เข้าใจแล้ว! ฉินซีถาม “จะนำมาใช้สู้กับทวนวิเศษของเหมียวอี้?”
เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างเย็นเยียบ “วรยุทธ์ของไอ้จัญไรนั่นก็ไม่ได้สูง เพียงเพราะความคมของทวนวิเศษทำให้คนไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ไม่อย่างนั้นจะยอมให้เขากำเริบเสิบสานขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ถึงของที่อยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ข้าก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ไปชั่วขณะจริงๆ มีต้นไม้ต้นนี้แล้ว เดี๋ยวเจาคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร”
สายตาของฉินซีไปหยุดอยู่บนไม้ที่มีรอยเลือดเป็นจุดๆ พร้อมเตือนว่า “ท่านอย่าลืมนะว่าเขาสามารถควบคุมไฟได้”
“ฮูหยินคิดมากไปแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่นึกถึงจุดนี้ ไฟสามารถข่มไม้นั่นไม่ผิด ไฟสามารถเผาทำลายไม้นี้ได้จริงๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าไม้นี้ไม่ธรรมดา หลายปีก่อนเป็นเพราะข้าแปลกใจว่ามันคือต้นไม้อะไร เคยตัดกิ่งไปใช้วิธีการต่างๆ ทดลองมาแล้ว เวลาเจอไฟมันทนต่อการเผาไหม้สุดๆ ไม่ถูกเผาจนไหม้ภายในเวลาสั้นๆ แล้วข้าก็ไม่ได้แข็งทื่อเหมือนคนตาย เมื่อมีพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าคอยเสริม มีหรือที่จะยอมให้ไฟเผาอยู่บนนั้นได้ตลอด? ของสิ่งนี้ถ้าใช้สู้กับคนอื่นอาจจะไม่ไหว แต่กลับเป็นของยอดเยี่ยมที่ใช้สู้กับทวนวิเศษในมือไอ้จัญไรนั่นได้พอดี!”
เฟิงเป่ยเฉินเผยสีหน้าดุร้ายขณะที่พูด เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะทำให้เหมียวอี้ตายอย่างไร แต่พอเปลี่ยนความคิดก็ทำสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะ สายตามองสำรวจฉินซีศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “ฮูหยิน ปกติเจ้าไม่ค่อยสนใจเรื่องของข้า วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว?”
ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “ข้าเห็นว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านว่าเขาจะปล่อยข้าไปรึเปล่า?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นางกังวลเรื่องความเป้นความตายของตัวเอง
โดนผู้หญิงของตัวเองดูถูกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินรู้สึกอับอายนิดหน่อย “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเหรอ? ตลกน่า! เป็นเพราะเขามีของวิเศษดีๆ เท่านั้นแหละ”
ฉินซีเอียหน้ามองไปอีกด้าน ขี้คร้านจะเถียงกับเขา
ทำท่าทางแบบนี้อีกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออกนิดหน่อย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ฮูหยินไปพักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าข้าจัดการตรงนี้เสร็จแล้วจะกลับไป”
ฉินซีส่ายหน้า “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ข้างกายท่านแบบนี้”
“…” เฟิงเป่ยเฉินอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าวันนี้นางผิปกติจริงๆ จึงถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
ฉินซีตอบว่า “ครั้งก่อนมีคนโจมตีมาถึงที่นี่ แต่ท่านก็ทิ้งข้าแล้วหนีไปเลย ครั้งนี้ถ้ามีคนมาอีก ข้าอยู่ข้างกายท่าน อย่างน้อยยามท่านหนีจะได้ถือโอกาสพาข้าติดไปด้วย”
เฟิงเป่ยเฉินทำสีหน้าไม่ถูก และชั่วพริบตาเดียวก็ทำสีหน้าอับอาย
ที่บอกว่า ‘ครั้งก่อน’ ก็หมายถึงครั้งนี้ปราชญมารอวิ๋นอ้าวเทียนมาโจมตีที่นี่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นอ้าวเทียนเลย การรักษาชีวิตสำคัญที่สุด จะยังสนใจฉินซีได้อย่างไร ก็เลยทิ้งฉินซีไว้แล้วหนีไปคนเดียว ที่โชคดีก็คือ ครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนมาแค่คนเดียว แล้วครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนก็พุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว ไม่ได้สนใจคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นต่อให้ฉินซีไม่ตายแต่ก็ต้องโดนจับตัวไปแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เกรงว่าเฟิงเป่ยเฉินคงจะต้องแต่งงานใหม่อีกครั้งแน่
เขาไอแห้งๆ แล้วอธิบายว่า “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ทิ้งฮูหยินแล้วหนีไป แต่ข้ารู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนพุ่งเป้ามาหาข้า มีแต่ต้องให้ข้าล่อเขาออกไปเท่านั้น ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของฮูหยินได้”
ฉินซีไม่ตอบอะไร ได้แต่มองตาเขาเงียบๆ
เฟิงเป่ยเฉินถูกนางมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้อง จึงยิ้มแห้งๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ตอนนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ คนที่ได้ถอดเสื้อผ้าเจอกันบ่อยๆ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักกันดี เขาจึงถือกระบี่ตัดเล็มท่อนไม้ในมือต่อไป และไม่ได้โน้มน้าวให้ฉินซีจากไปอีก
ท่ามกลางเสียงตัดต้นไม้ จู่ๆ ฉินซีที่รอได้ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านจับอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรมาไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าท่านมีต้นไม้นี้เป็นที่พึ่งแล้ว จึงฆ่าอนุภรรยาของเขาทิ้งไปแล้ว?”
เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วตบที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว พร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนางหรอก นางยังมีประโยชน์ ต่อให้จะฆ่าก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้นำท่อนไม้มาหลอมสร้างเป็นอาวุธที่เหมาะมือให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฉินซีก็เลยหุบปาก ไม่พูดอะไรแล้ว
เมื่อเห็นนางเปลี่ยนท่าทางเป็นเย็นชาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบส่ายหน้า เป็นอุปนิสัยที่หาพบได้ยากในโลกนี้จริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายที่ยินดีจะประจบประแจงเขา ผู้หญิงที่งามเลิศล้ำและโดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนี้ ทุกครั้งที่นางโดนปรนนิบัติอย่างไม่เต็มใจ ล้วนทำให้เขามีอารมณ์ตื่นเต้นอยากจะเอาชนะอย่างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกรับไม่ได้ท่าทางแบบนี้ของนาง กลับยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ค่อนข้างโรคจิตวิปริตจริงๆ…
ณ สำนักงามวิจิตร ตามแนวภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของลูกศิษย์ บนทางหินเล็กๆ หนุ่มน้อยสองคนกำลังถืออาวุธเหลียวซ้ายและขวาเดินไปเดินมา ดูจากเครื่องแต่งกายล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตร
เหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วจู่ๆ ก็กระโจนออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ราวกับงูเทพที่กระโจนกินอาหาร พอเด้งออกมาก็หดกลับไปทันที ดึงคอลูกศิษย์ที่ลาดตระเวนหดกลับมาด้วยอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชเขียว จะสู้กับเหมียวอี้ได้อย่างไรกัน โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้กดอัดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ กำลังมองเหมียวอี้ด้วยความตกใจกลับว ต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวของเหมียวอี้
เหมียวอี้คลายมือที่บีบคอทั้งสองเล็กน้อย แล้วถามว่า “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”
หนึ่งในนั้นถามอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ตอบผิดแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แกร๊ก! หักคออีกฝ่ายจนขาดเสียเลย ฆ่าทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง
แล้วหันหน้ามาถามศิษย์อีกคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่น “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”
“พลับพลาหลันถิงบนภูเขาทิศใต้” คนคนนั้นตอบอย่างหวาดกลัว
เหมียวอี้ถามอีกว่า “อยู่ตรงไหน? ชี้ให้ข้าดู” พูดจบก็รีบดึงคนคนนั้นให้ขึ้นมาพุ่มไม้เหนือหัว
คนคนนั้นชี้ไปยังไหล่เขาที่อยู่ไกลๆ “ลานบ้านที่มีกำแพงสีขาวตรงไหล่เขานั่น”
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูอย่างละเอียด มองเห็นบนไม้วงกบประตูของลานบ้านตรงไหล่เขามีคำว่า ‘พลับพลาหลันถิง’ จริงด้วย เขาถามอีกว่า”โม่จวินหลันอยู่ข้างในรึเปล่า?”
