หลิงเทียนไม่รู้ว่าเขาจะทำให้เฟิงเป่ยเฉินร้องไห้ได้อย่างไร
เหมียวอี้ถามเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เจ้าอยากได้ของบนตัวข้า แต่ไม่เสียดายที่จะแบ่งกับคนอื่นงั้นเหรอ?”
คำถามนี้ทำให้เฟิงเป่ยเฉินกลุ่มใจแล้ว เขาอยากทำแบบนั้นรึไง? เขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน! ในใจเรียกได้ว่าคับแค้น แต่ปากก็ยังบอกว่า “งั้นตอนนี้เจ้าก็ส่งของมาเสียดีๆ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
เหมียวอี้หัวเราะลั่นแล้วบอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเก็บไว้คนเดียว งั้นเหมียวคนนี้ก็จะไม่เก็บไว้คนเดียวเหมือนกัน จะแบ่งปันเรื่องที่น่าสนใจให้ทุกคนรู้สักหน่อย เฒ่าจัญไรอยากฟังมั้ยล่ะ?”
เฟิงเป่ยเฉินแอบเกิดความระแวดระวังในใจ “เรื่องอะไร?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ได้ยินว่าเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์เจ้า เวลาจะปรนนิบัติอาจารย์ก็ถึงขั้นต้องเปลื้องผ้ากันเลยเหรอ เฒ่าจัญไร รสชาติเวลาได้นอนกับลูกศิษย์ตัวเองเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงมาก
โม่หมิงที่อยู่ไกลๆ ก็ตกใจเช่นกัน มองไปที่เหมียวจวินอี๋โดยจิตใต้สำนึก พบว่าเหมียวจวินอี๋หน้าซีดลงในชั่วพริบตาเดียว
คนที่มองเหมียวจวินอี๋เช่นเดียวกันก็คือโม่จวินหลันลูกสาวของตน สายตาของโม่จวินหลันฉายแววหวาดกลัว เพราะนางพบว่าผู้เป็นพ่อกำลังมองนางด้วยสายตาสงสัย!
เฟิงเป่ยเฉินตะลึงค้างนิดหน่อย โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “ไอ้จัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้สาระ!”
“พูดจาเหลวไหลเหรอ? นี่ลูกศิษย์เจ้าพูดเองนะ เฒ่าจัญไรไร้ยางอายอย่างเจ้าน่ะ ก็พอใช้ได้จริงๆ นั่นแหละ มีลูกศิษย์หญิงสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ปล่อยไปเลยสักคน ช่างเป็นเรื่องประหลาดที่หาพบได้ยากในสังคมจริงๆ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
หลิงเทียนก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุณชายห้า จริงหรือหลอกเนี่ย?”
“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
เฟิงเป่ยเฉินหันขวับไปมองเหมียวจวินอี๋ แววตานั้นดุดันไร้ที่สิ้นสุด ทำท่าทางเหมือนอยากจะกินเหมียวจวินอี๋ให้ได้
เหมียวจวินอี๋หวาดกลัวแล้ว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไปรู้ความลับสุดยอดนี้มาจากไหน ดูจากท่าทางของอาจารย์ก็เหมือนจะเข้าใจตนผิดแล้วจริงๆ จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกว่า “ไอ้เหมียวจัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหล! ท่านอาจารย์ ไอ้จัญไรนี่มีเจตนาร้าย กำลังยั่วยุให้ท่านโมโห จะได้ถือโอกาสหนีไปง่ายๆ!”
