ฉางเหลยยิ้มโดยไม่ตอบ กลับเป็นฝ่าอินที่กล่าวอย่างจริงใจว่า “อาตมาสึกแล้ว มาแก้ไขวาสนาทางโลกกับโยมเหมียว”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าเหมือนโดนฟ้าผ่าล้ม เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก รู้สึกตกตะลึงกับคำพูดแบบนี้ของฝ่าอิน!
อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย ส่วนพวกจีฮวนก็พากันมองฉางเหลยด้วยสีหน้าแปลกๆ
นางกับเหมียวอี้จะมีวาสนาทางโลกอะไรต่อกันได้ ถ่อมาใช้มุกนี้ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าฉางเหลยมาด้วยเจตนาอะไร
ทุกคนพบว่าพระอย่างฉางเหลยช่างกล้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉางเหลยพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าอินอย่างไร ถึงทำให้คนที่ไม่แปดเปื้อนทางโลกอย่างฝ่าอินถ่อมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังทำท่าเหมือนสมัครใจมากด้วย ช่างผิดกฎธรรมชาติจริงๆ
ซือถูเซี่ยวหันกลับมามองอวี้หนูเจียวที่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง เหมือนกำลังเตือนนางว่า เจ้าดูท่าทีของลูกศิษย์คนอื่นเขาสิ แล้วดูท่าทีของตัวเองสิ
“นี่กำลังล้อข้าเล่น หรือแม่งเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว? พวกเจ้าอยากจะเล่นอะไรก็เล่นกันไปเถอะ อย่าดึงข้าไปเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมายังคงตกตะลึงเล็กน้อย แหกปากด่าและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ไม่อยู่ด้วยแล้ว!
หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออำลาทุกคนแล้ว ก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปเช่นกัน เดินตามออกไปข้างนอก ทิ้งคนพวกนี้ให้ให้ตะลึงงันอยู่ในสวนดอกไม้
ทุกคนพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ เป็นเพราะฉางเหลยทำตัวสมกับชื่อของตัวเองจริงๆ ราวกับฟ้าผ่าที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่เบา
“ให้ไต้ซือเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”
เมื่อกลับมาถึงโถงหลัก เหมียวอี้ก็เชิญไต้ซือศีลเจ็ดให้นั่งลง ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับศีลแปดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไมได้ ตอนนี้เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องพิภพใหญ่กับไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน พูดเรื่องเกี่ยวกับศีลแปดที่พิภพใหญ่ใหญ่ฟัง
สิ่งที่เหมียวอี้สนใจที่สุดก็คือ ศีลแปดได้ติดต่อกับไต้ซือศีลเจ็ดบ้างหรือเปล่า เขาอยากจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของศีลแปด พี่ใหญ่คนนี้ติดต่อเจ้าเวรนั่นไม่ได้
ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าถอนหายใจ บอกว่าหลังจากศีลแปดตามเหมียวอี้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย
ปั้ง! เหมียวอี้ตบโต๊ะ ค่อนข้างเดือดดาล “เจ้าคนเลว! อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นก็คอยดูว่าข้าทำโทษเขายังไง!”
คนที่ควรเคารพเขาก็ยังเคารพ มีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้ แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับไม่มีความเคารพเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ถามไถ่ทักทายสักนิดก็ไม่มี จึงทำให้เหมียวอี้โมโหเดือดดาลมาก ในยุคนี้แนวคิดเกี่ยวกับอาจารย์ดุจดั่งบิดายังคงหยั่งรากลึกในจิตใต้สำนึกของเขา นี่ก็คือสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดที่มู่ฝานจวินใช้บีบจุดอ่อนเขาได้ เขาไม่อยากบังคับให้เยว่เหยาทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐาน แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐานอยู่บ่อยๆ
“จิตใจยังไม่มั่นคง ฝืนขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ปล่อยให้เขาไปเถอะ!” ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มเจื่อน ดึงประเด็นสนทนากลับมาที่เรื่องพิภพใหญ่ ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะเมื่อคืนวานฉางเหลยจึงเกลี้ยกล่อมฝ่าอินให้มาเป็นอนุภรรยาไม่หยุด อาตมาสงสัยใคร่รู้จึงตามมาดูด้วย”
พอพูดถึงฝ่าอิน เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉางเหลยใช้วิธีการอะไรกันแน่ ถึงบีบให้คนที่ออกบวชทำเรื่องพรรค์นี้?”
ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มบางๆ “ไม่ได้บีบบังคับ เพียงเทศนาให้ฝ่าอินฟังหนึ่งคืน เกลี้ยกล่อมให้สึกมาแต่งงานเป็นอนุภรรยาของโยม นับว่าชี้เส้นทางฝึกตนให้นางอีกเส้นทางหนึ่งก็แล้วกัน สำหรับเรื่องนี้อาตมาก็เห็นด้วยเหมือนกัน”
“ไต้ซือก็เห็นด้วยที่จะให้ฝ่าอินเป็นอนุภรรยาของข้าเหรอ?” เหมียวอี้ตกตะลึงไม่หยุด
ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออธิบายว่า “ฝ่าอินไม่ได้แปดเปื้อนในทางโลกมาตั้งแต่เด็ก การละทิ้งความพะวงเรื่องทางโลกแล้ว ถึงแม้จะทำให้การฝึกตนราบรื่น แต่หลังจากฝึกมาถึงระดับหนึ่ง ก็ย่อมประสบกับจุดที่ยาก ไม่เข้าใจความคิดของสรรพสัตว์ ไม่ได้สัมผัสรักโลภโกรธหลง การเกิดแก่เจ็บตายในโลกมนุษย์ แล้วจะสามารถบรรลุธรรมได้อย่างไร? มาเผชิญเคราะห์กรรมทางโลกสักครั้ง สัมผัสความรู้สึกทางกายเนื้อด้วยตัวเองสักรอบ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของฝ่าอิน อาตมาย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ผู้ที่เกลี้ยกล่อมให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกคืออาตมา ส่วนฉางเหลยเพียงบอกให้ฝ่าอินแต่งงานมาเป็นอนุภรรรยาของโยมเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาของอาตมา นั่นคือเจตนาของฉางเหลยคนเดียว ถึงอย่างไรฝ่าอินก็เป็นลูกศิษย์ของฉางเหลย อาตมาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก บางทีอาตมาอาจจะยึดมั่นถือมั่นกับรูปลักษณ์เข้าแล้ว จะเป็นอนุภรรยาหรือไม่ก็ล้วนเข้าสู่ทางโลกเพื่อปฏิบัติธรรมทั้งนั้น สิ่งที่เรียกว่ารูปโฉมคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูปโฉม บางทีอาตมาอาจจะมองไม่ทะลุเท่าฉางเหลยก็เป็นได้!”
เหมียวอี้กล่าวอย่างอึ้งๆ “สงสัยการปลุกปลั่นให้นักบวชหญิงแต่งงานจะเป็นผลงานของไต้ซือด้วย แต่เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด”
ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมกล่าวว่า “จะตกลงหรือไม่ก็ย่อมเป็นโยมที่ตัดสินใจเอง แต่ฉางเหลยให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ฝ่าอินแน่วแน่ที่จะเข้าสู่ทางโลกแล้ว ต่อให้ไม่แต่งงานกับโยม ฝ่าอินก็ยังต้องแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี ไม่ว่าโยมจะตอบตกลงหรือไม่ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฝ่าอินเลย เพียงแต่อาจจะไม่สอดคล้องกับเจตนาของฉางเหลยเท่านั้นเอง”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง ถ้าตนไม่แต่งงานด้วย ฝ่าอินก็จะแต่งงานกับคนอื่นเหรอ?
ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ผู้หญิงที่งดงามขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้ไปแต่งงานกับคนอื่น ไม่สู้ตัวเองแต่งงานรับไว้เองก็สิ้นเรื่องแล้ว
แน่นอน ความคิดแบบนี้แค่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น จากนั้นก็ปาดเหงื่ออย่างอับอายทันที พบว่าความคิดของตัวเองสกปรกโสมมเกินไปแล้ว
หลังจากสั่งให้คนจัดหาที่พักให้ไต้ซือศีลเจ็ด อวิ๋นจือชิวก็กลับมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่สายตาเยาะเย้ยแบบนั้นทำให้เหมียวอี้ประหม่าไปทั้งตัว
“เจ้าไล่คนพวกนั้นไปรึยัง?” เหมียวอี้ถาม
“หึหึ!” อวิ๋นจือชิวกลับหัวเราะเสียงต่ำไม่หยุด หัวเราะจนพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ ทั้งผีทั้งมารทั้งปีศาจไม่ขาดเลยสักคน ขนาดผู้หญิงที่ออกบวชก็ยังตามมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า”
เหมียวอี้กลอกตามองบน “ข้าแต่งงานเพิ่มมาหลายห้อง เจ้าดีใจมากเหรอ? พวกเขามีเจตนาอื่น ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย”
อวิ๋นจือชิวโบกมือ หลังจากตบหน้าอกระงับสติอารมณ์แล้ว ก็กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “หนิวเอ้อร์ ที่จริงเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถพิจารณาดูได้นะ”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “หรือว่าเจ้าคิดจะให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงพวกนั้นจริงๆ?”
อวิ๋นจือชิวเดินมานั่งลงข้างกายเขา “เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเจรจาเงื่อนไขกับข้า และพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วด้วย ต้องการจะเกี่ยวดองกับเจ้า!”
“ให้เกี่ยวดองกับพวกเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างดูถูก “ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ประเพณีทั่วไปของพิภพใหญ่ คาดว่าเจ้าก็คงได้ยินมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ผู้มีอำนาจพวกนั้นให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองแต่งงานเกี่ยวดองกันเป็นเรื่องปกติมาก มีคนมากมายไม่เสียดายที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับศัตรู ใช่แล้ว สำหรับเจ้านั้นไม่จำเป็น แต่สำหรับพวกจีฮวน นั่นกลับเป้นสิง่ที่จำเป็นมาก สำหรับพวกเขา พิภพใหญ่แทบจะเป็นโลกที่พวกเขาไม่รู้จัก ด้วยศักยภาพของพวกเขา เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็นับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก แต่เจ้ากลับได้ลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่แล้ว ที่พวกเขาอยากเกี่ยวดองกับเจ้า ที่จริงเป็นเพราะชอบในอำนาจอิทธิพลของเจ้า อยากจะผูกมัดกับเจ้า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหวังจะได้รับการสนับสนุนจากเจ้า เพียงแต่การพูดปากเปล่าเพื่อจะโน้มน้าวให้เจ้าผูกมัดด้านผลประโยชน์ ก็ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็หาอะไรมาโน้มน้าวเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ ทำได้เพียงสละลูกสาวหรือไม่ก็ลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า และแน่นอน เจ้าอาจจะไม่ได้โปรดปรานพวกนาง แต่สำหรับพวกเขา นี่นับเป็นการแสดงความจริงใจต่อเจ้าแล้ว หกปราชญ์ที่สง่าผ่าเผยก็มีความหยิ่งผยองของตัวเองเหมือนกัน การทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ได้เรื่องที่มีเกียรติยศอะไร เป็นการทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว พูดให้ดูประนีประนอมสักหน่อยแล้วกัน เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว ต่อให้เจ้าจะไม่ยอมสนับสนุนพวกเขา แต่แค่ไม่หลอกลวงกลั่นแกล้งกัน แค่นั้นก็คุ้มค่าสำหรับการเสียสละของพวกเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้วเผชิญกับอำนาจของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีกำลังใดๆ จะตอบโต้เลย ความเป็นความตายคือสิ่งที่อยู่ในการตัดสินใจของเจ้า พวกเขาทำแบบนี้นับว่าก้มหัวให้เจ้าอย่างแท้จริงแล้ว!”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วถามว่า “พวกเขาให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้า เจ้ากำลังพูดขอร้องให้พวกเขาเหรอ?”
“ข้าไม่ได้กำลังพูดขอร้องให้พวกเขา แต่พวกเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าพิจารณาดูหน่อยก็ได้” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าตอบ
“เสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เหมียวอี้ถามอย่างสนใจ
“พวกเขาจะยอมรับว่าเจ้าได้แทนที่เฟิงเป่ยเฉินแล้ว ยอมรับให้เจ้าเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ หวังว่าหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์แบบหกปราชญ์ ไม่ใช่เป็นลูกน้องของเจ้า” อวิ๋นจือชิวตอบ
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ข้าจำเป็นต้องให้พวกเขายอมรับด้วยเหรอ? เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเขามีคุณสมบัติอะไรมาอยู่ร่วมกับข้า? แบบนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “เจ้าเองก็อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก ไว้หน้าพวกเขาสักหน่อยเถอะ อย่าบอกนะว่าดึงดันจะให้พวกเขาก้มหัวฟังคำสั่งเจ้าให้ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็จะไม่มีลูกน้องคนไหนเชื่อฟังคำสั่งพวกเขาแล้ว อีกไม่นานก็จะบากหน้ามาขอทำงานอยู่ข้างกายเจ้าหมด ถ้าพวกเขาไม่เหลือใครแล้ว อาศัยศักยภาพของพวกเขาก็ยิ่งยากที่จะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ สาเหตุที่ยอมยกลูกสาวกับลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า ก็ย่อมเป็นเพราะอยากจะพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตัวเอง”
“ข้าได้ยินแต่ผลประโยชน์ของพวกเขา สิ่งแลกเปลี่ยนที่ข้าต้องการอยู่ที่ไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “พวกเขามองออกแล้วว่าเจ้าจะอยากจะใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้าย และพวกเขาก็คิดเหมือนกันกับเจ้า ดังนั้นถ้าหวังจะรักษาสถานการณ์พื้นฐานของพิภพเล็กต่อไป รักษาสถานการณ์การอยู่ร่วมกันของหกปราชญ์ต่อไป ทุกคนไม่รุกล้ำกัน เพียงแต่พวกเขาตอบตกลงแล้วว่าจะให้เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องที่พิภพเล็ก เพียงแต่เจตนาของพวกเขาก็คือ หวังจะให้เหลือเกียรติขั้นพื้นฐานไว้ให้พวกเขาบ้าง พวกเขาเองก็อยากจะรักษารากฐานที่พิภพเล็กและให้ลูกน้องคนสนิทที่ฝึกเลี้ยงไปเติบโตที่พิภพใหญ่ในตอนหลังเหมือนกัน ดังนั้นหากเกิดเรื่องอะไรก็บอกพวกเขาก่อนสักหน่อย ไม่ต้องการให้เจ้าประกาสคำสั่งต่อหกแดนอย่างโจ่งแจ้งให้พวกเขาลำบากใจ ในขณะเดียวกัน พวกเขาเต็มใจที่จะละทิ้งช่องทางไปกลับพิภพเล็ก จะให้เจ้าควบคุมต่อไป เพียงแต่จะตัดช่องทางขนส่งระหว่างพวกเขากับพิภพเล็กไม่ได้ หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็นก็สามารถทำงานให้เจ้าได้เหมือนกัน แต่เป็นการแอบทำงานให้อย่างลับๆ พวกเขาจะไม่เป็นลูกน้องของเจ้า ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ความเป็นความตายของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าให้พวกเขาไปทำเรื่องที่อันตรายถึงที่ชีวิต พวกเขาก็จะไม่เชื่อฟังเจ้า เงื่อนไขที่แลกเปลี่ยนกันก็คือ ถ้าพวกเขาประสบปัญหาอะไรที่พิภพใหญ่ และอยู่ในขอบเขตความสามารถของเจ้า ก็หวังว่าเจ้าจะยื่นมือเข้าไปช่วย นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้รับเมื่อก้มหัวมาเกี่ยวดองกับเจ้าแล้ว!”