คนนั้นกล่าววิงวอนว่า “นั่นคือที่พักของศิษย์ระดับสูง ข้าไปไม่บ่อย แล้วก็ไม่เคยเข้าไปด้วย ไม่รู้จริงๆ แต่ได้ยินว่าครั้งก่อนหลังจากที่ท่านจื่อหยางศิษย์ทรยศปรากฏตัว ลูกสาวเจ้าสำนักก็ออกจากพลับพลาหลันถิงน้อยมาก ทุกคนแอบลือกันว่าเดิมทีลูกสาวเจ้าสำนักควรจะได้แต่งงานกับท่านจื่อหยาง แต่สามีนางแอบเล่นไม่ซื่อลับหลัง คาดว่านางคงจะอยู่ข้างใน”
เพื่อที่จะรักษาชีวิต เรียกได้ว่าอะไรที่ควรจะพูดก็พูดออกมาหมด
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ข่าวที่เจ้าหนุ่มนี่ให้มายังมีจำกัด จึงดึงเขากลับมาที่พื้นอีกครั้ง รีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของเขา ซ้อมจนเขาสลบ ถอดเครื่องแต่งกายของเขามาใส่ แล้วเดินหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปในป่าภูเขาต่อไป
ยิ่งเข้าใกล้จุดที่บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตรพักอาศัย ทหารยามที่คอยเฝ้าทั้งในที่แจ้งและในที่ลับก็ยิ่งมีมากขึ้น ถ้าอยากจะเข้าใกล้พลับพลาหลันถิงกลางวันแสกๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ
ที่จริงเขาสามารถตรงเข้าสู่พลับพลาหลันถิงได้เลย เกรงว่าที่สำนักงามวิจิตรคงจะไม่มีใครขัดขวางเขาได้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าโม่จวินหลันอยู่ข้างในหรือเปล่า ถ้าเข้าไปแล้วคว้าน้ำเหลว ก็จะเป็นการแวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าจะให้เข่นฆ่ากันเขาก็ไม่กลัว แต่เขากลัวว่าถ้าโม่จวินหลันหลบขึ้นมาจะหาไม่พบ แบบนั้นเรื่องราวก็จะจัดการยากแล้ว”
ถ้าไม่แน่ใจ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำได้เพียงอดทนเข้าใกล้ต่อไป
ณ พลับพลาหลันถิง เรือนเล็กๆ ที่น่าอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าของเรือนเล็กนี้ก็คือโม่จวินหลันและเซี่ยงไป่ถิงสองสามีภรรยา ชื่อของเรือนเล็กนี้ตั้งโดยนำตัวอักษรในชื่อของทั้งสองคนมารวมกัน โดยนำชื่อของฝ่ายหญิงไว้ข้างหน้า ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่แบบนี้ บางทีสิ่งนี้อาจจะอธิบายได้ว่าฐานะระหว่างสองสามีภรรยาเป็นอย่างไร
ถึงแม้เรือนเล็กจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่ แต่ข้างในกลับมีกระโจมศาลากลางน้ำ มีดอกไม้บานทั้งสี่ฤดู ถึงจะเล็กแต่มีทุกอย่างครบครัน
สถานที่ที่รวบรวมคนจำนวนมากของหนึ่งสำนักเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองคฤหาสน์ที่ใหญ่โตรโหฐานเหมือนพระราชวังเอาไว้ผู้เดียว
ด้านนอกลานบ้านมีกังหันน้ำกำลังหมุน คอยผันน้ำในลำธารระหว่างภูเขาเข้ามาในลานบ้าน เซี่ยงไป่ถิงรับถังน้ำมาหนึ่งใบ ถือมาให้ข้างกายโม่จวินหลันด้วยตัวเอง
ส่วนโม่จวินหลันก็กำลังรดน้ำดอกไม้ สีหน้าท่าทางเงียบสงบ เซี่ยงไป่ถิงกำลังกระซิบอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พูดคุยเรื่องที่สนุกน่าสนใจ
ส่วนโม่จวินหลันจะฟังเข้าหูหรือไม่ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ สรุปก็คือไม่เห็นการแสดงสีหน้าใดๆ ตอบกลับ
ตั้งแต่ที่เยารั่วเซียนปรากฏตัวครั้งก่อน ที่เซี่ยงไป่ถิงตบหน้านางไปหนึ่งครั้งด้วยความโมโห ความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาก็เย็นชาลงตั้งแต่ตอนนั้น โม่จวินหลันเองก็ไม่ได้ฟ้องใคร แต่นางรักษาระยะห่างกับเซี่ยงไป่ถิงตั้งแต่นั้นเป็นเป็นต้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเป็นสามีภรรยากัน
ทว่าเซี่ยงไป่ถิงกลับนึกกลัวทีหลังแทบแย่ อย่าไปมองว่าเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสัก ลูกสาวของเหมียวจวินอี๋คือคนที่เขาจะไปรังแกง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขามีวันนี้ได้เพราะแต่งงานกับโม่จวินหลัน ถ้าไปยั่วโมโหเหมียวจวินอี๋ขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