“ข้าจะไม่รู้ถึงเจตนาของเขาได้ยังไง! “เฟิงเป่ยเฉินรีบจบสถานการณ์ลงด้วยดี หัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่า “เฟิงคนนี้ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไอ้เหมียวจัญไร อนุภรรยาของเจ้าน่ะ เวลาถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วรูปร่างก็ไม่เลวเลยจริงๆ ผิวเนื้อขาวละเอียดอ่อน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ข้างหน้านูนข้างหลังงอน เสียงครางออดอ้อนตอนปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาข้า มันทำให้ตาแก่คนนี้ยังจำรสชาติได้ไม่รู้ลืม หลังจากเจ้าตายแล้ว ข้าจะไม่ฆ่านางหรอก! แต่จะว่าไปแล้ว คนอย่างเจ้าก็ไม่ถือสาอยู่แล้วนี่ ถึงอย่างไรไอ้จัญไรอย่างเจ้าก็มีนิสัยชอบเก็บรองเท้าขาด[1]ของคนอื่นอยู่แล้ว รองเท้าขาดบ้านข้า ใช่ว่าเจ้าจะเก็บเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร คนในใต้หล้าเขารู้กันหมด คู่เดียวก็ใส่ได้ สองคู่ก็ใส่ได้อยู่ดี ไอ้จัญไรมันรสนิยมมีระดับ ไม่ถือสาอยู่แล้ว!”
อะไรที่เรียกว่า ฆ่าศัตรูไปหนึ่งพันแต่ตัวเองเสียหายแปดร้อย? แบบนี้ไงล่ะ!
พอเฟิงเป่ยเฉินพูดโต้กลับ ก็ทำให้เหมียวอี้โมโหจนแทบกระอักเลือด เขาอยากจะเปิดโปงเรื่องที่โม่จวินหลันเป็นลูกสาวของเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังข่มกลั้นเอาไว้ เห็นแก่หน้าเยารั่วเซียน เป็นความแค้นระหว่างตนกับเฟิงเป่ยเฉิน จึงไม่ผลักโม่จวินหลันลงหลุมแห่งความตาย!
พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบข้าง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็จงใจหัวเราะลั่นเสียงดัง เสริมอำนาจให้อาจารย์ตัวเอง!
แต่ฉินซีที่ดูอยู่ไกลๆ กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที มองเฟิงเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายมาก วันนี้ทุกคนที่นี่ต้องตายกันให้หมดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของฉินเวยเวยก็นับว่าป่นปี้ย่อยยับแล้ว คนในโลกนี้มักจะไม่เชื่อความจริง แต่กลับสนใจข่าวลือที่พูดกันตามอำเภอใจ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เพราะความสัมพันธ์แบบนี้วุ่นวายที่สุด ทำให้คนเชื่อได้ง่ายที่สุดว่าเป็นความจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ‘มาร’ ประเภทนี้จึงมีอยู่ในใจคนทุกคน!
ต่อให้วันนี้เหมียวอี้ผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ฉินซีก็กังวลว่าลูกสาวตัวเองจะยืนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ได้อย่างไร ในภายหลังจะเผชิญหน้ากับคำตำหนิของคนในสังคมได้อย่างไร
“เฒ่าจัญไร ไม่ต้องเบี่ยงเบนความสนใจโดยการสาดโคลนใส่ผู้หญิงของข้าหรอก เรื่องเน่าเหม็นระหว่างเจ้ากับลูกศิษย์ ข้ายังพูดไม่หมดเลยนะ หมายความว่าอะไรเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเจ้า เอาชีวิตมาก็พอ!” เหมียวอี้หัวเราะเย้ย
“ยังกล้าปากแข็ง…” เฟิงเป่ยเฉินยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็หันหลังไป
ซวบๆ! ตั๊กแตนห้าตัวโผล่มากะหันทัน บินเรียงเป็นหน้ากระดานเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกหลี่โม่จินตกใจทันที นี่มันตัวอะไรกัน?
