ในเมื่อหลิงเทียนมาแล้ว เช่นนั้นก็มาช่วยเขาอีกแรงแล้วกัน ย่อมไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณชายห้าไม่รอข่าวจากทางฮูหยินก่อนหรือขอรับ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็อยากรอนะ แต่เฟิงเป่ยเฉินรอไม่ไหวแล้ว เอาฉินเวยเวยมากดดันข้าให้เอาตัวประกันไปแลก”
หลิงเทียนกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “ไม่รอคุณชายใหญ่มา พวกเราสองคนจะไหวเหรอ? มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินมีจุดที่พิเศษจริงๆ ถ้าใช้พลังปะทะตรงๆ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในใต้หล้า แม้แต่อวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“ข้าเคยได้รับบทเรียนมาแล้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเชี่ยวชาญในความสามารถของคนอื่น สามารถใช้พลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามย้อนโต้ตอบฝ่ายตรงข้าม แต่เขาไม่กล้าใช้กำลังปะทะกับข้าตรงๆ หรอก ไม่ว่าจะปะทะยังไงเขาก็เสียเปรียบ!” เหมียวอี้ชูทวนเกล็ดย้อนในมือ จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากังวลเหรอ? ไม่ต้องกังวล ถ้ามีความเร็วของเจ้าคอยช่วย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
หลิงเทียนพยักหน้า ผ่อนคลายตัวเองแล้ว เตรียมตัวถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ บอกโบกมือหนึ่งครั้ง ก็ทำให้เขาเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ทันที แล้วแฉลบขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
จุดที่เขาซ่อนตัวห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล ตอนที่เข้าใกล้นภาอู๋เลี่ยง ก็ดิ่งลงอย่างกะทันหันอีกครั้ง ลดระดับความสูงในการเหาะ เหาะขนาบไปกับแนวภูเขาด้านล่าง ถือโอกาสตอนที่หลบเลี่ยงสายตาที่อยู่รอบข้าง โบกมือเรียกตั๊กแตนห้าตัวให้ลงไปหลบอยู่ในป่าภูเขาด้านล่าง ตอนนี้ถึงได้พุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง
สถานที่แลกตัวประกันไม่ได้อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่เป็นตีนเขาที่อยู่ไม่ไกลจากนภาอู๋เลี่ยง
เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าถ้าสู้กันขึ้นมาแล้วรังตัวเองจะเสียหาย เมื่อนักพรตบงกชทองสู้กัน ถ้าไม่ระวังก็ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินทลายได้
สำหรับเหมียวอี้ที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานที่ที่เฟิงเป่ยเฉินระบุไว้กลับหาพบได้ง่ายเช่นกัน
จุดที่ห่างไปทางเหนือของนภาอู๋เลี่ยง บนเนินเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบสีแดง ศาลาหลังหนึ่งที่มีชายคาโค้งสี่มุม ห่างไปสิบกว่าจั้งเป็นลำธารเล็กๆ มีทั้งนกทั้งดอกไม้ ทัศนียภาพยอดเยี่ยม
เฟิงเป่ยเฉินนั่งจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ก็อยู่ในศาลาคนเดียว ข้างหลังมีคนยืนเรียงอยู่หนึ่งแถว
หลี่โม่จินลูกศิษย์คนโตยืนอยู่ตรงกลาง กำลังใช้กระบี่ใบมีดกว้างด้ามหนึ่งจ่อบนคอของฉินเวยเวย ควบคุมฉินเวยเวยที่เป็นตัวประกันเอาไว้ ส่วนเกราะรบบนตัวฉินเวยเวยก็ถูกถอดทิ้งไปแล้ว ของที่มีค่าก็ถูกรีดไถเอาไปหมด
ทางซ้ายและขวาของหลี่โม่จินมีศิษย์ยืนอยู่ ฟู่หยวนคัง กัวเหรินกวง หัวอวี้ เดิมทียังมีศิษย์หญิงอีกสองคน แต่น่าเสียดายที่ชุยหย่งเจินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ส่วนเหมียวจวินอี๋ก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว
ในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาหลังนั้น โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรกำลังรอคอยอย่างเงียบๆ รอบข้างมีนักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงนับร้อยกำลังลาดตระเวนไปทั่ว เมื่อพบความผิดปกติใดๆ จะได้แจ้งได้ตลอดเวลา
ฉินซีไม่อยู่ เฟิงเป่ยเฉินให้นางไปซ่อนตัว หลัวว่านางจะมาเกะกะเป็นอุปสรรค
