“ขอยืมกำลังพลนึ่งสายเหรอ?” มู่ฝานจวินราวกับได้ยินเรื่องที่น่าตลกมาก ถามกลับว่า “โจมตีแดนอู๋เลี่ยง กำลังพลของสายมะโรงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มีทั้งทะเลดาวนักษัตรเคลื่อนทัพ ทั้งยังขอให้อวิ๋นอ้าวเทียนสนับสนุนได้ สามารถไปขอยืมกำลังพลจากอวิ๋นอ้าวเทียนได้เลย เหตุใดยังต้องมาขอยืมกำลังพลของข้าอีกล่ะ? นกเสียจากเหมียวอี้จะปีกกล้าขาแข็งแล้ว อยากจะแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเท่านั้นแหละ แต่กลับกังวลว่าจะยั่วยุให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกัน อาศัยกำลังพลของข้าคือข้ออ้าง อยากจะให้แดนอื่นๆ เห็นว่าข้าสนับสนุนพวกเจ้า จะได้ตีเสมอกับแดนอื่นๆ ได้สะดวก นั่นต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง ถ้าปล่อยให้พวกเจ้าทำสำเร็จ ยังจะหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าอยู่อีกเหรอ?”
อีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หยางชิ่งก็ไม่หวังแล้วว่าจะปิดบังอีกฝ่ายได้ จึงบอกไปตรงๆ เลยว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง! ก่อนที่จะมาท่านทูตได้บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงแค่สามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ หลังจากจบเรื่องแล้ว แดนอู๋เลี่ยงจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งมาให้ท่านปราชญ์ทุกปี หลังจากนั้นกำลังพลของแดนอู๋เลี่ยงก็จะเชื่อฟังคำสั่งระดมกำลังของท่านปราชญ์อย่างไม่มีเงื่อนไข นายท่านเหมียวยังคงปฏิบัติตามคำสั่งท่านปราชญ์เช่นเดิม จะไม่ทรยศเด็ดขาด และแน่นอน เพื่อไม่ทำให้แดนอื่นๆ เกิดความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติการอย่างลับๆ”
มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย เงื่อไขที่ดีขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมีใครบ้างที่จะไม่หวั่นไหว ถ้าสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ก็เท่ากับทำให้อำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเข้ามาอยู่ในสังกัดของนางอย่างลับๆ แต่นางไม่เชื่อว่าบนโลกเราจะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้อยู่ จึงแสยะยิ้มแล้วถามว่า “ช่างพูดจาไพเราะราวกับร้องเพลงจริงๆ มีเรื่องดีๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ? ใครจะรับประกันได้ว่าหลังจากจบเรื่องแล้วพวกเจ้าจะไม่กลับคำ? ข้าจะอาศัยอะไรมาเป็นหลักเพื่อเชื่อพวกเจ้า?”
“อันหรูอวี้และสามีเป็นตัวประกันอยู่ในมือท่านปราชญ์ขอรับ” หยางชิ่งตอบ
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ช่างน่าขำ! เดิมทีพวกเขาก็เป็นของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้านำมาต่อรองราคากับข้าได้รึไง? พ่อแม่ของอนุภรรยาเบ็กๆ สองคนมีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นตัวประกันด้วยหรือ?”
คำพูดแบบนี้ทำให้หยางชิ่งรู้สึกเจ็บแปลบในใจ เพราะลูกสาวของเขาก็เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ เขากุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ท่านทูตอวิ๋นจือชิวยินดีจะมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ขอรับ! ฮูหยินของนายท่านเหมียวจะมาเป็นตัวประกันด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าท่านปราชญ์คิดว่าทำอย่างนี้จริงใจหรือไม่ขอรับ?”
