พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1103 แลกตัวประกัน

บทที่ 1103 แลกตัวประกัน

“ท่านรู้สึกว่าใช้ดีก็พอแล้ว” ฉินซีตอบส่งเดชขณะมองดูเขาโอ้อวด

ขณะที่ถูกนางมองด้วยสายตาแปลกๆ เฟิงเป่ยเฉินก็รู้ว่าการถืออาวุธสองด้ามนี้ไม่สง่างาม แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขาถูกเหมียวอี้โจมตีจนกลายเป็นแบบนั้น จึงอับอายที่จะขอกำลังเสริม ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โดนอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตี เขาก็สามารถเรียกปราชญ์ที่เหลือให้มาช่วยได้ทันที แต่ถ้าแพ้ให้เหมียวอี้แล้วยังเรียกกำลังเสริมมาอีก ต่อไปก็ไม่มีหน้ามาเรียกตัวเองว่าหนึ่งในหกปราชญ์แล้ว

เขาไม่อยากประกาศเรื่องฉาวโฉ่พวกนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่อยากให้ของบนตัวเหมียวอี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น

ตรงนี้เพิ่งจะเก็บไม้กระบองใหญ่สองด้าม ด้านนอกก็มีคนมารายงานแล้วว่า “ท่านปราชญ์ โม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาขอพบขอรับ”

ฉินซีเหล่ตามองแวบหนึ่ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจ

เฟิงเป่ยเฉินถามกลับว่า “เขามาทำไม จวินอี๋ไม่ได้มาเหรอ?” เขาเรียกเหมียวจวินอี๋มา ไม่ได้เรียกพบโม่หมิง

ผู้ที่มาตอบว่า “เปล่าขอรับ มีแค่โม่หมิงคนเดียว ดูท่าทางร้อนรนมาก เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เฟิงเป่ยเฉินโบกมือ ผู้ที่มารีบสาวเท้าเดินออกไป และไม่นานก็นำโม่หมิงเข้ามา

พอพบหน้าและทำความเคารพ โม่หมิงก็ไม่รอให้เฟิงเป่ยเฉินถาม แย่งบอกอย่างใจร้อนแล้วว่า “ท่านปราชญ์! จู่ๆ ไอ้เหมียวจัญไรก็จู่โจมสำนักงามวิจิตร จับตัวจวินอี๋กับลูกสาวไป..” เรียกได้ว่ารีบร้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“เฮอะ!” หลังจากได้ฟังแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็แค่พ่นเสียงทางจมูก แต่ไม่นานสีหน้าเปลี่ยนก็ไปเล็กน้อย เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามกลับว่า “ไม่ได้จับคนอื่นเหรอ ขับแค่จวินอี๋กับหลันหลัน?”

โม่หมิงไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก พยักหน้าตอบไปว่า “ขอรับ! จับพวกนางไปแค่สองคน พูดทิ้งท้ายไว้แล้วจากไปเลย”

ตอนนี้ดวงตาเฟิงเป่ยเฉินฉายแววร้อนรนแล้ว หน้าดำคร่ำเครียดนิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนเหมียวอี้ทำให้มีอะไรติดคอ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน เหมียวอี้พุ่งเป้าหมายมาชัดเจนเกินไปแล้ว ทำเอาเขาหวาดกลัวแทบแย่

เป็นอย่างที่ฉินซีบอก โม่จวินหลันเกิดจาดเขากับเหมียวจวินอี๋จริงๆ ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำลูกศิษย์หญิงของตัวเองจนท้องคลอดลูกออกมา ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากลูกศิษย์แต่งงานแล้ว ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

เขาสงสัยว่าเหมียวอี้รู้อะไรบางอย่างเข้าแล้วหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นใครมันจะลงมือได้แม่นยำขนาดนี้ ทำไมต้องลงมือกับเหมียวจวินอี๋และลูกสาวด้วยล่ะ?

หลังจากสับสนวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง ฝีเท้าก็หยุดนิ่ง จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองก็มีแค่เหมียวจวินอี๋ที่พักอยู่นอกนภาอู๋เลี่ยง ถ้าเหมียวอี้จะจับคนมาบีบเขา ถ้าไม่จับเหมียวจวินอี๋แล้วจะให้จับใครล่ะ? เขากับชุยหย่งเจินก็ทำเรื่องน่าอับอายเหมือนกัน ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็จับชุยหย่งเจินไปเหมือนกันไม่ใช่หรือไง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาสะเพร่าไปเอง ไม่ได้แจ้งเหมียวจวินอี๋ให้เตรียมพร้อมป้องกันได้ทันเวลา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องระหว่างตนกับเหมียวจวินอี๋ไม่มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้  ตนไม่มีทางบอกกับคนนอก เหมียวจวินอี๋ก็ไม่ทำเรื่องโง่แบบนั้นแน่นอน ถ้าเรื่องฉาวโอ่แบบนี้หลุดออกไป เหมียวจวินอี๋ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจากมีความคิดแบบนี้ เขาก็หันหน้ามาถามทันทีว่า “โม่หมิง คนที่ไอ้เหมียวจัญไรต้องจับมาบีบจุดอ่อนข้า จับแค่จวินอี๋คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องจับหลันหลันไปด้วย อย่าบอกนะว่าตอนนั้นสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี?”

ฉินซีได้ยินคำพูดนี้แล้วหัวเราะเยาะในใจ นางรู้ดีว่าเฟิงเป่ยเฉินถามแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร

โม่หมิงที่มีผมขาวแซมเต็มศีรษะกุมหมัดตอบว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง ตอนนั้นพวกนางสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี ท่านปราชญ์ได้โปรดหาทางช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกด้วยขอรับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบถอนหายใจหนักๆ สองคนนั้นอยู่ด้วยหันพอดีจริงๆ ด้วย ก็อย่างว่านั้นแหละ ไอ้เหมียวจัญไรจะไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร

ถ้าหลังจากจับเหมียวจวินอี๋ได้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรตั้งใจไปจับโม่จวินหลันอีก แบบนั้นเขาก็ต้องหวาดระแวงกลัวแล้ว ตอนนี้ย่อมกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องกังวล! จวินอี๋เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่มีทางนิ่งดูดาย ย่อมหาทางช่วยอยู่แล้ว”

“ขอบคุณท่านปราชญ์!” โม่หมิงเรียกได้ว่าโค้งตัวขอบคุณ

ฉินซีเห็นเหตุการณ์นี้แล้วแอบส่ายหน้า จู่ๆ ในใจก็มีความคิดที่เหลวไหลบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะต้องขอบคุณหยางชิ่งรึเปล่า?

เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา นางก็แอบรู้สึกร้อนที่ใบหน้า พบว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน

หลังจากเฟิงเป่ยเฉินโบกมือให้โม่หมิงออกไปแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เริ่มกลัดกลุ้มนิดๆ แล้ว ถ้าเหมียวอี้จับตัวเหมียวจวินอี๋กับลูกสาวมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ตัวเองจะแลกหรือไม่แลกดีนะ? ถ้าตัวเองเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย เหมียวจวินอี๋จะเปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างพวกเขาหรือเปล่า? แล้วถ้าแลกเปลี่ยนกันล่ะ เขาก็จะชิงของบนตัวเหมียวอี้มาไม่สะดวกแล้ว

ไม่นานก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เมื่อมีไม้กระบองใหญ่สองด้ามในมือแล้ว ก็จะจัดการไอ้จัญไรนั่นได้พอดี เดี๋ยวพอได้คนกลับมาแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย

แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ขนาดโม่หมิงยังมาแล้ว เหมียวอี้ที่จับสองแม่ลูกคู่นั้นไปทำไมยังไม่นำตัวมาแลกอีก? อย่าบอกนะว่ากำลังหากำลังเสริม?