แต่ถ้าฉินซีไม่ได้เห็นว่าลูกสาวตัวเองปลอดภัยแล้ว นางจะสงบใจได้อย่างไร กำลังหลบอยู่บนยอดเขาของนภาอู๋เลี่ยงไกลๆ และเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่
“คนเดียว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ!” บนยอดเขาไกลๆ มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนมาทางนี้
เพิ่งจะสิ้นเสียง เหมียวอี้ก็ถลันวูบเข้ามาแล้ว มาเหยียบลงบสทางหินเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากศาลาสิบจั้ง ทั้งตัวสวมเกราะรบสีแดง ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง สายตาจ้องตรงไปบนตัวฉินเวยเวยที่อยู่ในศาลา เมื่อเห็นรอยเลือดที่มุมปากฉินเวยเวย เขาก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าฉายแววดุร้ายในชั่วพริบตาเดียว
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ลูกผู้ชายคนหนึ่งเจ็บปวดที่สุด ก็คือยามประสบปัญหาแล้วปกป้องผู้หญิงของตัวเองไว้ไม่ได้
เหมียวอี้ไม่โทษฉินเวยเวยที่ตอนนั้นไม่เชื่อฟังเขา ให้นางหนีไปแต่นางไม่ไป เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินเวยเวยในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็เกรงว่าจะไม่ไปเหมือนกัน เพียงแค้นที่ตอนนั้นตัวเองไปเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกันที่เขาจะเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนที่เขาจะได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ ตอนที่ยังไม่รู้ระดับความสามารถของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะกล้าพาฉินเวยเวยมาเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างกาย ถ้าตัวเองพลั้งมือขึ้นมา นั่นก็จะเท่ากับทำให้ฉินเวยเวยลำบากไปด้วยแล้ว เขาย่อมต้องดักหลังให้ เพื่อให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อน แต่ใครจะคิดว่าฉินเวยเวยเลิกเป็นห่วงเขาไม่ลง ไม่ยอมทิ้งเขาแล้วหนีไป จึงทำให้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ฉินเวยเวยก็ตำหนิตัวเองในใจไม่หยุด ต้องโทษที่ตอนนั้นตัวเองไม่เชื่อฟัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
ในศาลา เฟิงเป่ยเฉินที่ลักษณะท่าทางสูงส่งกำลังวางมากสง่าภูมิฐาน ในมือกำลังถือถ้วยน้ำชา แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามอย่างเนิบนาบว่า “คนของข้าล่ะ?”
เสียงดังก้องน่าเกรงขามอยู่ระหว่างแนวภูเขา
พอเหมียวอี้โบกมือ เหมียวจวินอี๋และลูกสาวที่ผมงามยุ่งสยายก็เผยโฉมออกมาพร้อมกัน เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองทันที
โม่หมิงที่อยู่ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีสิทธิ์พูดอะไรตรงนี้ ก็คงจะวิ่งออกมาด้วยความร้อนใจแล้ว
พอเห็นเฟิงเป่ยเฉิน เหมียวจวินอี๋ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างร้อนใจทันที “ท่านอาจารย์…”
“หืม?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกด้วยความสงสัย แล้วเลิกทวนออกมาจ่อที่บ่านาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าวิ่ง เจ้าจะวิ่งไปไหน? เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง?”
กลับเป็นโม่จวินหลันที่หันขวับมามองเหมียวอี้ ถามประโยคที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวอีกครั้ง “เจ้ารู้รึเปล่าว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเอ่ยปากถาม แต่เหมียวอี้ปฏิเสธที่จะตอบ สรุปก็คือค่อนข้างปวดหัว ผู้หญิงคนนี้คือคนรักในฝันของเยารั่วเซียนในตอนแรก เขาไม่รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถามถึงเยารั่วเซียน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับนางดี ถ้าเกิดการปะทะขึ้นมาตนจะฆ่าทิ้งหรือจะไม่ฆ่าทิ้งดี?
ถ้าฆ่าทิ้งก็ยากที่จะรับประกันว่าสักวันข่าวจะไม่หลุดไปถึงหูเยารั่วเซียน ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเยารั่วเซียนจะรู้สึกอย่างไร คงจะไม่ปัดความรับผิดชอบไม่ทำงานหรอกใช่มั้ย?