เมื่อเขากล่าวมาแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเหนือความคาดหมาย
คำพูดนี้หยางชิ่งไม่ได้คิดขึ้นมากะทันหัน แต่เขาเตรียมวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
และคำพูดนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อวิ๋นจือชิวไม่รู้เลยว่าหยางชิ่งจะใช้นางมาเป็นแต้มต่อการเจรจาที่สำคัญที่สุด
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หยางชิ่งรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเดี๋ยวถ้าเขาบอกอวิ๋นจือชิว บอกว่ามู่ฝานจวินต้องการจะให้เป็นตัวประกัน เพื่องานใหญ่ของเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวจะต้องปฏิเสธได้ยากมากแน่นอน จะต้องมาเป็นตัวประกันแน่นอน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องใช้ความรู้สึกทำให้ประทับใจ ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ยุยงอวิ๋นจือชิวให้ปิดบังเหมียวอี้
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวสามารถจ่ายเพื่อเหมียวอี้ได้มากขนาดหน เขาก็คงไม่มาที่แดนโพ้นสวรรค์นี่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่ให้อวิ๋นจือชิวปิดบังเหมียวอี้แล้วทำเรื่อง ก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว หลังจากอวิ๋นจือชิวตอบตกลงแล้ว ทั้งยังมั่นใจด้วยว่าจะโน้มน้ามอวิ๋นอ้าวเทียนได้ หยางชิ่งก็แน่ใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงเป็นตัวประกันแน่นอน
ให้อวิ๋นจือชิวได้รับการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วก็ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันเพื่อคุมมู่ฝานจวินให้สงบ เขาไม่สนใจเลยว่าจะทำให้สองคนนี้สงบได้นานเท่าไร เขาแค่อยากจะตีแดนอู๋เลี่ยงให้ทันเวลาเท่านั้น ขอเพียงก่อนหน้านั้นสามารถอาศัยอำนาจของอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวินทำให้ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าสามารถตีแดนอู๋เลี่ยงได้อย่างราบรื่น รากฐานของเฟิงเป่ยเฉินถูกทำลาย ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของทั้งหกแดนอยู่ดี ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนจุดเริ่มต้น หกแดนจะอยู่ในสถานการณ์ที่คานอำนาจกันเหมือนเดิม
หลังจากจบเรื่องหากมีคนต่อต้านเหมียวอี้ แดนที่เหลือก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเฟิงเป่ยเฉินสิ้นอำนาจไปแล้ว ถ้าเหมียวอี้ล้มลงอีกคน ประโยชน์ก็มีแต่จะไปตกอยู่กับอวิ๋นอ้าวเทียน ในทางตรงกันข้าม แดนที่เหลือจะไม่ต่อต้าน แต่กลับจะช่วยเหลือสนับสนุนด้วยซ้ำ และจะไม่ถือสาที่เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป อย่างมากเหมียวอี้ก็จะกลายเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนคนที่สอง ทุกคนก็จะร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาคานอำนาจกับเหมียวอี้ สรุปก็คือสถานการณ์จะกลับไปสมดุลเหมือนหกแดนก่อนหน้านี้
ส่วนครั้งนี้เหมียวอี้จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่สำคัญเลย ขอเพียงสามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ทันเวลา เมื่อสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดแล้ว หยางชิ่งก็มีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายได้
แน่นอนว่าวรยุทธ์ของเขาไม่สูงพอที่จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินได้ แต่เขาสามารถทำให้ทุกคนมั่นใจได้ ว่าถ้าเฟิงเป่ยเฉินไปขอพึ่งพาแดนไหน ก็จะไม่ใช่เรื่องดีกับแดนอื่นๆ ที่เหลือ ถึงตอนนั้นย่อมกดดันให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกันกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างแดน
สรุปก็คือขอเพียงตีแดนอู๋เลี่ยงให้ได้ภายในครั้งนี้ เฟิงเป่ยเฉินก็จะต้องตายแน่นอน นี่ก็คือราคาที่เฟิงเป่ยเฉินต้องจ่ายเพราะไปแตะต้องลูกสาวหยางชิ่ง!
ส่วนหลังจากจบเรื่องแล้ว ฝั่งเหมียวอี้จะต้องถูกมู่ฝานจวินบงการอย่างลับๆ อยู่ตลอด หยางชิ่งก็ไม่มีทางนั่งดูดายให้เกิดเรื่องแบบนี้ต่อไปเหมือนกัน
เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวคือตัวประกันที่ถูกบีบอยู่ในมือของมู่ฝานจวิน หยางชิ่งไม่คิดจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อไปแดนโพ้นสวรรค์เพื่อกำจัดอวิ๋นจือชิวที่เป็นตัวประกันทิ้ง ต่อให้มีความสามารถนั้นแต่เขาก็จะไม่ลงมือเอง หลังจากจบเรื่องนี้ ขอเพียงแอบปล่อยข่าวให้แดนอื่นๆ รู้ ดำเนินการเพิ่มนิดหน่อย ให้ทุกคนได้เข้าใจว่าสาเหตุที่เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวกำลังถูกมู่ฝานจวินควบคุมอย่างลับๆ ที่จริงแล้วอำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเป็นของมู่ฝานจวิน ถึงตอนนั้นต่อให้มู่ฝานจวินไม่ฆ่าอวิ๋นจือชิวทิ้ง แต่แดนอื่นๆ ก็ไม่มีทางนั่งดูหนึ่งแดนเป็นใหญ่อยู่เพียงลำพังได้ จะต้องร่วมมือกันกดดันให้มู่ฝานจวินกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้เป็นอิสระ เพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างกันต่อไป
