เขายังนึกว่าปี้เยว่ฮูหยินแค่พูดเล่น นึกไม่ถึงว่าจะไปด้วยกันจริงๆ
พอกลับมาถึงจวนขุนนาง เขาก็ไปที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน ไปหาอวิ๋นจือชิวที่นอนอยู่บนเตียงเตี้ยในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เล่าสถานการณ์ให้อวิ๋นจือชิวรู้
อวิ๋นจือชิวหัวเราะทันที เรียกได้ว่าตอบกลับมาด้วยคำพูดแปลกๆ “นี่! พวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ ชายหญิงออกไปเที่ยวกันลำพังสองต่อสอง คิดอยากจะทำอะไรกันแน่? ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเจ้าไม่ยอมให้ข้าไป ที่แท้ก็ซ่อนเจตนาเห็นแก่ตัวไว้นี่เอง!”
เหมียวอี้ที่นอนอยู่ตรงนั้นคว้ามืออวิ๋นจือชิวที่กำลังหยิกไปทั่วร่างกายของตน “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าอยากพานางไปเหรอ ข้าไม่ได้จะไปเที่ยวจริงๆ เสียหน่อย นางไปด้วยข้าก็ยังกังวลอยู่เลยว่านางจะจับพิรุธอะไรได้รึเปล่า ข้าจะอยากพานางไปด้วยได้อย่างไร”
ทว่าเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ค่อนข้างทำตัวไร้เหตุผล หลังจากทั้งจับทั้งเกาทำร้ายเหมียวอี้ไปยกหนึ่ง ถึงได้นั่งลงข้างกายเขา แล้วพูดเข้าประเด็นหลัก “หนิวเอ้อร์ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดเรื่องสิบปราสาทดำเนิน ข้าคิดไปคิดมา รู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกข่าวนี้กับห้าปราชญ์มาก”
เหมียวอี้แปลกใจแล้ว เอานิ้วจิ้มก้นเด้งยืดหยุ่นของนางที่อยู่ตรงหน้าพร้อมถามว่า “จะบอกเรื่องนี้กับพวกเขาไปทำไม?”
เพี้ยะ! อวิ๋นจือชิวตีปัดมือเขาออกไป แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าคิดแบบนี้นะ เรื่องสิบปราสาทดำเนินทำลับหลังแบบนี้ จำเป็นต้องบอกให้ห้าปราชญ์รู้ ไม่อย่างนั้นถ้าห้าปราชญ์เจอเรื่องอะไรแล้วพุ่งเข้าใส่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ให้พวกเขาได้รู้สถานการณ์สักหน่อย จะได้หลบเลี่ยงความเสี่ยงได้บ้าง ต่อไปถ้าได้ข่าวแบบนี้มา ตราบใดที่ไม่ส่งผลเสียต่อเรา ก็สามารถบอกให้พวกเขารู้ได้ ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่พวกเขายินดีที่จะเห็น พวกเขาก็เป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน ในภายหลังถ้าพวกเขาทั้งสี่เดินทางไปเจอข่าวอะไรที่มีประโยชน์ ก็จะได้แจ้งให้พวกเรารู้ได้ทันเวลาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับผู้บัญชาการใหญ่ที่ถูกกำหนดให้ประจำอยู่ที่นี่อย่างเจ้า ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีการรักษาการติดต่อกันไว้แบบนี้ จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงไว้ได้ด้วย เจ้าวางใจได้ ไม่ทำให้เจ้าเกิดปัญหาหรอก ข้าจะเป็นคนกลางประสานให้”
ถ้าไม่ทำให้ตนเกิดความยุ่งยาก เหมียวอี้ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว โบกมือบอกว่า “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน!”