ตอนนี้เขาเปลี่ยนวิธีการประจบเอาใจ แต่โม่จวินหลันกลับมีลักษณะท่าทางเหมือนฉินซีอยู่หลายส่วน
ไม่รู้ว่าเหมียวจวินอี๋มาปรากฏตัวอยู่ในสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนแอบฟังอยู่ตรงนอกประตูพระจันทร์ รออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงลูกสาวตัวเอง กลับได้ยินคำพูดคำจาหวานไพเราะจากเซี่ยงไป่ถิงมากมาย ฟังจนนางยังกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ปลื้มอกปลื้มใจ รู้สึกว่าตัวเองหาลูกเขยได้ดี
นางถึงได้นำหญิงรับใช้สองคนเดินเข้ามาในประตูพระจันทร์ แล้วหัวเราะคิกคักพร้อมกล่าวว่า “คู่รักคู่นี้กำลังหยอดคำหวานอะไรกันอยู่ล่ะ?”
โม่จวินหลันกับเซี่ยงไป่ถิงหันกลับมาพร้อมกัน แล้วรีบเดินเข้ามาคำนับ “ท่านแม่!”
เหมียวจวินอี๋มองเซี่ยงไป่ถิงพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วบอกว่า “อืม! ไม่ต้องมากพิธี ไป่ถิงเอ๊ย! อย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลยนะ ชีวิตของพวกเจ้าสองคนยังอีกยาวไกล ยังมีเวลาให้เรื่องความรักอีกเยอะ ตอนนี้ต้องใส่ใจเรื่องวรยุทธ์กับหลอมของวิเศษให้มากๆ หน่อย เจ้าคือคนที่ต้องเป็นเจ้าสำนักในอนาคต เอาแต่เดินตามก้นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่ดี”
โม่จวินหลันฟังเงียบๆ ส่วนเซี่ยงไป่ถิงก็ยิ้มแห้ง “ท่านแม่สอนได้ถูกต้อง ไป่ถิงจดจำไว้แล้ว ใช่แล้ว ท่านแม่มาได้อย่างไรขอรับ?” พูดจบก็เดินตามหลังเหมียวจวินอี๋
เหมียวจวินอี๋ที่เดินชมดอกไม้ใบหญ้าในสวนกล่าวว่า “เพิ่งถูกท่านปราชญ์เรียกพบ ข้าอาจจะต้องกลับไปอยู่นภาอู๋เลี่ยงสักระยะ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ดูแลหลันเอ๋อร์ให้ดี”
ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินเรียกนางไปด้วยเรื่องอะไร และเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตัวเองสู้แพ้เหมียวอี้ กำลังเรียกรวมยอดฝีมือเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
“ดูแลฮูหยินของตัวเองให้ดีคือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ท่านแม่บอก ไป่ถิงก็จะดูแลให้ดีขอรับ” เซี่ยงไป่ถิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวจวินอี๋หันกลับมามองเขาแล้วยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับหลันเอ๋อร์ ข้าก็แค่พูดให้ฟังเท่านั้น ถือโอกาสมาดูว่าคู่รักอย่างพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียง “บึ้ม” ดังสะเทือน ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน หันขวับมองไปทยังทิศทางที่เสียงระเบิดดังมา
เหมียวอี้ที่ทำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าภูเขาโบกมือป้องใบหน้าเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อไล่หินดินที่โผเข้ามาตรงมา ในจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว หลบหูตาของทหารยามได้แต่กลับไปกระตุ้นสัญญาณเตือน ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ตอนนี้อยากจะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เงาคนหลายคนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลทันที ตะคอกว่า “ใครบุกเข้ามาที่นี่!”
ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจพวกเขา เรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือและถลันตัวขึ้นมาแล้ว กระโจนผ่านยอดศีรษะคนหลายคนที่เข้ามาขวาง โผตรงไปยังทิศทางพลับพลาหลันถิง
…………………………