เหมียวอี้มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้โล่งอก เมื่อครู่นี้ใช้วิธีการ ‘สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ’ มาโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ถูกแท้ๆ เลย ไม่อย่างนั้นถ้าเลือกนักพรตบงกชทองสักคนหนึ่งมาสู้กับตน ตนก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ได้
แต่การทำแบบนี้ก็อันตรายมากจริงๆ เขาอาศัยที่อีกฝ่ายไม่รู้อานุภาพของตั๊กแตนและ ‘อารมณ์หวาดกลัว’ หนึ่งในเจ็ดอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในดาบของตน แน่นอนว่าเป็นเพราะตัวเองมีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชม่วงขั้นเก้าแล้ว ทำให้อาศัยความเร็วของตัวเองถ่วงเวลาได้ ถ้าตอนนี้ยังวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่งอยู่ ความเร็วในการเคลื่อนไหวแบบนั้นก็ไม่มีทางทำให้เขาบรรลุผลได้ แค่เหมยซางคนเดียวก็สามารถสกัดเขาได้ในชั่วอึดใจเดียวแล้ว ถ้าให้คนอื่นมองทะลุสมบัติลับของตัวเองก่อน ก็คงไม่เกิดผลทำให้อีกฝ่ายฉุกละหุกจนรับมือไม่ทันเหมือนเมื่อครู่นี้หรอก
เขาหันซ้ายหันขวา ตั้งสมาธิตอบสนองปฏิกิริยาของตั๊กแตน พลังจิตที่ฝูงตั๊กแตนสื่อมายังเหมือนเดิม และไม่มีความผิดปกติใดๆ ตอนนี้เขาถึงแน่ใจว่าเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตั๊กแตน สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก ตอนที่เขาลอบจู่โจมเมื่อครู่นี้ เขากังวลกับเรื่องนี้ที่สุด กลัวว่าแสงสีฟ้าบนดาบจะส่งผลกระทบต่อการล้อมโจมตีของฝูงตั๊กแตน ถ้าไม่มีตั๊กแตนคอยช่วยพัวพันให้ เขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้อยู่ดี
ไม่ว่าจะพูดยังไง การเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เขายืนมือออกไป แล้วตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวก็กระพือปีกบินขึ้นมาทันที บินเข้ามาในกำไลเก็บสมบัติของเขา จากนั้นก็ดึงดาบขึ้นมาจากพื้น พลิกดูในมือแล้วเก็บไว้
จากนั้นก็จัดการเก็บกวาดตรงนี้อย่างรวดเร็ว สมบัติที่อยู่บนตัวท่านทูตเหล่านั้น ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยทิ้งให้เสียของ
หลังจากเก็บกวาดสถานที่จนไม่มีมีช่องโหว่แล้ว เหมียวอี้ก็รีบออกไปจากตรงนั้น ไม่ได้เหาะขึ้นฟ้า แต่กลับมาโดนอาศัยลักษณะพื้นที่ในป่าภูเขาพรางตัว
หลังจากคลำทางจนมาถึงสำนักงามวิจิตร เขาก็ไม่ได้กลับภูเขาที่เป็นที่พักของแดนเซียน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะพาตัวเองไปอยู่ในมืออันหรูอวี้อีก เขาไปยังเรือนพักของกลุ่มปีสาจทะเลดาวนักษัตรโดยตรง คืนนี้เตรียมจะอยู่กับประมุขถิ่นสี่ทิศ ไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องพาพี่น้องร่วมสาบานพวกนี้มาด้วยหรอก การอยู่คนเดียวก็หน้านี้ก็เป็นบทเรียนให้เขาแล้ว
“ใคร?”
เหมียวอี้ที่เพิ่งปีนกำแพงเข้ามาโดนคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามาขวาง ไม่ใช่ใครที่ไหน ราชาปีศาจกระดูกขาวนั่นเอง
พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ราชาปีศาจกระดูกขาวก็ประหลาดใจมาก มองสำรวจศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง พอดูแล้วไม่เหมือนตัวปลอม ก็ถามอย่างฉงนใจทันที “คุณชายห้า ท่านมาอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ปีนกำแพงเข้ามาทำไม”
“ก็ไม่อยากให้คนนอกรู้ว่าข้ามา” เหมียวอี้โบกมือตอบ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ทั้งสี่ล่ะ? ข้ามีธุระจะคุยกับพวกเขา”
ราชาปีศาจกระดูกขาวตอบว่า “รับแขกอยู่ที่โถงหลัก จีเต๋อไห่กำลังคุยกับประมุขถิ่นทั้งสี่อยู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง!” เหมียวอี้ยื่นมือห้าม พี่ชายของจีเหม่ยเหมยมาทำอะไรที่นี่? เขาลูบคางพลางพึมพำในใจ จากนั้นก็ดึงราชาปีศาจกระดูกขาวมากระซิบบอกว่า “อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องที่ข้ามานะ โดยเฉพาะคนของนภาหมื่นปีศาจ ยิ่งจีเต๋อไห่ยิ่งห้ามให้รู้ รอให้จีเต๋อไห่ไปแล้ว เจ้าค่อยไปแจ้งให้พี่ใหญ่ทั้งสี่รู้เงียบๆ ก็พอ”
“ทำไมล่ะ?” ราชาปีศาจกระดูกขาวแปลกใจ
“จัดการตามที่ข้าบอกก็พอ จำไว้ว่าอย่าให้คนนอกรู้ว่าข้ามา ให้พี่ใหญ่ทั้งสี่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไป” เหมียวอี้กำชับอีกครั้ง
“ได้ ข้าทราบแล้ว… คุณชายห้า ท่านจะไปไหน?” ราชาปีศาจกระดูกขาวงงงัน เห็นเพียงเหมียวอี้ปีนกำแพงหนีออกไปอีก
เหมียวอี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าภูเขาต่อไป นอกจากนักพรตบงกชทอง คนทั่วไปก็ไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้ง่ายๆ เขาคลำทางไปจนถึงภูเขาที่พักของแดนมารอีก ครั้งนี้ก็ปีนกำแพงเข้ามาเช่นกัน พอปีนเข้ามาก็โดนดักถามว่า “ใคร?”
คนที่เข้ามาขวางเขาคือซ่งหยวนฟาง ท่านทูตสายเถาะของแดนมาร พอเห็นว่าเป็นเหมียวอี้ ก็รู้สึกงงทันที “ท่านเขยเหมียว ท่านทำตัวมีลับลมคมในปีนกำแพงเข้ามาทำไม? ท่านเดินเข้าทางประตูใหญ่ก็ไม่มีใครขวางหรอก!”
“เรื่องมันยาว” เหมียวอี้ถอนหายใจ ขณะที่พูดก็มองสำรวจอีกฝายศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “ท่านทูตซ่ง ทำไมพวกเขารบกวนให้ท่านมาคอยเฝ้าบ้านล่ะ?”
คนเฝ้าเรือนพักของประมุขถิ่นสี่ทิศยังพอสมเหตุสมผล เพราะไม่ได้พาคนอื่นมาด้วยแล้ว ให้ราชาปีศาจใต้บังคับบัญชาเฝ้าก็ยังพอฟังขึ้น แต่ที่นี่ใช่ว่าจะไม่มีคนอื่นให้ใช้งานเสียหน่อย
ซ่งหยวนฟางชี้ไปที่โถงหลัก “ไม่รู้ว่าฝ่ายนภาอู๋เลี่ยงวางแผนจะทำอะไร จู่ๆ ฟู่หยวนคังก็มาเล่นเล่นหมากล้อมกับคุณชายแปด คุณชายแปดกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเลศนัยอะไร เลยสั่งให้พวกเราเฝ้าอยู่รอบๆ อย่างเข้มงวด”
“ฟู่หยวนคังอยู่ที่นี่เหรอ?” เหมียวอี้ตะลึงงัน
“ใช่แล้ว!” ซ่งหยวนฟางพยักหน้า พอเห็นเขาทำสีหน้าแปลกไป ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าช้าๆ พลางขมวดคิ้ว จีเต๋อไห่เฝ้าพวกประมุขถิ่นสี่ทิศ ส่วนฟู่หยวนคังก็เฝ้าพวกอวิ๋นเป้า พวกเขากำลังแบ่งงานทำชัดๆ มารดาเจ้าเถอะ ทำแบบนี้เพราะกลัวว่าจะมีคนช่วยข้าไง แม้แต่กองกำลังหนุนสุดท้ายของข้า พวกเจ้าก็เตรียมจะตัดขาดด้วย!
ไอ้พวกเวรเอ๊ย ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะสิ้นเปลืองความพยายามมากขนาดนี้รับมือกับข้าแค่คนเดียว ประเมินข้าสูงจริงๆ! เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วกระซิบห้างหูซ่งหยวนฟาง “ท่านทูตซ่ง เรื่องที่ข้ามาที่นี่ ห้ามให้เล็ดรอดออกไปเด็ดขาด อย่าให้สะเทือนไปถึงฟู่หยวนคังด้วย ท่านไปแจ้งท่านอาแปดเงียบๆ ก็พอ ให้เขาหาข้ออ้างมาพบข้าที่สวนหลังบ้านสักหน่อย…”
หลังจากอธิบายอย่างละเอียด ซ่งหยวนฟางก็มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผย เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงพยักหน้าแล้วไปทำตาม
เหมียวอี้ดึงผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาทันที นำมาคลุมทั้งตัวและศีรษะ แล้วเดินตามซ่งหยวนฟางไปด้านหลัง
ทั้งสองมาถึงห้องเดี่ยวเล็กๆ ห้องหนึ่งของสวนด้านหลัง ข้างในมีแสงสว่างของโคมไฟ เหมียวอี้เดินไปเคาะประตู
“ใคร?” เสียงฉินเวยเวยดังมาจากในห้อง น้ำเสียงฟังดูระมัดระวังตัว
“ข้าเอง!” เหมียวอี้ตอบด้วยเสียงต่ำเบา
ประตูห้องเปิดออก ฉินเวยเวยแง้มประตูออกมาดูแวบหนึ่ง เหมียวอี้เผยใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมให้นางดู
ฉินเวยเวยฉงนใจอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้ นางจึงรีบปล่อยให้เขาเข้ามาในห้อง พอเข้ามาแล้วก็ยื่นศีรษะออกไปพยักหน้าให้ซ่งหยวนฟาง อีกฝ่ายพยักหน้าตอบแล้วเดินออกไป
พอปิดประตู เหมียวอี้ก็ถึงผ้าสีดำที่คลุมตัวออกมาเก็บไว้ ฉินเวยเวยเดินถามอยู่ข้างหลังเขาว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ยคะ?”
เหมียวอี้ไม่ตอบคำถาม เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เวยเวย ครั้งนี้เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลยจริงๆ” เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะซับซ้อนแบบนี้
ฉินเวยเวยอึ้งนิดหน่อย และไม่ได้ถามอะไรมาก หันกลับไปรินน้ำชามาวางตรงหน้าเขา จากนนั้นก็ไปยืนเก็บมืออยู่อีกด้าน มองดูเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด…
แสงจันทร์ส่องเฉียงลงมา ซ่งหยวนฟางเข้ามาในโถงหลัก มองดูอวิ๋นเป้ากับฟู่หยวนคังที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน
“คุณชายแปด!” ซ่งหยวนฟางเดินมาตรงหน้าและยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ “นภาแดนมารส่งข่าวมาขอรับ”
ฟู่หยวนคังเหลือบตาขึ้นจ้องแผ่นหยกแผ่นนั้น แล้วลงหมากต่อไป ส่วนอวิ๋นเป้าก็เอียงหน้าเหล่มองซ่งหยวนฟางแวบหนึ่ง คนที่ทำหน้าที่ส่งข่าวและรับข่าวของนภาแดนมารไม่ใช่ซ่งหยวนฟาง แต่เป็นผู้ติดตามของอวิ๋นเป้า แต่การที่ซ่งหยวนฟางพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน
พอลงหมากตัวหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาดู เขาขยับหัวคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเก็บแผ่นหยกเอาไว้ แล้วเล่นหมากล้อมของตัวเองต่อไป ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก
ซ่งหยวนฟางกุมหมัดคารวะทั้งสอง จากนั้นหันตัวเดินออกไป
ในห้องโถง หลังจากเล่นหมากล้อมเสร็จไปตาหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็ลุกขึ้น ฟู่หยวนคังที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามกลั้วหัวเราะว่า “อวิ๋นเป้า อย่าบอกนะว่าคิดจะเบี้ยวหนี้?”
“เหลวไหล! ข้าจะไปเยี่ยว รอข้ากลับมาแล้วค่อยจัดการเจ้า!” อวิ๋นเป้าทิ้งข้ออ้างหยาบๆ เอาไว้ แล้วหันตัวเดินอ้อมไปที่โถงด้านหลัง
“ข้ออ้างนี้ช่างหยาบจริงๆ” ฟู่หยวนคังพูดเหน็บแนม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คาดว่าทางนั้นคงจัดการเรื่องราวได้พอสมควรแล้ว ต่อให้อวิ๋นเป้ารู้ก็สายไปแล้วอยู่ดี
ส่วนเป้าหมายที่แท้จริงของอวิ๋นเป้า ก็ย่อมต้องมุ่งตรงสู่ห้องพักที่เหมียวอี้อยู่ หลังจากเคาะประตูและเข้าไป พอเห็นเหมียวอี้ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไม?”
เหมียวอี้เองก็ไม่พูดอะไรมาก ยื่นแหวนเก็บสมบัติให้สองวง “อาแปด ส่งยอดฝีมือมาสองคน ให้นำแหวนเก็บสมบัติสองวงนี้ไปแบ่งโยนที่แดนปีศาจกับสำนักงามวิจิตร”
“มันคืออะไร?” อวิ๋นเป้าบ่นพึมพำ พอพลังอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ใบหน้าก็เหมือนโดนตะคริวกิน แล้วก็รีบตรวจดูแหวนเก็บสมบัติอีกวง ก่อนจะเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างงงๆ
ข้างในมีศพอยู่สองกอง จะว่าไปแล้วเขาก็รู้จักเหมือนกัน ต่อให้เป็นศพของนักพรตปีศาจที่กลับร่างเดิม ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็น ข้างในเป็นศพของท่านทูตแดนปีศาจและท่านทูตแดนอู๋เลี่ยงจำนวนแปดศพ ตอนกลางวันยังเจอหน้าแปดคนนี้อยู่เลย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นเป้าถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ อวิ๋นจือชิวเกือบจะกลายเป็นแม่ม่ายแล้วน่ะสิ…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากกลับที่พักแดนเซียนให้ฟังทันที รวมทั้งเหตุการณ์ที่จีเหม่ยเหมยกับชุยหย่งเจินนำท่านทูตมาฝั่งละสี่คนมาล้อมสังหารหลังจากที่เขาติดกับดัก