ตอนนี้เขาแค่คิดอยากจะทำเรื่องอื่นสักหน่อย เอามือลูบไปที่ต้นขาอวิ๋นจือชิว แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะคว้ามือเขาโยนทิ้ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเลย
ผ่านไปครู่เดียว สองพี่น้องตระกูลโอวหยาง ฝ่าอิน อวี้หนูเจียวและจีเหม่ยลี่ถูกอวิ๋นจือชิวเรียกมาประชุม ไม่ใช่เรื่องอะไรอย่างอื่น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิบปราสาทดำเนิน ให้พวกนางต่างคนต่างบอกข่าวให้สี่ปราชญ์ที่อยู่เบื้องหลังได้รู้ และบอกให้ชัดเจนด้วยว่า ในภายหลังถ้ามีข่าวประมาณนี้อีก ทางนี้ก็จะแจ้งสี่ปราชญ์ให้รู้อย่างทันท่วงที และให้บอกสี่ปราชญ์ด้วยว่า ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วเจอข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ให้รีบบอกทางนี้ให้ทันเวลาเช่นกัน
ทั้งสี่พยักหน้า แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสี่ปราชญ์ตรงนั้นเลย
อวิ๋นจือชิกลับมาในห้องนอน เหมียวอี้ที่เดินเตร่อยู่ในห้องขวางนางไว้ แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ากับห้าปราชญ์มีวิธีติดต่อกันโดยตรงไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องมากเรื่องให้พวกนางพวกนางบอกต่อด้วยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตอบเสียงเรียบ “ข้าจะทำให้สี่ปราชญ์รู้ไงล่ะ ว่าพวกนางอยู่ที่นี่แล้วยังมีประโยชน์ แบบนี้สี่ปราชญ์ถึงจะกำชับให้พวกนางเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินอย่างข้า เจ้าคิดว่าการเป็นนายหญิงของตำหนักหลังง่ายนักหรือไง? สิ้นเปลืองพลังความคิดนะ!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยจะเกี่ยวข้องกับปัญหาอำนาจสิทธิ์ขาดระหว่างกลุ่มผู้หญิงของตำหนักหลัง วันๆ หนึ่งในมองผู้หญิงคนนี้คิดเรื่องอะไรบ้าง?
ความคิดในใจของผู้หญิง ผู้ชายอย่างเขาคลุกคลีด้วยไม่มากจึงไม่เข้าใจ และคิดเกียจจะคิดมากด้วย เขาชี้ไปข้างนอกอีกครั้ง “เจ้าไม่เรียกหงเฉิน แต่เรียกสองพี่น้องฝาแฝดมาทำไม?”
อวิ๋นจือชิวเบะปาก “นิสัยอย่างหงเฉินน่ะ อีกนิดเดียวก็จะเป็นแม่ชีแล้ว แล้วอีกอย่าง มู่ฝานจวินจับสาวใช้สองคนแทรกมาไว้ข้างกายหงเฉิน เพราะหวังจะให้หงเฉินแสดงบทบาท ผู้หญิงอย่างมู่ฝานจวินมีความคิดเจ้าเล่ห์เยอะเกินไป จะให้นางตัดสินใจเองได้อย่างไร ต้องกันหงเฉินแยกไว้สิ ถ้าเวลาผ่านไปนานๆ เข้า พอมู่ฝานจวินเห็นหงเฉินไม่มีบทบาทอะไรแล้ว เดี๋ยวนางก็วางแผนน้อยลงเอง ทางพี่น้องฝาแฝดนั่นพวกเราก็จัดการสะดวกด้วย”
“มู่ฝานจวินมีความคิดเจ้าเล่ห์เยอะ แต่ข้าว่าความคิดเจ้าเล่ห์ของเจ้าก็ไม่น้อยเหมือนกัน!” เหมียวอี้ยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด ดมกลิ่นกายหอมของนาง รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรืออีกครั้ง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหญิงยั่วราคะคนนี้เลย
แต่ด้านนอกมีคน ตอนนี้อวิ๋นจือชิวไม่มีอารมณ์มาเล่นจังหวะแบบนี้กับเขา จึงออกแรงผลักเขาออกไป “ไปหาอนุภรรยาของเจ้าไป”
ไม่ต้องไปหาเอง พออวิ๋นจือชิวออกไปข้างนอก ฝ่าอินก็ถูกนางเรียกเข้ามาแล้ว เจ้าตัวประนมมือทักทายโดยจิตใต้สำนึก “ท่านสามี!”