สุดท้ายพออวิ๋นจือชิวตาย เหมียวอี้กับมู่ฝานจวินก็จะมีความแค้นที่ใหญ่โตต่อกัน อันหรูอวี้กับสามีอยู่ฝ่ายมู่ฝานจวิน ความสัมพันธ์ฝั่งสองพี่น้องโอวหยางก็จะอึดอัดมาก ฝั่งนี้มีตนคอยสนับสนุนและผลักดัน ตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกของเหมียวอี้จะต้องเป็นฉินเวยเวยลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน
ภายใต้การอาศัยอำนาจคนอื่นดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นชุด นี่ก็คือเป้าหมายที่เขาต้องการผลักดันไปให้ถึง ล้างแค้นกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้ไปแทนที่ก่อน แล้วค่อยกำจัดอวิ๋นจือชิวให้สองพี่น้องโอวหยางยืนหลีกทาง ถ้าครั้งนี้ลูกสาวของเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุดของผู้หญิงในใต้หล้า ก็จะเป็นสิ่งที่เขาชดเชยให้ลูกสาวตัวเอง
เขารู้จักลูกสาวตัวเองดี รู้ว่าฉินเวยเวยไม่สนใจอำนาจอิทธิพล และรู้ด้วยว่าลูกสาวตัวเองต้องการความสุขแบบไหน เช่นนั้นเขาก็จะมอบความสุขนี้ให้ลูกสาวเขาได้เสพแต่เพียงผู้ดีย ในปีนั้นเขาให้ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยาภายใต้ความจนใจ ครั้งนี้เขาจะชดเชยให้ทั้งต้นทั้งดอก ให้ลูกสาวได้ครองตำหนักหลัก!
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ทุกอย่างกำลังเงียบงัน หยางชิ่งมองประเมินสีหน้าที่คาดเดาได้ยากของมู่ฝานจวินเงียบๆ
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็จ้องมาด้วยแววตาเย็นเยียบ “ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันคือความคิดของเหมียวอี้เหรอ?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดุร้าย
หยางชิ่งตอบว่า “หลังจากเกิดเรื่องนายท่านเหมียวก็รีบไปสะสางบัญชีกับเฟิงเป่ยเฉินที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ มิหนำซ้ำนายท่านเหมียวก็ไม่มีอำนาจที่จะระดมกำลังพลทั้งสายมะโรงด้วย ที่ท่านทูตสามารถส่งข้าน้อยมาได้ การยินดีเป็นตัวประกันย่อมเป็นความคิดของท่านทูตเองขอรับ”
“เฮอะ!” มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แต่ความดุดันในแววตาคลายลงแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เหมียวอี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ถ้าข้าฝืนรั้งเก็บไว้ ตาแก่ของแดนอื่นๆ ก็คงจะไม่วางใจเหมือนกัน ถ้าเขาจะไปแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร จะให้ข้าสนับสนุนพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าสามารถโน้มน้าวมารเฒ่าอวิ๋นนั่นได้ ไม่อย่างนั้นมีข้าแดนเดียวสนับสนุนไปก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนจะจับตัวประกันไว้หรือไม่ เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ ข้ามีเงื่อนไขอยู่เพียงข้อเดียว!”
หยางชิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดถามว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไรขอรับ?”
มู่ฝานจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งในแต่ปีของแดนอู๋เลี่ยง ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว หลังจากจบเรื่องก็มาส่งส่วยตามกำหนดเวลาก็พอ ไม่ต้องให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันแล้ว เพื่อลดหยางเพิ่มหยินระหว่างหกปราชญ์ ข้าเป็นผู้หญิงคนเดียวอาจจะรู้สึกเหงา ข้าว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากจบเรื่องให้อวิ๋นจือชิวไปเป็นปราชญ์เต๋าของแดนอู๋เลี่ยงเถอะ ให้เหมียวอี้เป็นผู้ช่วยนาง ถ้าพวกเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขนี้ ข้าก็จะตอบตกลงเงื่อนไขของพวกเจ้าเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็การเจรจานี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น”
นางขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาถอยไป!
หยางชิ่งเหม่อเล็กน้อย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ทำไมคุยง่ายขนาดนี้? ถ้าไม่มีตัวประกันที่มีน้ำหนักมากพอ แล้วเจ้าอาศัยอะไรมาเชื่อว่าพวกเราจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของแดนอู๋เลี่ยงให้เจ้าทุกปี? ถ้าไม่กำจุดอ่อนไว้ในมือ ต่อให้ตอนนี้พวกเราตอบรับเงื่อนไขของเจ้า แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องพวกเราจะให้อวิ๋นจือชิวเป็นปราชญ์?
