังเลเพราะเห็นแก่ความรัก ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป เกรงว่าคงไม่ให้พวกเขาสามีภรรยาได้รับความเสี่ยง เกรงว่าจะไม่ตอบตกลง ดังนั้นถึงได้มาปรึกษากับท่านทูต
อวิ๋นจือชิวคิดในใจว่า คนที่ถูกบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวินมีแค่อันหรูอวี้กับสามีเสียที่ไหนกัน น้องสาวของเหมียวอี้ก็อยู่ในมือมู่ฝานจวินด้วย ถ้าเกิดเรื่องที่เหนือขอบเขตการควบคุมขึ้นมา ก็เป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของเยว่เหยา
เพียงแต่นางไม่อยากเปิดเผยให้หยางชิ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้กับเยว่เหยา จึงถอนหายใจ แล้วตอบว่า : เรื่องนีเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอันหรูอวี้และสามี เกรงว่านายท่านจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้ ข้าว่าช่างมันเถอะ!
หยางชิ่งจึงบอกว่า : ท่านทูต เรื่องที่นายท่านเอาชนะเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแพร่ออกไป ถึงอย่างไรนายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินก็ยังต้องสู้กันอีกครั้ง ศักยภาพของนายท่านตอนนี้ ถ้าอยากจะปิดบังก็คงทำไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่สมดุลกับหกปราชญ์ หกปราชญ์ก็ยิ่งปล่อยเหมียวอี้ไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงพวกนี้หรอก ต่อให้นายท่านไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อันหรูอวี้กับสามีก็ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของมู่ฝานจวินอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เป็นแบบนี้เหมือนเดิม ทำไมไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤตไปเสียเลยล่ะ? ไม่สู้ปิดบังนายท่านไว้ก่อน ให้นายท่านได้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินอย่างไร้กังวล ถ้าเรื่องราวลุกลามขยายใหญ่ขึ้น นายท่านก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วนายท่านได้สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย[1] ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งปราชญ์ ได้รับการเคารพบูชาจากคนนับหมื่น นายท่านก็จะเข้าใจความเพียรพยายามของพวกเรา
อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกแล้ว สิ่งที่หยางชิ่งพูดคือเรื่องที่นางกังวลที่สุดจริงๆ เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป ตอนนี้เปิดเผยเบาะแสแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสหาทางเลื่อนขั้น หลังจากจบเรื่องจะต้องกลายเป็นภรรยาตัวเล็กๆ ที่ได้รับความลำบากไปทั่วอีกแน่ๆ
หลังจากครุ่นคิดซ้ำๆ อวิ๋นจือชิวก็กัดฟันตอบว่า : จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน
หยางชิ่งถามอีกว่า : ท่านทูตจะกลับมาเมื่อไร?
เขาไม่รู้เรื่องที่พิภพใหญ่ นึกว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ที่พิภพเล็ก
อวิ๋นจือชิว : อีกครึ่งวันก็ถึงแล้ว
ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจว่าจะคุยรายละเอียดอีกทีหลังจากพบหน้ากัน
จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามสถานการณ์จากเขาอีก หลังจากถามเหมียวอี้ว่าจะช่วยฉินเวยเวยอย่างไรแล้ว นางเองก็ตกใจเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะเป็นคนประเภทนั้น ถึงขนาดเคยคิดไม่ซื่อกับนางด้วย คิดๆ แล้วยังขนลุก
…………………………
[1] สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย 黄袍加身 อุปมาว่าได้เป็นใหญ่ เป็นกษัตริ