หลังจากไตร่ตรองพักหนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกตัวประกันที่จับได้ออดมา แล้วใช้มือดึงฉินเวยเวยขึ้นมา

ฉินเวยเวยยังคงสวมชุดเกราะ เป็นชุดเกราะสีทองขั้นสี่ เกราะที่มีระดับสูงเกินไป วรยุทธ์ของนางก็ควบคุมไม่ไหวเช่นกัน

ลักษณะเวลานางสวมเกราะรบชุดนั้นก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เฟิงเป่ยเฉินเคลื่อนสายตามองเรือนร่างอันมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่กำลังสวมชุดเกราะของนาง พอนึกขึ้นได้ว่าสาวงามคนนี้คืออนุภรรยาของเหมียวอี้ แล้วนึกถึงความอัปยศที่เหมียวอี้นำมาให้เขา เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็เอียงหน้ามองฉินซีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ทำให้นึกเชื่อมโยงว่าเหมียวจวินอี๋และลูกสาวยังอยู่ในมือเหมียวอี้ จึงยังข่มกลั้นความคิดชั่วร้ายนั้นไว้

ฉินเวยเวยที่โดนผนึกวรยุทธ์ตกใจกลัวนิดหน่อย คนที่อยู่ตรงหน้าคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน สำหรับนางนี่คือบุคคลที่อยู่ในตำนาน ถ้าบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก

จู่ๆ เฟิงเป่ยเฉินก็คว้าข้อมือฉินเวยเวย นางตกใจทันที ดิ้นรนแต่ไม่หลุดพ้น “ถุย” จึงพ่นน้ำลายใส่หน้าเฟิงเป่ยเฉินทันที

ความอัปยศอดสูนี้มาจะมาถึงตัวเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร นอกจากจะไม่รู้ว่าน้ำลายนั่นหายไปไหนแล้ว เฟิงเป่ยเฉินยังโบกมือตบเข้ามาหนึ่งฉาดด้วย

เพี้ยะ! ถึงแม้จะมีเกราะหัวปิดบังใบหน้า แต่ฉินเวยเวยที่โดนตบจนโซเซก็ยังมีเลือดไหลออกจากมุมปาก

“มีอย่างที่ไหนมาตบหน้าผู้หญิง? ผู้ชายอย่างพวกท่านก็ดีแต่รังแกผู้หญิง” ฉินซีที่อยู่ข้างกายกล่าวเสียงเรียบ

เฟิงเป่ยเฉินหันมามองนางแวบหนึ่ง แล้วดึงแขนฉินเวยเวยขึ้นมา รูดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือฉินเวยเวยออกมาโดยตรง จากนั้นก็สะบัดมือส่งเดช ทำให้ฉินเวยเวยที่โดนตบจนมึนล้มลงพื้น

ฉินซีมองมาแวบหนึ่ง ข่มอารมณ์ที่วู่วามเอาไว้ พยายามรักษาสีหน้าท่าทางเย็นชาไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ก้าวเข้าไปประคอง

เดิมทีเฟิงเป่ยเฉินก็แค่จะดูไปอย่างนั้นว่าในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวยมีอะไร ผลปรากฏว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่รู้ แต่พอดูแล้วก็ตกใจ ของอย่างอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ เขาเห็นระฆังดาราหลายอันอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวย ทั้งยังพบว่ามีแหวนเก็บสมบัติอีกวงที่ใช้เก็บยาแก่นเซียนหลายล้านเม็ดโดยเฉพาะ

จะเป็นไปได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่มีทางหายาแก่นเซียนมาได้มากขนาดนี้ในรวดเดียวเลย เยอะกว่ายาแก่นเซียนที่เขาเคยใช้มาทั้งชีวิตอีก เขากล้ารับประกันว่าหกปราชญ์คนอื่นๆ ก็หายาแก่นเซียนไม่ได้มากมายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสสถานการณ์อย่างปัจจุบันหรอก