ด้วยความเคยชินที่มีมาหลายปี ภายใต้การกล่อมเกลาวิธีการทำความเคารพของชาวพุทธ ความเคยชินบางอย่างไม่ใช่ว่าบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันได้เลย
เหมียวอี้ปวดประสาททันที ถ้าใครมาเจอคนที่ไหว้ทักทายพร้อมเรียกว่าสามีแบบนี้ ก็ต้องรู้สึกวุ่นวายใจกันทั้งนั้น แถมต่อไปฝ่าอินจะต้องพูดถึงเรื่องร่วมห้องเป็นสามีภรรยากับเขาแน่ๆ นั่นต่างหากคือจุดเริ่มต้นของสายฟ้าที่จะผ่าจนตัวเจ้ากรอบนอกนุ่มใน สมกับเป็นลูกศิษย์ต้นแบบของ ‘ฉางเหลย’ คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์คงไม่มีทางจิสตนาออกว่าฝ่าอินแปลกประหลาดขนาดไหน พระกับฆราวาสร่วมรักต่างสายพันธุ์ หลังจากร่วมห้องหอแล้วยังต้องไปสอบถามกับสาวๆ คนอื่นอีก รับรองว่าต้องทำให้เจ้าเหงื่อแตกจนหลังเปียกแน่นอน อารมณ์สุนทรีอะไรก็บินหนีหายไปไกลสุดขอบฟ้าหมดแล้ว
เหมียวอี้ที่ได้รับบทเรียนมาก่อนกลัวนางแล้ว พอเห็นนางก็อยากหลบทันที ยกมือห้ามพร้อมกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระต้องทำ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปพูดกับฮูหยินได้!”
เขายกขารีบสาวเท้าเดินออกไป พอออกจากประตูก็โบกมือให้สัญญาณกลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่ในศาลา เท้ายังไม่หยุดเดิน หนีไปอย่างรวดเร็ว!
อวิ๋นจือชิวบุ้ยปากทำสีหน้าหยอกล้อใส่เหมียวอี้ที่กำลังหนีอย่างจนตรอก ผู้หญิงในศาลาเม้มปากกลั้นขำทันที ขนาดจีเหม่ยลี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ฝ่าอินคือคนที่อวิ๋นจือชิวจงใจเรียกให้เข้าไป ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าสถานภาพการสึกกลับเป็นฆราวาสของฝ่าอินแปลกประหลาดขนาดไหน เป็นยาพิษที่ใช้รับมือกับเหมียวอี้จริงๆ…
หลังจากนั้นหลายเดือน บนกำแพงเมืองของตลาดสวรรค์ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินเคียงข้างอยู่กับแขกที่มาเยือนไม่บ่อยท่านหนึ่ง
แขกท่านนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจงหลีค่วยจากปราสาทดำเนินธารานั่นเอง หลังจากเหมียวอี้เข้ามาเป็นขุนนางในตำหนักสวรรค์ จงหลีค่วยก็แทบจะไม่ติดต่อกับเขาอีกเลย ครั้งนี้เหมียวอี้เป็นฝ่ายติดต่อเชิญเขามาเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่จงหลีค่วยยืนบนกำแพงตลาดสวรรค์เพื่อทอดสายตามองทั้งตลาดสวรรค์ คูเมืองที่กว้างใหญ่เจริญรุ่งเรืองไร้ที่เปรียบ ทำให้คนรู้สึกว่าตลาดแห่งนี้ไร้ขอบเขต เป็นปะรสบการณ์ที่ต่างออกไปจริงๆ ทหารสวรรค์ที่ยืนเฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองถูกเหมียวอี้สั่งให้ถอยไปหมดแล้ว ไม่มีใครรบกวน สามารถเดินเที่ยวได้อย่างสงบใจ
สวีถังหรานประจบเอาใจ ลงครัวเตรียมสุราอาหารมาจัดวางไว้ข้างหน้าด้วยตัวเอง แล้วเดินไปที่หัวมุม พอทั้งสองคนนั้งลง เหมียวอี้รินสุราให้จงหลีค่วยเองกับมือ