“สกัดไว้!” เฟิงเป่ยเฉินตวาดสั่ง
กลุ่มนักพรตที่ตามมารีบดักไว้ แต่กลับมีเสียงกรีดร้องดังเป็นแถบ แขนขาฉีกขาดปลิวว่อน กรงเล็บแหลมคมของตั๊กแตนห้าตัวพุ่งสังหารจนเกิดเป็นทางเลือด ไม่แยแสอาวุธของกลุ่มนักพรตที่ฟันโจมตีบนกระดองเกราะอันแข็งแกร่งเลย พวกมันจู่โจมอย่างรวดเร็วมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงพวกนั้นจะต้านทานไหว
หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋ ถึงแม้พวกเขาระหวาดระแวงกลัว แต่ก็ยังรีบพุ่งเข้ามาดัก กัวเหรินกวงและหัวอวี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชม่วง ยังไม่ถึงระดับบงกชม่วง ได้เห็นอานุภาพการบุกสังหารของตั๊กแตนกับตาตัวเอง จึงไม่กล้าเข้าใกล้
รอจนตั๊กแตนโผล่มาแล้วค่อยไปดัก ก็ค่อนข้างสายไปเสียแล้ว กอปรกับความเร็วของตั๊กแตน ชั่วพริบตาเดียวมาถึงข้างกายเฟิงเป่ยเฉินแล้ว
หลี่โม่จินเป็นลูกศิษย์ที่วรยุทธ์สูงที่สุด วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เขาบุกนำมาก่อนแล้ว แต่กลับขัดขวางได้ตัวเดียว
ปั้ง! ตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกเขาใช้กระบี่ฟันจนกระเด็นออกไป แต่บนร่างกายตั๊กแตนทิ้งรอยกระบี่ไว้แค่รอยเดียว พอพลิกตัวได้มันก็พุ่งเข้าหาเฟิงเป่ยเฉินต่อไป
หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…
ตั๊กแตนเขี้ยวคมห้าตัวโจมตีสังหารเข้ามา มันเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินตระหนกมาก เรียกกระบี่ด้ามหนึ่งออกมาฟันซ้ายฟันขวาด้วยความว่องไว
ตั๊กแตนที่พุ่งเข้ามาถูกฟันกระเด็นไปตัวแล้วตัวเล่า แต่บนตัวพวกมันทิ้งรอยกระบี่ตื้นๆ ไว้เพียงไม่กี่รอยเท่านั้น ไม่มีทางโจมตีทะลุกระดองเกราะที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติของพวกมันได้เลย กลับทำให้กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินถูกเขี้ยวและกรงเล็บแหลมคมของมันกระทบจนแหว่งหลายรู
เฟิงเป่ยเฉินยิ่งตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดที่เขี้ยวเล็บแหลมคมขนาดนี้ ถ้าไปโดนเข้าสักครั้งคงแย่แน่
ขณะที่หมุนตัวฟันกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ในกำไลเก็บสมบัติก็มีหมอกสีทองปรากฏออกมา เกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์ชุดหนึ่งสวมใส่บนร่างกายเพื่อป้องกัน เขาหมุนร่างกายด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดพลังประหลาดที่คล้ายกับน้ำวน พลังแต่ละกลุ่มหมุนวนไปทางตั๊กแตนที่กำลังเจาะโจมตีเข้ามาด้วยความเร็ว แบบนี้ถึงจะป้องกันตัวได้
มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ ด้วยพลังแบบนี้ ตั๊กแตนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเขายังต้องใช้สมาธิและพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ทั้งยังต้องควบคุมโลกไร้ขอบเขตบนฟ้าที่กำลังขังพวกเหมียวอี้ด้วย
หลี่โม่จินและคนอื่นๆ สวมเกราะรบพุ่งเข้ามาล้อมโจมตีแล้วเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาไม่ได้เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าโดนตั๊กแตนโจมตีกลับขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องลุกลี้ลุกลนอยู่พักหนึ่ง เรื่องนี้ต้องโทษเฟิงเป่ยเฉินที่ไม่สอนส่วนสำคัญของเคล็ดวิชาให้พวกเขา
โชคดีที่ตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย เป้าหมายหลักคือจับตัวเฟิงเป่ยเฉินและไม่ยอมจากไปไหน คลุ้มคลั่งโจมตีอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกหลี่โม่จินจะต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว
ตั๊กแตนห้าตัวนี้เหนือกว่าพวกตั๊กแตนที่เหมียวอี้นำติดตัวไปเข้าร่วมการทดสอบ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่อวิ๋นจือชิวใช้ยาเจี๋ยตันเลี้ยงในระหว่างร้อยปีที่เหมียวอี้ไปทดสอบ แต่ละตัวร่างใหญ่แข็งแรงเหมือนวัว
รอบข้างมีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน แต่ไม่มีที่เหลือให้พวกเขาแทรกเข้าไปได้เลย
เหมียวอี้ที่โดนขังอยู่ในค่ายกลรู้สึกได้ว่าคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของโลกไร้ขอบเขตค่อนข้างสับสนวุ่นวาย จึงเรียกทันที “หลิงเทียน เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า!”
หลังจากโบกมือเก็บหลิงเทียนเข้าในกระเป๋าสัตว์แล้ว เหมียวอี้ก็โบกทวนเกล็ดย้อนในมืออย่างบ้าคลั่ง กระบี่เพลิงสายแล้วสายเล่าระเบิดยิงไปทั่วสารทิศราวกับห่าฝน
เขาสังเกตได้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแบ่งสมาธิคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ลำบาก จึงเพิ่มแรงกดดันมหาศาลจากภายในให้เฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ต้องการทำให้โลกไร้ขอบเขตพังทลาย
เป็นอย่างที่คาดไว้ ภายใต้แรงกดดันทั้งภายในและภายนอก เฟิงเป่ยเฉินแทบจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
วูบๆ! กระบี่เพลิงสีแดงสิบกว่าสายทะลุผ่านหินดินที่กำลังหมุนวนออกมา ไปกระแทกอยู่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกล แสงเพลิงระเบิดออก เผาดินไหม้เกรียมเป็นแถบ แผ่นดินไหวสะเทือน คนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจจนรีบเหาะหนี
บวกกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของตั๊กแตนห้าตัว ทำให้ด้านบนมีหินดินตกลงมาผืนใหญ่ราวกับเม็ดฝนทันที
เงาคนคนหนึ่งที่ถูกครอบด้วยเปลวเพลิงราวกับเทพอัคคีพุ่งออกมา โบกทวนโจมตีออกมา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เอาชีวิตมา!”
เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก หมุนตัวด้วยความเร็วสูงพุ่งออกไปในแนวเฉียง พร้อมร้องว่า “วางค่ายกล! สกัดเขาไว้!”
บนกระดองเกราะของต๊กแตนห้าตัวเต็มไปด้วยรอยกระบี่ พวกมันบินพุ่งออกมา ตามกัดเฟิงเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย ไล่โจมตีไปตลอดทาง
หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋โบกแขนร่ายอิทธิฤทธิ์ทันที หินดินสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง หินดินปลิวขึ้นมา โลกไร้ขอบเขตโผล่ออกมาอีกครั้ง หมายจะขังเหมียวอี้เอาไว้
“ฟัน!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาเพิ่งจะออกจากค่ายกลใหญ่มา ตอนนี้กำลังถูกครอบอยู่ในเปลวเพลิง โบกทวนยาวเพลิงเดือดกระแทกไปที่พื้นอย่างดุดัน
บึ้ม! ทวนเกล็ดย้อนปูมังกรเพลิงออกมาตัวหนึ่ง กระทุ้งอยู่ที่พื้นดินอย่างบ้าคลั่ง
หินดินที่เพิ่งถูกทั้งสามร่ายอิทธิฤทธิ์พลิกขึ้นมาสั่นสะเทือนจนเสียการควบคุม ผิวดินที่ถูกทวนทวนก็เรียกได้ว่าถล่มทลาย ร่องน้ำหลายสายแผ่ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม
เหมียวอี้ที่พลิกตัวถือทวนรีบหมุนตัวพุ่งไปยังทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินหลบหนีราวกับลูกธนูคม ท่ามกลางเสียงมังกรคำรามที่กวาดยิงไปสี่ทิศ กระบี่เพลิงอันถี่กระชั้นฟันไปที่พวกหลี่โม่จินราวกับพายุฝนคลั่ง
ทั้งสามตกใจมาก รีบโบกกระบี่ฟันต้านทานเอาไว้ จะมีเวลาจากไหนมาวางค่ายกล