แล้วก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเยารั่วเซียน เหมียวอี้ค่อนข้างคิดวนเวียนว่าจะเปิดโปงดีมั้ยว่าโม่จวินหลันคือลูกสาวลับๆ ของเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋
เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ยังตอบไม่ได้ โม่จวินหลันก็ถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”
มารดาเจ้าเถอะ! เจ้าแต่งงานแล้ว ยังจะพูดเหลวไหลอะไรอีก! เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง แต่จ้องฉินเวยเวยพร้อมถามว่า “เวยเวย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยส่ายหน้า “ท่านสามี ข้าไม่เป็นอะไร รอบข้างมีคนดักซุ่มมากมาย ท่านไม่ต้องสนใจข้า…” หลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่กระบี่ที่จ่อบนคอนาง ทำให้นางพูดไม่ได้ทันที
ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นของเฟิงเป่ยเฉิน โดยเฉพาะหัวอวี้ ในใจเรียกได้ว่ารู้สึกสะท้อนใจมาก ในปีนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในผู้คุมของการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร เหมียวอี้ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง ถึงขั้นต้องให้ท่านอาจารย์ออกโรงด้วยตัวเองแล้ว
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็แอบถ่ายทอดเสียงถามเหมียวจวินอี๋ “จวินอี๋ เจ้าไม่ได้พูดอะไรซี้ซั้วใช่มั้ย?”
เหมียวจวินอี๋รู้อยู่แก่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร นางถ่ายทอดเสียงไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ได้พูดอะไร
เฟิงเป่ยเฉินโล่งอก “ไอ้จัญไร ปล่อยคนเถอะ” พอเขาเอียงหน้าไปข้างหลัง
หลี่โม่จินก็ย้ายกระบี่วิเศษออกจากคอฉินเวยเวย แล้วผลักหลังฉินเวยเวยหนึ่งที “ไป!”
ฉินเวยเวยก้าวเท้าอย่างโซเซ เดินอออกจากศาลาอย่างช้าๆ
เหมียวอี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเหาะได้ไม่เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าไม่รอให้ฉินเวยเวยเดินมาถึงระยะที่ใกล้พอให้เขาตอบโต้ เขาก็จะไม่ปล่อยคน ในจุดนี้เฟิงเป่ยเฉินเองก็รู้ จึงวางมาดสูงสง่าต่อไป หยิบน้ำชาขึ้นมาจิงอย่างช้าๆ
รอจนฉินเวยเวยเดินมาจนเหลืออีกครึ่งก้าว เหมียวอี้ถึงได้ยกทวนในมือขึ้น “ไปซะ!”
เหมียวจวินอี๋รีบหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วรีบจูงมือโม่จวินหลันผู้เป็นลูกสาว เร่งฝีเท้าเดินไปทางศาลา
ตอนที่ตัวประกันเดินเฉียดผ่านกัน ก็มองตากันวแวบหนึ่ง ของมีค่าบนตัวทั้งสองถูกรีดไถไปหมดแล้ว แต่สมบัติของเหมียวจวินอี๋และลูกสาวไม่ได้เสียหายเท่าฉินเวยเวยแน่นอน
การแลกตัวประกันราบรื่นมาก ไม่มีการเล่นไม่ซื่ออะไรทั้งนั้น เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นของเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าพูดออกมาตอนที่แลกตัวประกัน แบบนั้นก็โง่แล้ว ถ้าทำให้เฟิงเป่ยเฉินอับอายจนโมโห นอกจากการขู่จะไม่ได้ผล ดีไม่ดีอาจจะส่งผลถึงความปลอดภัยของฉินเวยเวย
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” พอกลับมาฉินเวยเวยก็โผเข้าอ้อมกอดเหมียวอี้ เหมียวอี้ผลักนางออกแล้วเอ่ยถาม
ฉินเวยเวยน้ำตาคลแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นไร…ข้าขอโทษ!”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ลงมือคลายพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางที่โดนผลึกไว้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากหลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกบนตัวเหมียวจวินอี๋และลูกสาว เฟิงเป่ยเฉินก็วางถ้วยน้ำชาแล้วถามว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นไรค่ะ!” เหมียวจวินอี๋ที่ฟื้นพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาเหลือบตามองเหมียวอี้ แล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านอาจารย์ ไอ้โจรสุนัขนี่มันวรยุทธ์สูงขึ้นเยอะ ศิษย์ไม่ได้สังเกตจึงพลั้งมือไป…”
เฟิงเป่ยเฉินยกมือห้าม บอกใบ้ให้นางไปยืนข้างหลัง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน เอามือไขว้หลังเดินไปข้างศาลา แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา กล้ามาคนเดียว”
เหมียวอี้ตบบ่าฉินเวยเวย ครั้งนี้เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ไปก่อน จากนั้นถือทวนในแนวเฉียง พร้อมกล่าวเหน็บแนม “ไอ้ขี้แพ้ที่หนีหัวซุกหัวซุน ดีแต่เอาผู้หญิงมาขู่ ไม่พอให้ข้ากลัวหรอก!”
เฟิงเป่ยเฉินหน้าบึ้งลงเล็กน้อย “ไอ้จัญไร เอาของในมือมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้ารอดชีวิตไปสักครั้ง!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ส่งมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมา ข้าก็สามารถฆ่าเข้าได้เหมือนกัน!”
ในมือเขามีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน เคล็ดวิชาที่ขาดหัวขาดหางแบบนี้ไม่มีทางฝึกได้ ต้องนำเคล็ดวิชาภาคคนในมืออีกฝ่ายมาก่อนถึงจะใช้ได้
ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากได้เคล็ดวิชาฝึกตนของตน เฟิงเป่ยเฉินทั้งโมโหทั้งอยากขำ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์จริงๆ!”
พอพูดจบ สองมือที่ไขว้หลังก็พลันปล่อยออกมา กระบองไม้ขนาดใหญ่สองด้ามอยู่ในมือ แล้วพุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้
ป้องกันเขาไว้ตั้งนานแล้ว! พอเหมียวอี้โบกมือ กระบี่เล็กเพลิงจิตร้อยเล่มก็ยิงซวบๆ ออกมา
เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที สิ่งนี้คืออะไรกัน? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น ไม่รู้ลึกตื้น จึงไม่กล้าประมาท จึงรีบหยุดอยู่กับที่แล้วโบกกระบองป้องกันกระบอง!
เสียงดังฉึกๆ พักหนึ่ง กระบี่เล็กเพลิงจิตที่โจมตีบนกระบองไม้ ‘รอยจุดเลือด’ ระเบิดออก
ยังนึกว่าเป็นอาวุธที่ร้ายกาจอะไรเสียอีก อานุภาพการโจมตีมันก็เท่านี้นเอง! เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งจะแอบโล่งใจ ลูกตาสองข้างแทบจะถลนออกมา เขาเบิกตากว้าง มองดูกระบองไม้ที่อยู่ในมือด้วยความเหลือเชื่อ
เห็นเพียงเปลวเพลิงล่องหนที่สีเหมือนน้ำกำลังครอบและเผาไหม้บนกระบองไม้ใหญ่ทั้งคู่ เผาจนกระบองไม้บิดเบี้ยวและหดลงอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟ แต่ใครจะคิดว่าเปลวเพลิงล่องหนนี้จะประหลาดมาก ไล่ไฟได้แค่พื้นผิวภายนอก แต่ไฟที่เผาเข้าไปในกระบองไม้กลับไม่มีทางดับได้
ส่วนเปลวเพลิงล่องหนที่ถูกไล่ไปแล้วก็ยังถูกเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมอยู่ มันก่อตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วระเบิดยิงไปที่เขา
ในขณะเดียวกันนี้เอง เหมียวอี้โบกทวนโจมตีเข้ามา “เฒ่าจัญไร! รับความตายซะ!”
เฟิงเป่ยเฉินตกใจจนหน้าถอดสี ยกกระบองใหญ่สองด้ามที่กำลังเผาไหม้ขึ้นมาป้องกันกระบี่เล็กเพลิงจิตอีกครั้ง แต่กลัวว่าไฟจะมาถึงตัวเอง จึงโยนทิ้งไปเสียเลย
อาวุธเหมาะมือที่ต้องใช้ความพยายามกว่าจะทำออกมาได้ ตอนนี้ทำได้เพียงโยนทิ้งไปแบบนี้แล้ว จึงรีบเหาะขึ้นฟ้าหลบหนีทันที พร้อมตะโกนว่า “ขวางเขาไว้!”
เมื่อเห็นท่านอาจารย์หลบหนี หลี่โม่จินและคนอื่นๆ ก็ตกใจจนเหม่อค้าง ราวกับกำลังถามว่า ต่อให้สู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังไม่เล่นใหญ่ขนาดนี้เลยมั้ง?
…………………………