เขายังนึกว่าตัวเองมองผิดไป หลังจากหยิบมาลองกินเม็ดหนึ่ง ก็แน่ใจว่าไม่ผิด เป็นยาแก่นเซียนจริงๆ ชั่วพริบตาเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงเพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็วขนาดนั้น ขนาดอนุภรรยาคนเดียวยังมียาแก่นเซียนในมือมากขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าในมือเหมียวอี้จะมีมากขนาดไหน

ตอนนี้เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เขาเดินมาข้างกายฉินเวยเวยที่ลุกขึ้นมา แกว่งไกวแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “ยาแก่นเซียนในนี้เอามาจากไหน?”

ฉินเวยเวยรู้ว่าทำเสียเรื่องแล้ว จึงยกมือขึ้นถอดแกราะหัวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็หันศีรษะไปโขกแท่นหินที่อยู่ข้างๆ นางอยากจะฆ่าตัวตาย

แต่เฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยให้นางทำสำเร็จได้อย่างไร โดนผนึกพลังอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว ในสายตาเฟิงเป่ยเฉิน การกระทำแบบนั้นเชื่องช้าเหมือนกับมดตัวหนึ่ง เห็นเพียงเฟิงเป่ยเฉินกางนิ้วทั้งห้า ทำให้ฉินเวยเวยลอยถอยหลังออกมาทันที โดนกักคอไว้แล้ว

“อยากตายเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มชั่วร้าย “ไม่บอกเหรอ? ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าทรมานจนอยากตายแต่ตายไม่ได้”

“อย่าทำร้ายผู้หญิงต่อหน้าข้า” ฉินซีพลันเอ่ยปาก

เฟิงเป่ยเฉินหันขวับมาตะคอกทันที “ไสหัวกลับไปที่ห้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”

ถ้าจะยอมถอยให้ฉินซีก็ต้องดูว่าเรื่องอะไร เมื่อเทียบกับยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ ฉินซีนับว่าสำคัญอะไรล่ะ? อาศัยฐานะอย่างเขายังกลัวว่าจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ?

ฉินซีกล่าวเสียงเรียบว่า “ต่อให้ทำร้ายนางจนตายนางก็ไม่บอกอยู่ดี ถ้าเสียเวลาจนเหมียวอี้มาถึง ท่านจะช่วยลูกศิษย์ท่านกลับมาได้เหรอ? ส่งนางให้ข้าจัดการเถอะ ให้เวลาข้าครึ่งชั่วยาม!”

“ครึ่งชั่วยาม?” เฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะไม่เชื่อ

“พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ให้ข้ากับนางคุยกันเถอะ” ฉินซีเดินตรงเข้ามา จับมือฉินเวยเวยที่อยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินเดินออกไปทันที

เฟิงเป่ยเฉินคลายนิ้วทั้งห้า ไม่ได้ขัดขวางอะไร เพียงเตือนไปว่า “งั้นก็ให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม!”

จากนั้นก็หันกลับมามองแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วตรวจดูยาแก่นเซียนในแหวนเก็บสมบัติอีกครั้ง ในดวงตาราวกับจะลุกเป็นไฟ

เหมียวอี้ชักช้าไม่โผล่หน้ามาสักที เขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะไปขอให้มู่ฝานจวินมาเป็นกำลังเสริมหรือเปล่า ในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะให้แดนอื่นมาช่วยดีหรือไม่ แต่พอดูสถานการณ์แบบนี้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรจะต้องไม่กล้าให้มู่ฝานจวินรู้เรื่องยาแก่นเซียนจำนวนมหาศาลนี้แน่ๆ ส่วนเขาเอง ก็ยิ่งไม่อยากบอกปราชญ์คนอื่นๆ ให้รู้ อยากจะฮุบไว้คนเดียวมากกว่า!

ฉินซีพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พาฉินเวยเวยมาส่งตรงหน้าเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ในลานบ้าน “ข้าคุยกับนางเรียบร้อยแล้ว ท่านอยากจะถามอะไรก็ถามเถอะ”

เฟิงเป่ยเฉินขานรับ “อ้อ” สงสัยจะทำให้ฉินเวยเวยสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงแกว่งแหวนเก็บสมบัติพร้อมถามอีกครั้ง “นำยาแก่นเซียนพวกนี้มาจากไหน?”

“เหมียวอี้ให้” ฉินเวยเวยตอบ

เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย! เฟิงเป่ยเฉินรีบถามอีก “เหมียวอี้เอามาจากไหน?”

ฉินเวยเวยตอบว่า “เหมียวอี้บอกว่าเป็นของที่อยู่บนเรือมังกรอเวจี”

“เรือมังกรอเวจี?” เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ถามว่า “เหมียวอี้ขึ้นเรือมังกรอเวจีได้เหรอ?”

ฉินเวยเวยส่ายหน้า “เหมียวอี้บอกว่าเทพพยากรณ์เอามาจากบนเรือมังกรอเวจี เขากับเทพพยากรณ์สนิทกันมาก เลยขอมาจากเทพพยากรณ์”

เฟิงเป่ยเฉินนำระฆังดารามาไว้ในมืออีก “แล้วระฆังนี้ล่ะ?”

“เอามาจากเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน” ฉินเวยเวยตอบ

เฟิงเป่ยเฉินเดินไปเดินมาทันที เขาเชื่อคำตอบนี้ ในมือเขาก็มีระฆังดาราเหมือนกัน เทพพยากรณ์เป็นผู้ให้เหมือนกัน ยาแก่นเซียนโผล่มามากมายขนาดนี้ ความเป็นไปได้ก็มีแค่เรือมังกรอเวจีแล้ว เขาหยุดฝีเท้าแล้วโบกมือ ระฆังดาราหนึ่งแถวที่เป็นของฉินเวยเวยลอยอยู่ตรงหน้าฉินเวยเวยแล้ว “หาระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหมียวอี้ออกมา ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขาเอาตัวประกันมาแลกเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”

พูดจบก็คลายผนึกบนตัวฉินเวยเวย

ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมีเพียงการลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดารานี้เท่านั้น ถึงจะใช้ติดต่อระหว่างกันได้ อาสัยวรยุทธ์แค่นั้นของฉินเวยเวย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่กลัวนางจะหนีเช่นกัน

ฉินเวยเวยมองฉินซีแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ฉินซีพยักหน้าเบาๆ เฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ค่อนข้างร้อนรน ถ้าไม่ตอบตกลงเกรงว่าฉินเวยเวยจะได้รับความลำบาก

ที่จริงจุดที่เหมียวอี้อยู่ก็ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลมาก เพราะจะได้มาทันหากได้รับแจ้งจากฉินซีว่าเกิดเรื่องขึ้น

ระหว่างแนวภูเขา ใต้ต้นไม้เก่าแก่ เหมียวอี้เก็บระฆังดาราเงียบๆ ได้รับข้อความจากฉินเวยเวยแล้ว

ถ้าจะทำตามแผนการ ไม่สู้เปลี่ยนแปลงดีกว่า รอฝั่งอวิ๋นจือชิวระดมพลมาโจมตีไม่ไหวแล้ว

เสียงดังเปาะแปะ เกราะรบที่สีเหมือนหยกแดงกลิ้งขึ้นมาบนตัว ทวนเกล็ดย้อนอยู่ในมือ เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “หลิงเทียน! ลำบากต้องให้เจ้าเข้ามาซ่อนตัวในกระเป๋าสัตว์ของข้าชั่วคราวแล้ว รอให้ข้าเรียก เจ้าค่อยปรากฏตัวในร่างเดิมทันที ร่วมมือกับข้าสังหารเฟิงเป่ยเฉิน!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset