อีกมุมหนึ่งของงานพิธีที่มีเสียงดนตรีดังสนั่น ที่จวนผู้การใหญ่ที่ตั้งขึ้นใหม่นอกตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินเวยเวยออกจากตำหนักอู๋เลี่ยงมาหลบอยู่ที่นี่ นั่งหดหู่อยู่คนเดียวในศาลา นางไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ฉินซีเองก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วมองอยู่ไกลๆ บางครั้งก็หันไปมองยังทิศทางที่เสียงดนตรีดังครึกครื้นดังแว่วมา
หลังจากหยางชิ่งกลับมาพร้อมกลิ่นสุรา เห็นฉินซีก่อนเป็นคนแรก จึงถามว่า “มายืนทำอะไรตรงนี้?”
เขาก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ยอมรับแล้ว เขาก็จะจัดการเรื่องนั้นให้ดี ถึงแม้ตอนแรกจะไม่เต็มใจอยู่กับฉินซี แต่ตอนนี้จัดการให้ฉินซีโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว เขาไม่ได้ต้องการแค่ตัวของนาง ยังต้องการหัวใจของนางด้วย ถึงอย่างไรความงามเลิศล้ำของฉินซีก็ยังเป็นจุดที่ควรค่าแก่การชื่นชม
และฉินซีก็ไม่ทำตัวเหมือนตอนที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินเช่นกัน บนตัวนางเริ่มจะมีรสชาติขึ้นมาบ้างแล้ว
กุญแจที่สำคัญที่สุดก็คือ ระหว่างทั้งสองคนยังมีฉินเวยเวยอยู่อีกคนหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งจะทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างแท้จริง รับบทบาทภรรยาและมารดา
ฉินซีดึงแขนเขาเล็กน้อย แล้วบุ้ยปากไปทางศาลา
หยางชิ่งเอียงหน้ามองไปทางนั้น เห็นฉินเวยเวยนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในศาลา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ
“ท่านพ่อ! ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” พอได้ยินเสียงฝีเท้า ฉินเวยเวยก็รู้ว่าเขามาแล้ว นางพึมพำเสียงต่ำโดยไม่เงยหน้ามอง
หยางชิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งลงข้างๆ นาง จากนั้นฉินซีก็เดินตามมา ถือกาน้ำชามารินให้เขา
หลังจากรับถ้วยน้ำชามาจิบจนชุ่มคอ หยางชิ่งก็ถามปนเหน็บแนมว่า “ตอนนี้รู้จักไม่เบิกบานใจแล้วเหรอ? ตอนนั้นที่เจ้าต้องการจะแต่งงานกับเขา ข้าไม่ตอบตกลง แต่เจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ยอม จะแต่งงานกับเขาให้ได้ ตัวเองเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ตอนนี้มานึกเสียใจทีหลังจะมีประโยชน์อะไร เรื่องแบบนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว”
ฉินเวยเวยตอบเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง แต่ข้างกายเขามีอนุภรรยาเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าในภายหลังข้าจะเป็นอะไรในสายตาเขา?”
หยางชิ่งอธิบายว่า “การแต่งงานในครั้งนี้ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจ เป็นความสอดคล้องกันของผลประโยชน์ ต่อให้เขาจะไม่อยากแต่ง แต่ก็จะมีคนปลุกใจให้เขาแต่งอยู่ดี ถ้าคนเราต้องการจะเดินไปในทิศทางที่เป็นใหญ่ จะมีผู้หญิงมากเท่าไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย ในภายหลังผู้หญิงของเขาอาจจะมีมากกว่านี้ด้วย เจ้าไม่พอใจไปก็ไร้ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ในปีนั้นข้าให้เจ้าแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองสามารถยึดฉวยไว้ได้ แต่เจ้าเองก็ไม่ยอม ส่วนในภายหลังเจ้าจะกลายเป็นอะไรในสายตาเขา จะมีฐานะเป็นอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความพยายามของเจ้า คนเราเมื่อขึ้นมาอยู่ในฐานะบางฐานะแล้ว หญิงงามเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ เจ้าต้องมีศักยภาพถึงจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง! สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปแย่งความโปรดปรานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ต้องสนใจว่าท่านปราชญ์จะรักเจ้ามากเท่าไร หรือจะแบ่งใจมาไว้ที่ตัวเจ้ากี่ส่วน ละทิ้งความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแบบนั้นไปเสีย พยายามยืนอยู่ข้างฮูหยินเข้าไว้ สร้างจุดยืนที่มั่นคงของตัวเองในตำหนักหลังให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะอยากช่วงชิงอะไร ก่อนอื่นจะต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อน นี่ก็คือเงื่อนไข!”
ฉินเวยเวยสีหน้าเศร้าสลด นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ชายหญิงอันงดงามที่นางเคยใฝ่ฝันไว้ในปีนั้น
“เฮ้อ!” ฉินซีถอนหายใจ นางเองก็เคยผ่านความคิดของเด็กสาวมาก่อน สามารถเข้าใจความคิดฉินเวยเวยได้ จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เวยเวย พ่อของเจ้าพูดไว้ไม่ผิด จำไว้ให้ดี ไม่มีผลเสียต่อเจ้า…”
งานเลี้ยงยังไม่เลิก มีบางคนชอบดื่มสุรา เล่นทำสัญลักษณ์มือกันในวงสุราคึกคักมาก
ในเขตลานบ้านหนึ่ง มีห้องหอสี่ห้อง สี่ปราชญ์ใช้อีกวิธีการเพื่อชดเชยให้ลูกสาวและลูกศิษย์ของตัวเอง ทุกคนล้วนใช้ความคิดไปมากเพื่อตกแต่ง เรียกได้ว่าหรูหรามากจริงๆ
ในห้องหอ เหมียวอี้ยกมือป้องของที่ยื่นเข้ามา ขี้คร้านจะทำอะไรยุ่งยาก ยื่นมือดึงผ้าแดงบนศีรษะหงเฉินทิ้งเสียเลย
หงเฉินที่สวมมงกุฎทองเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างค่อนข้างจนใจ แล้วลุกขึ้นยืน
ทั้งสองหยิบจอกสุรามาแล้ว เหมียวอี้เริ่มจ้องสำรวจนาง หน้าผากกว้างคิ้วโก่ง ผิวเนื้อเกลี้ยงเกลา ดวงตางามสดใสวูบไหว จมูกโด่งปากแดง ถึงแม้วันนี้จะมีกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมหลายส่วน แต่กลับยากที่จะปิดบังความงามเลิศล้ำในแผ่นดินของนางได้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพผู้หญิงที่ได้เจอครั้งแรกในปีนั้น
ที่เหมียวอี้คิดว่ายุ่งยากก็ส่วนยุ่งยาก แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร สามารถรับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาเป็นอนุภรรยาได้ ในใจเขาก็ภูมิใจอยู่หลายส่วนเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าเขาจ้องตนไม่หยุดเสียที หงเฉินจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น รีบทำให้เสร็จพิธีเถอะ ยังมีอีกสามคนรออยู่”
เหมียวอี้หัวเราะนิดหน่อย แล้วคล้องแขนดื่มสุรากับนางตามพิธี
เมื่อวางจอกสุราลงแล้ว หงเฉินก็ย่อเข่าคำนับ “ท่านสามี!”
เสียงนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหว ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะเรียกตนแบบนี้ได้
“ฮูหยิน!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ มีเพียงคืนนี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายจะมีสิทธิ์ใช้คำว่า ‘ฮูหยิน’ ถ้าผ่านคืนนี้ไปก็จะเป็น ‘หรูฮูหยิน’
หลังจากประคองหงเฉินกลับมานั่งที่เตียง เหมียวอี้ก็หันกลับมามองสาวใช้สองคนที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วย แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเป็นพวกเจ้าสองคนที่แต่งงานมาพร้อมกัน พวกเจ้าเป็นหญิงรับใช้ข้างกายมู่ฝานจวินไม่ใช่เหรอ? มู่ฝานจวินเล่นบ้าอะไร?”
จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะถามเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร กลับเป็นหงเฉินที่ช่วยตอบให้ “ข้าเลือกมาเอง”
“อ้อเหรอ!” เหมียวอี้เลิกคิ้ว เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
เขาเดินมาข้างกายสาวใช้ทั้งสองคน ยื่นมือช้อนคางจื่ออวิ๋น พร้อมถามว่า “ข้ามีสิทธิ์พาสาวใช้ร่วมห้องเข้าห้องหอ พวกเจ้าต้องเตรียมใจไว้ดีๆ นะ”
สองสาวฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาไม่ฟังดูเป็นมิตรเลย จึงรีบตอบว่า “ตั้งแต่วันนี้ไปบ่าวเป็นคนของท่านเขย”
เหมียวอี้ปล่อยมือ แล้วหันกลับมาบอกหงเฉิน “ยังมีอีกสามห้องที่ต้องไป ลำบากเจ้าแล้ว”
หงเฉินพยักหน้า
จื่ออวิ๋นกลับรีบบอกว่า “ท่านเขยกับฮูหยินคนใหม่เป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว อีกสามห้องเทียบความสัมพันธ์นี้ไม่ติด อย่าลืมกลับมาค้างที่นี่นะเจ้าคะ อย่าเย็นชากับเจ้าสาว”
นางมาพร้อมกับภารกิจ คำบางคนหงเฉินไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา แต่นางกลับต้องพูด กำลังเตือนเหมียวอี้ว่า หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วต้องมาเข้าห้องหอทางนี้
เหมียวอี้ยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ หันกลับมาถามหงเฉินว่า “เจ้าเองก็อยากให้ข้าเข้าห้องหอกับเจ้าคืนนี้เหรอ? ถ้าเจ้าอยากจริงๆ ข้าก็จะกลับมาจริงๆ”
หงเฉินถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตามใจเจ้าเถอะ”
จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแล้วขมวดคิ้ว คำพูดของหงเฉินทำให้ทั้งสองไม่ค่อยพอใจ
เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินก้าวยาวจากไป ไปยังห้องต่อไป เป็นห้องหอของจีเหม่ยลี่
เปิดผ้าแดงคลุมศีรษะ คล้องแขนดื่มสุรา ทำพิธีของสามีภรรยาเสร็จแล้ว จีเหม่ยลี่ก็บอกอย่างตรงไปตรงมามาก “คืนนี้ท่านสามีอย่าลืมมาอยู่กับข้านะคะ!”
ผู้หญิงคนนี้พยายามขอให้เหมียวอี้มาเข้าห้องหอตรงๆ เลย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่นางเต็มใจ แต่ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาแต่งงานแล้ว ร่างกายผูกติดกับผลประโยชน์ของครอบครัว นางจึงไม่สะดวกจะอิดออดอะไร ต้องทำมูลค่าของตัวเองให้บรรลุผลเพื่อตระกูล ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นการเสียสละโดยเปล่าประโยชน์
เหมียวอี้ไม่ได้ตอบตกลงแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ไปยังห้องถัดไป เป็นห้องของอวี้หนูเจียว
พอเขาออกประตูมา จีเหม่ยลี่ก็พูดกับหญิงรับใช้สองคนทันทีว่า “ออกไปจับตาดูเขาเอาไว้ ถ้าอยู่ที่ห้องอื่นนานไม่ยอมออกมา ก็ไปเคาะประตูให้ข้าด้วย”
หญิงรับใช้ทั้งสองเข้าใจและไปปฏิบัติตาม
ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง เมื่ออวี้หนูเจียวอยู่ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างประหม่าเมื่อเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ โดยเฉพาะตอนที่คำนับ นางเรียกว่า “ท่านสามี” อย่างติดอ่าง เหมือนจะกลัวเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะเกิดตามมา
ในปีนั้นผู้หญิงคนนี้เอาแต่เรียกตนว่าไอ้เหมียวจัญไร ทั้งยังคิดจะฆ่าเขาด้วย เย่อหยิ่งอวดดีมาก! เหมียวอี้หัวเราะเยาะในใจ พูดหยอกว่า “อะไรนะ? ข้าฟังไม่ชัด เจ้าเรียกว่าอะไรนะ?”
อวี้หนูเจียวอยากจะเตะเขาให้ตาย นางกัดฟันและพยายามกล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า “ท่านสามี!”
“อะไรนะ?” เหมียวอี้ยังก่อกวนไม่เลิก “เสียงเบาไป คงไม่ได้เรียกว่าไอ้เหมียวจัญไรหรอกใช่มั้ย?”
อวี้หนูเจียวโมโหแล้ว ตะโกนเสียงดังเหมือนคอจะแตกว่า “ท่านสามี!”
พอตะโกนเสร็จนางก็มองหญิงรับใช้ทางซ้ายและขวาที่กำลังเหม่องง แล้วก็มองเหมียวอี้ที่กำลังตกใจเสียงตะโกนของนาง นางเองก็เหม่องงนิดหน่อยเหมือนกัน คาดว่าคนข้างนอกคงได้ยินเสียงตะโกนนี้กันหมดแล้ว ถ้าข่าวแพร่ออกไปตนจะทนความรู้สึกได้อย่างไร
อวี้หนูเจียวที่กำลังอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จู่ๆ ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังกลั้นขำ จึงกระชากคอเสื้อเหมียวอี้ แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้าล้อข้าเหรอ!”
“เจ้าแข็งข้อแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าให้เจ้ายืน เจ้าก็นั่งไม่ได้ ยังจะกล้าลงมือกับข้าอีกเหรอ?” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว ชี้ที่มือนาง พร้อมถามว่า “เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?”
นี่เป็นจังหวะตอนเตรียมจะลงมือต่อยตีกันชัดๆ ! หญิงรับใช้สองคนที่อยู่ข้างๆ กลัวแล้วรีบมาจับทั้งสองแยก ถ้าตีกันให้ห้องหอขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ
พอแยกออกจากกัน เหมียวอี้ก็ทำเรื่องประเภทตบเมียที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ไม่ลง เพียงแต่ชี้นางพร้อมเตือนว่า “อวี้หนูเจียว เจ้าฟังให้ดีนะ ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นคนของข้า เจ้าจะปากแข็งตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งไปได้นานแค่ไหน ถ้าเก่งนักทั้งชาตินี้ก็อย่าก้มหัวยอมแพ้แล้วกัน!”
พูดจบก็หัวเราะเยาะ หันหน้าจเดินจากไป สะบักแขนเสื้อเดินออกจากประตูไป
“ไอ้จัญไรอย่าหนีนะ! เจ้าคิดว่าข้าอยากแต่งรึไงล่ะ…” อวี้หนูเจียวดิ้นรนขณะกำลังโมโห อยากจะประลองฝีมือกับเหมียวอี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“ฮูหยิน พูดแบบนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้สองคนตกใจแทบแย่ ตอนนี้คุกเข่าลงแล้ว กอดขานางไว้คนละข้างพร้อมพูดขอร้อง “ฮูหยิน ท่านผ่านเข้าประตูมาแล้ว เป็นคนของตระกูลเหมียวแล้ว ถ้าท่านทำแบบนี้ต่อไปจะไม่เป็นผลดีกับท่าน…”
ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง พอเปิดผ้าคลุมสีแดงออก ฝ่าอินที่สวมชุดเจ้าสาวก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ เหมียวอี้หัวใจเต้นแรงแล้ว
แต่ฝ่าอินก็ประหลาดมากเช่นกัน หลังจากทำพิธีระหว่างสามีภรรยาเสร็จแล้ว ฝ่าอินก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “ท่านสามีแต่งงานรวดเดียวสี่คน เวลาเข้าห้องหอทำอย่างไร?”
เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าทำอย่างไรล่ะ?”
ฝ่าอินบอกว่า “ข้าอยากสัมผัสความรักระหว่างสามีภรรยา ในคืนเข้าห้องหอย่อมไม่อยากพลาดไป แต่ถ้ารั้งท่านไว้ก็เหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเจ้าสาวอีกสามคน จึงอยากจะฟังว่าท่านวางแผนไว้อย่างไร คืนนี้ท่านจะสลับกันมา หรือจะไปอยู่กับห้องเดียว? ถ้าเป็นอย่างหลัง คืนนี้ท่านก็อยู่กับข้าได้ ข้าเฝ้าคอยมาก และจะตั้งใจปรนนิบัติท่านสามีด้วย ก่อนหน้านี้ข้าหาคนมาช่วยสอนแล้ว เตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ คงไม่ทำให้ท่านสามีผิดหวัง!”
เมื่อคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของนาง นางก็ทำท่าเอาจริงเอาจังมาก ไม่มีความเขินอายหรือการเสแสร้งใดๆ
เหมียวอี้ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ตกใจถึงขีดสุด นึกไม่ถึงว่าคนที่ไม่เคยแปดเปื้อนเรื่องทางโลกจะพูดแบบนี้ออกมาได้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไรดี
แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ไม่ได้ไปห้องไหนทั้งนั้น แต่ออกมาจากลานบ้านเล็ก ไปที่ตำหนักนอนของภรรยาเอก เป็นตำหนักนอนของเขากับอวิ๋นจือชิว หรือที่เรียกว่าตำหนักหลัก
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ อวิ๋นจือชิวมาหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิคนเดียว
ตอนที่ประตูหินของห้องสมาธิเปิดออกเสียงดังครืน อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยกก็ลืมตามอง เห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีเดินเข้ามาแล้ว นางอึ้งนิดหน่อย หยุดฝึกตนแล้วหย่อนขาสองข้างลงจากเตียง ถามอย่างแปลกใจว่า “คืนเข้าห้องหอ เจ้าดันไม่ไปอยู่กับเจ้าสาว มาทำอะไรที่นี่? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“วันมงคลแบบนี้ จะเฉยเมยกับฮูหยินได้อย่างไร” เหมียวอี้เดินเข้ามา แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางเดินก้าวยาวออกไปข้างนอก
“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นจือชิวตกใจ ขัดขืนพร้อมบอกว่า “เจ้าไม่ไปห้องหอ แต่ถ่อมาหาข้าที่นี่ เดี๋ยวต่อไปคนจะนินทาข้าอย่างไร?”
เหมียวอี้กอดแน่นไม่ยอมปล่อย พอกลับถึงห้องนอน ก็กดอวิ๋นจือชิวลงบนเตียงทันที จูบอย่างดุเดือด! สองมือก็ยิ่งขยับอย่างเร่าร้อนอยู่บนตัวนาง
ตอนแรกอวิ๋นจือชิวก็ยังขัดขืนนิดหน่อย แต่ตอนหลังเสื้อผ้าถูกฉีกขาด หลังจากถูกกดลงบนเตียงนุ่ม ก็ยอมแล้ว…
หลังจากพายุฝนสงบ อวิ๋นจือชิวที่ได้เสพสุขจนพึงพอใจไปยกหนึ่งก็ยังทุบหน้าอกเหมียวอี้ “เจ้านี่ไม่ไหวเลย เดี๋ยวต่อไปข้าอาจจะโดนอนุภรรยาพวกนั้นของเจ้าลอบกัดอย่างไรบ้างก็ไม่รู้!”
“พวกนางน่ะเหรอ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ประหลาดขนาดไหน…” เหมียวอี้ที่กำลังกอดนางเล่าเหตุการณ์ตอนทำพิธีกับอนุภรรยาสี่คนเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง
ทำให้อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่หยุด โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเหมียวอี้แทบจะตีกับอวี้หนูเจียว เรื่องนั้นทำให้นางหัวเราะจนไหล่สั่นจริงๆ หัวเราะจนท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา นางทุบหน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุดพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ แต่ละคนต่างมีดอกลักษณ์เฉพาะตัว ยินดีด้วย!”
“ยังจะหัวเราะอีก!” เหมียวอี้ตีก้นที่ขาวงอนอวบอัดของนางหลายฉาดอย่างแรง หลังจากตีจนนางร้องวิงวอน ถึงได้ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดแล้วนอนมองเพดานเงียบๆ ใช้มือลูบไล้เรือนร่างของนางนานมาก พร้อมพึมพำอย่างเคลิบเคลิ้ม “สุราแหละหญิงงามเป็นเรื่องธรรมดา เกรงว่าจะหมกมุ่นไม่พัฒนาตัวเอง จะเสียเวลาไม่ก้าวหน้า หากความงดงามคงอยู่ชั่วนิรันดร์ คงได้แต่เพียงรอคอยวันเวลาที่จะทำลายนางผู้นั้นกระมัง เหตุใดจึงกล่าวว่าเอื้อมไม่ถึง…”
อวิ๋นจือชิวที่ผมยาวยุ่งสยายเงยหน้าเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาวูบไหว “หนิวเอ้อร์ คำพูดพวกนี้ ไม่เหมือนสิ่งที่เจ้าจะพูดออกมาได้เลยนะ”
“ในปีนั้นข้ายังเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในโลกมนุษย์ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด ครั้งแรกที่ได้เจอหงเฉินข้าตกตะลึงมาก…” หลังจากเหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ตอนที่เจอหงเฉินครั้งแรกให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ตอนหลังเมื่อได้พบเหล่าไป๋อีก ก็มาอยู่ใต้ต้นหลิวตรงเมืองโบราณอีก ข้าพูดถึงหงเฉิน รู้สึกว่าหงเฉินอยู่ไกลเกินเอื้อม จากนั้นเหล่าไป๋ก็บอกข้าแบบนั้น ตอนนี้พอมาลองคิดดู ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หงเฉินเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว อยู่ไกลเกินเอื้อมเสียที่ไหนกัน?”
อวิ๋นจือชิวพลิกตัว นอนตะแคงข้างแล้วเอามือหนุนศีรษะ ใช้ต้นขากดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ปล่อยให้มือเหมียวอี้บีบคลำอยู่บนหน้าอกตัวเอง พร้อมถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าพูดบ่อยๆ ว่าเหล่าไป๋หน้าตาดีอย่างนั้นหน้าตาดีอย่างนี้ ดูเป็นคนสบายอกสบายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกจะมีมนุษย์ธรรมดาที่มีโลกทรรศน์ไม่ธรรมดาขนาดนี้ ทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่โดดเด่นไม่เหมือนใครขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าเขาเป็นนักพรตหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นักพรตไม่มีทางเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้…” แต่ในหัวก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราจะทำให้เข้าไปตอนแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิดได้หรือเปล่า? ถ้าสามารถเข้าไปได้จริงๆ ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าเหล่าไป๋จะเป็นนักพรต
“แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นนักพรตที่มีหน้าตาแบบที่เจ้าบอกจริงๆ เอกลักษณ์แบบนั้นนั้นก็ชัดเจนเกินไปแล้ว มิหนำซ้ำวิชาที่สอนเจ้าก็ไม่ธรรมดา ข้าอยู่ที่แดนฝึกตนมาหลายปี ถ้าในแดนฝึกตนมีคนแบบนี้อยู่ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นไม่เคยได้ยินชื่อนะ” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อยจริงๆ อยากจะดูว่าผู้ชายสักคนจะสุดยอดไร้ที่เปรียบขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ห้ามคิดถึงผู้ชายคนอื่น คิดถึงแค่ข้าได้คนเดียว เจ้าคือเนื้อของเหมียวอี้ที่คนอื่นจะแตะต้องไม่ได้” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองหน้านางให้มองตัวเอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องจำไว้นะ ต่อให้ข้าจะแต่งงานมีเมียเยอะกว่านี้ แต่เจ้าก็คือคนที่ข้ารักที่สุดตลอดไป! อวิ๋นจือชิว ข้ารักเจ้า!”
…………………………