แผนการที่มีความมั่นใจเก้าในสิบของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ เรียกได้ว่าออกหมัดหนักแต่กลับชกไม่โดนอะไร ออกมาจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าอย่างค่อนข้างงุนงง ต่อให้คิดจนหัวจะแตกก็คิดไม่ตกว่ามู่ฝานจวินกำลังเล่นบ้าอะไร
หารู้ไม่ว่าสำหรับมู่ฝานจวินแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่แย่แสความตายของตัวประกัน จะให้นางนำอวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเหมียวอี้แยแสความเป็นความตายของตัวประกันจริงๆ ตัวประกันก็ไม่จำเป็นต้องมีเยอะ แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้หยางชิ่งจะวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล แต่เสียที่รู้ข่าวสารไม่คีบถ้วน มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่รู้เลย เรื่องที่เขาไม่รู้ก็ย่อมไม่ได้อยู่ในแผนของเขา
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขามองได้อย่างแม่นยำแล้ว นั่นก็คือเหมียวอี้มีศักยภาพที่จะโจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน เรื่องนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว ถ้ามู่ฝานจวินให้เหมียวอี้อยู่ใต้บังคับบัญชาต่อไป ก็จะทำให้แดนที่เหลือหวาดระแวงจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แดนอื่นร่วมมือกันมากดดัน นางทำได้เพียงฝืนใจตอบตกลงไป นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งมองขาด ถึงได้มีความมั่นใจที่จะกล้ามาเจรจา
“ให้เยว่เหยากับหงเฉินมาที่นี่หน่อย!”
หลังจากหยางชิ่งออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอ่ยสั่งเสียงเรียบ แล้วมีคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ผ่านไปครู่เดียว เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงขาวกับหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงแดงก็มาด้วยกัน พอก้าวเข้ามาในตำหนักก็ทำความเคารพ “ท่านปราชญ์!”
มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องบนอมยิ้มน้อยๆ ในดวงตา แล้วถามว่า “เยว่เหยา พี่รองคนนั้นของเจ้าที่หายตัวไปหลายปี ได้ข่าวบ้างหรือไม่?”
พอถามมาแบบนี้ เยว่เหยากับหงเฉินก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก ในดวงตาฉายแววลุกลี้ลุกลนนิดหน่อย ทำเอามู่ฝานจวินเริ่มหรี่ตามอง
หลังจากคุมสติได้แล้ว เยว่เหยาก็ตอบว่า “ไม่เคยได้ข่าวเลยค่ะ”
ดวงตาที่อมยิ้มของมู่ฝานจวินหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบแทน “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ไม่ได้ข่าวจริงเหรอ?”
จู่ๆ ก็มาไม้นี้ ในใจเยว่เหยาเรียกได้ว่าสับสนอลหม่าน แต่ก็ยังฝืนถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านอาจารย์ได้ข่าวเขาหรือคะ?”
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “นางหนู ดีเลย เจ้าช่างดีจริงๆ! ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดหกคน ข้าเอ็นดูเจ้าที่สุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับใช้คำพูดมาเป็นมีดแทงหัวใจข้า! ข้าเคยห้ามเจ้าไม่ให้ไปมาหาสู่กับลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดเหรอ?”
พอเรียกชื่อคน คู่เทพธิดาโพ้นสวรรค์ที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็เหม่อไปเลย ไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร
หารู้ไม่ว่าในปีที่มู่ฝานจวินพาพวกนางสองคนไปหาเหมียวอี้ที่ทะเลดาวประจิม ตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดมาพูดขอร้องให้เหมียวอี้ ตอนนั้นนางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะมันทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นเยว่เหยาเคยบอกว่าพี่รองของนางโดนคนพาตัวไป เค้ารางต่างๆ เหมือนเคล็ดวิชาของไต้ซือศีลเจ็ด กอปรกับเห็นปฏิกิริยาที่เครียดกังวลของศีลแปดในตอนนั้น ก็ทำให้นางสงสัยแล้ว ตอนหลังจึงส่งคนไปสืบเวลาตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดรับศิษย์ ก็พบว่าสอดคล้องกันจริงๆ บวกกับตอนหลังสามพี่น้องไปมาหาสู่กันบ่อยด้วย
นางแน่ใจในตัวตนของศีลแปดแล้ว เพียงแต่มีหลายเรื่องที่นางอมไว้ไม่เผยออกมา เล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มีประโยชน์ก็จะไม่เปิดโปงออกมาง่ายๆ ที่มาเอ่ยถึงตอนนี้ก็แสดงว่าถึงเวลาจะใช้ประโยชน์แล้ว
ตุ้บ! เยว่เหยาคุกเข่าลงตรงนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็สะอึกสะอื้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว!”
…………………………