เหมียวอี้เริ่มลูบคางครุ่นคิด ตอนแรกที่เตรียมจะพาคนพวกนี้ไปที่พิภพใหญ่ แค่คิดว่าอยากจะควบคุมพิภพเล็กให้ถึงที่สุด แก้ปัญหาความยุ่งยากที่พิภพเล็ก พร้อมทั้งได้รับเคล็ดวิชาในมือหกปราชญ์ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหกปราชญ์จะเป็นฝ่ายเสนอผลประโยชน์อย่างอื่นออกมาเอง
เขาตอบว่า “ถ้าข้าได้เคล็ดวิชาฝึกตนมาจากมือพวกเขาแล้ว ภายในระยะเวลาหนึ่งก็ย่อมสามารถเลี้ยงดูคนแบบหกปราชญ์อีกชุดหนึ่งเพื่อมาทำงานให้ จำเป็นต้องไปยุ่งยากกับพวกเขาแบบนี้ด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาทรัพยากรมาเลี้ยงคนตลอดไปก็ได้มั้ง? การที่เจ้าเอะอะก็ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายคนเดียวไม่ใช่แผนการที่ยั่งยืนถาวรหรอก ถ้ารอให้ทุกคนวรยุทธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้าจะทำงานคนเดียวไหวเหรอ? ทรัพยากรที่เจ้าหามาได้ด้วยตัวคนเดียวจะพอเลี้ยงปากท้องของทุกคนตลอดไปได้เหรอ? หลักการหาปลามาให้กินไม่สู้สอนวิธีจับปลาให้ เจ้าคงจะเคยได้ยินมาก่อนนะ? เจ้าดูหกปราชญ์ของพิภพเล็กกับราชันสวรรค์ของพิภพใหญ่สิ ล้วนเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งนั้น ต้องเป็นคนที่ควบคุมกฎกติกาจึงจะสามารถเติมเต็มผลประโยชน์ของทุกคนได้ ถึงจะผูกมัดผลประโยชน์ของทุกคนได้ จึงจะทำให้เจ้าได้ผลประโยชน์ที่เยอะและกว้างกว่าเดิมได้ ไม่ใช่ให้แต่เจ้าคอยควักกระเป๋าตัวเองเพื่อเอาผลประโยชน์ไปผูกมัดคนอื่น ไม่มีใครกระเป๋าลึกขนาดนั้นหรอก แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้เจ้าเลี้ยงคนอีกกลุ่มที่มีศักยภาพเท่าหกปราชญ์ได้ แต่เจ้าลองพูดมาจากใจซิ ว่ามีลูกน้องของเจ้าคนไหนบ้างที่มีฝีมือเทียบหกปราชญ์ได้? ข้างกายเจ้ามีลูกน้องคนสนิทเหลือเฟือเหรอ ความสามารถไม่ถึงคือเรื่องจริงที่ไม่ต้องเถียงแล้ว รอบนอกของเจ้าก็ควรจะมีคนที่ทำงานให้เจ้าเหมือนกัน”
เรื่องที่พูดวกไปวนมาแบบนี้ เหมียวอี้ค่อนข้างปวดหัว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด จึงขมวดคิ้วบอกว่า “คนพวกนี้มีจิตใจทะเยอทะยาน กลัวว่าจะควบคุมลำบาก”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่ก็ทะเยอะทะยานทั้งนั้น ถ้าเจ้ากังวลเรื่องนี้ งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเอาอำนาจมาแลกถึงมือเจ้าเจ้าเป็นคนกุมโอกาสสำคัญแล้ว ยังมีอะไรต้องกลัวอีก? หรือว่าผู้ชายของอวิ๋นจือชิวจะไม่มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยสักนิด แม้แต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญก็ไม่มีสักนิดเลยเหรอ?”
หลังจากเงียบไปนาน เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ได้! เจ้าไปบอกพวกเขา ข้าตอบตกลง ส่วนเรื่องแต่งงานรับอนุภรรยาอะไรนั่นก็ไม่ต้องแล้วกัน”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเช่นกัน “ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาจะวางใจได้เหรอ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกเขาให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาเสียที่ไหนกัน พวกเขาอยากแทรกคนเข้ามาเป็นหูเป็นตาอยู่ข้างกายเจ้าต่างหาก หรือพูดได้อีกอย่างว่า แทรกคนมาไว้ข้างกายเจ้าเพื่อให้คอยประสานงานกับเจ้าได้ยามเกิดเรื่องขึ้น ถ้าสามารถทำให้เจ้าหลงใหลเพื่อให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาก็จะไม่วางใจ แต่งก็แล้วกัน! แต่งๆ ไปเถอะ!”
…………………………