คนที่ดูการต่อสู้ตกใจจนรีบถอยหลัง เห็นเพียงหินดินปลิวว่อน แสงเพลิงยิงไปทั่วสารทิศ แผ่นดินไหววุ่นวาย รอยดินแตกขยายยาวเหยียดไปทั่วทุกที่ พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดพัดม้วนไปทุกแห่งหน ยอดเขาที่อยู่ใกล้หน่อยก็ถล่มดังโครมคราม ภาพเหตุการณ์นี้คล้ายกับโลกกำลังพังทลาย
“วี้ด!” เสียงเหยี่ยวร้องดังก้องสะท้านฟ้า
ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อนให้ดวงตาสับสน เหยี่ยวม่วงปรากฏตัวอีกครั้ง กระพือปีกบินย้อนโดยหันหลังให้พื้นดิน เหมียวอี้ก็ยืนกลับหัวอยู่บนหลังของเขาเช่นกัน ออกทวนราวกับมังกรโจมตีไปยังฟู่หยวนคังที่อยู่ข้างหน้า
ตอนนี้ทั้งสี่ทิศมองไม่เห็นอะไรเลย ฟู่หยวนคังที่รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ตกใจมาก โบกกระบี่ฟันมั่วๆ อย่างบ้าคลั่ง
แกร๊ง! เกิดเสียงดังชัดเจน หัวทวนเกล็ดย้อนที่แหลมคมพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าฟู่หยวนคัง กระบี่วิเศษในมือถูกฟันหักอย่างเหี้ยมหาญ
ฉึก! ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ทวนเกล็ดย้อนราวกับมีดวงตาที่ทั้งมั่นคง เด็ดเดี่ยวและแม่นยำ พอฟันกระบี่วิเศษหัก หัวทวนก็กระดกขึ้นเล็กน้อย แหย่ผ่านไปหนึ่งครั้งราวกับฟ้าแลบ ปาดศีรษะของฟู่หยวนคังจนระเบิดกระจายเหมือนลูกแตงโม
ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อน เงาดำสายหนึ่งแฉลบผ่านด้านบนของเขาไป ไม่เห็นฟู่หยวนคังที่ไร้ศีรษะแล้ว บนคอที่ขาดมีเลือดสดพุ่งอย่างบ้าคลั่ง ยังคงฟันกระบี่ที่หักมั่วๆ ต่อไปสองสามครั้ง แล้วสุดท้ายก็ล้มลงพื้นอย่างสิ้นหวัง
วูบ! ท่ามกลางหินดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง เหยี่ยวม่วงตัวหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากหมอกฝุ่นดิน แฉลบขึ้นฟ้าไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่หนีไปยังเส้นขอบฟ้า
ผ่านไปครู่เดียว หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋ก็เหาะออกจากฝุ่นดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ข้างล่างไม่มีเสียงต่อสู้แล้วไม่เห็นปฏิกิริยาของฟู่หยวนคังเช่นกัน เดาว่าคงท่าไม่ดีแล้ว
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งขณะที่อยู่บนฟ้า ในใจเกิดหวาดผวา นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญรบเก่งขนาดนี้!
ไม่ว่าจะอย่างไร แนวคิดที่ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิตก็คือแนวคิดที่ยากจะลบล้างได้ ต่อให้เหมียวอี้จะร้ายกาจกว่านี้…แต่อย่างน้อยถ้ายังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ทั้งสองก็ไม่อาจทิ้งเฟิงเป่ยเฉินแล้วหนีไปได้
ทั้งสองโบกกระบี่ในมือ แล้วไล่ตามไปทางเหมียวอี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนที่หลบไปอยู่รอบๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วทยอยกันพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปเช่นกัน
…………………………
[1] ร้องเท้าขาด อุปมาถึงผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีมาแล้ว