ตอนนี้ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางตกใจจนกัดริมฝีปากแน่น ยืนเงียบงันไม่พูดอะไร
อวิ๋นเป้าสูดหายใจอย่างตกตะลึง “นั่นก็หมายความว่า เจ้าสงสัยว่าอันหรูอวี้กับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยงร่วมมือกันฆ่าเจ้าเหรอ? แล้วเจ้ารอดมาได้ยังไง เจ้าคงไม่บอกหรอกนะว่าเจ้าฆ่าเองหมดนี่เลย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ฆ่าเอง ตอนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน จู่ๆ ก็มีบุคคลลึกลับโผล่มา แล้วฆ่าพวกเขาหมดเลย หลังจากข้าหลบกลับมาเงียบๆ ก็ไปหาประมุขถิ่นสี่ทิศก่อน ปรากฏว่าเห็นจีเต๋อไห่กำลังอยู่ที่นั่นพอดี ข้าเลยมาที่นี่เงียบๆ ใครจะคิดว่าฟู่หยวนคังก็อยู่ที่นี่อีก”
อวิ๋นเป้าหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ข้าก็ว่าอยู่ ว่าทำไมฟู่หยวนคังถึงมาเฝ้าอยู่ที่นี่ สงสัยอยากจะตัดทางหนีทีไล่ของเจ้า เออใช่ แล้วบุคคลลึกลับที่ช่วยเจ้าเป็นใคร?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อน อาแปด เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ ท่านช่วยส่งคนให้นำแหวนเก็บสมบัติสองวงนี้กลับไปโยนทิ้งก่อน ให้ศพพวกนี้ได้กลับบ้านตัวเอง”
“เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร? เจ้าอย่าวางกับดักฝ่ายข้าเชียวนะ” อวิ๋นเป้าทำสีหน้าระแวง แล้วจู่ๆ ก็ทำเสียงฮึดฮัด หลังจากตรวจดูแหวนเก็บสมบัติสองวงนั้นอีกครั้ง ก็ถามว่า “เจ้าบอกว่าชุยหย่งเจินกับจีเหม่ยเหมยก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมข้างในไม่มีศพพวกเขาสองคนล่ะ!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “จะให้พวกเขาหมดเลยได้ยังล่ะ บีบคนที่สำคัญที่สุดสองคนเอาไว้ เดี๋ยวสองฝ่ายนั้นจะต้องมาตามหาแน่นอน ถ้าหาไม่เจอขึ้นมา จะต้องไปตามหาจากคนคนเดียวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกแน่นอน”
คนคนเดียวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึก? อวิ๋นเป้าตาเป็นประกาย “ฝ่ายอันหรูอวี้เหรอ?” จากนั้นก็เริ่มลูบคางหัวเราะ “ยอดเยี่ยมมาก แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายพวกเรานะ พวกเรามีพยานที่อยู่ ฟู่หยวนคังมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด”
เหมียวอี้ตอบว่า “ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรก็มีพยานที่อยู่เหมือนกัน จีเต๋อไห่กำลังเฝ้าอยู่ที่นั่น ฝ่ายพวกเราจะไม่เป็นอะไรเลย”
“น่าสนใจ คืนนี้มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว” อวิ๋นเป้าหันตัวจะเดินไปจัดการ แต่ก็หันหน้ากลับมาอีก หันมาทั้งตัวแล้วมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า “เจ้าเป็นคนของแดนเซียน ขนาดคนฝ่ายตัวเองยังวางกับดักเลยเหรอ?”
“ถุย!” เหมียวอี้สบถเหยียดหยาม “อาแปด ฝ่ายนั้นต้องการจะทำร้ายข้า พวกเขาเห็นข้าอยู่ฝ่ายเดียวกันเสียที่ไหน ถ้าข้าเปิดโปงก็ไม่ได้ผลสักเท่าไร ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าทำ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะเตรียมแผนสำรองเช็ดล้างหลักฐานเอาไว้แล้ว มิหนำซ้ำข้าก็เป็นคนของแดนเซียน ไม่สะดวกจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ท่ามกลางฝูงชน คงไม่ดีหากแดนเซียนหาทางออกไม่ได้ ให้แดนปีศาจกับแดนอู๋เลี่ยงรับบทคนชั่วไปก็แล้วกัน”