หลังจากดื่มสุราลงท้องไปหลายจอก เหมียวอี้ก็ชี้ที่ตลาดสวรรค์พร้อมบอกว่า “ลุงหนวด นั่งดื่มสุราตรงนี้แล้วชมทิวทัศน์ของตลาดสวรรค์ ได้รสชาติไปอีกแบบใช่มั้ยล่ะ? ในใต้หล้ามีไม่กี่คนที่ได้เสพสุขกับสวัสดิการแบบนี้นะ ตามหลักการแล้วห้ามดื่มสุราหาความสำราญบนกำแพงเมือง วันนี้ยกให้เป็นกรณีพิเศษเพื่อท่านเลย”
จงหลีค่วยวางจอกสุราแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ! เจ้าเด็กที่มีพื้นเพมาจากร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้น ใช้เวลาสั้นๆ แค่นี้ก็ได้กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว มีอำนาจข่มราชสำนักและประชาชน เรื่องที่เจ้าลงดาบตัดหัวคนหลายพันโด่งดังมากที่ปราสาทดำเนินธารา!”
“พูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่สนุกแล้ว มิตรภาพระหว่างท่านกับข้าไม่เกี่ยวข้องว่าตำแหน่งจะสูงหรือต่ำ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพสมัยก่อน เจ้าคิดว่าข้าอยากจะมาพบเจ้าเหรอ? เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ ตอนนี้เจ้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ศิษย์ของปราสาทดำเนินธารารักษาระยะห่างกับคนของตำหนักสวรรค์อย่างพวกเจ้ามาตลอด เออใช่ เจ้าตั้งใจมาหาข้าแบบนี้ คงไม่ใช่เพื่อชมทิวทัศน์เฉยๆ หรอกมั้ง? ข้าจะพูดให้ชัดเอาไว้ก่อนนะ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ก็อย่ามาหาข้าเลย”
“ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย จู่ๆ ข้าก็คิดถึงขึ้นมา จึงตั้งใจมาชมทิวทัศน์กับท่าน”
“ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากจะมาโอ้อวดอำนาจของตัวเองต่อหน้าข้าซะอีก” จงหลีค่วยพูดหยอก แล้วมองไปรอบๆ พลางถามว่า “ชมทิวทัศน์เหรอ? ที่ตลาดสวรรค์มีอะไรน่าดู?”
เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้เขา “ข้าเคยได้ยินว่ามีอยู่สถานที่หนึ่งที่ทิวทัศน์ไม่เลวเลย” เขากดเสียงต่ำลงหลายส่วน “ได้ยินว่าวังสวรรค์มีทิวทัศน์ที่สุดยอดมาก พวกเราแอบไปเดินเล่นกันสักหน่อยมั้ยล่ะ”
จงหลีค่วยกลอกตามองเขา “เจ้าหลอกข้าเล่นเอาสนุกรึไง? จะแอบไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ได้ยังไง? ถ้าเจ้าแอบเข้าใกล้ได้สักสามสิบนิ้วข้าจะคุกเข่าเรียกเจ้าว่าท่านปู่เลย!”
แต่จะว่าไปแล้ว การที่นำวังสวรรค์มาพูดล้อเล่นแบบนี้ได้ กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น ราวกับย้อนไปปีนั้นที่เคยหนีเอาชีวิตรอดด้วยกัน อย่างน้อยก็พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ไม่ได้วางมาดจริงๆ
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราไม่ได้มารวมตัวกันหลายปีแล้ว ท่านคิดว่าที่ไหนมีทิวทัศน์ที่งดงามบ้างล่ะ ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่มาตลอด เก็บกดจะแย่อยู่แล้ว ไปเที่ยวด้วยกันสิ”
จงหลีค่วยไม่คิดอยางนั้น “เจ้ายังมีอารมณ์สุนทรีแบบนี้ด้วยเหรอ? ถ้าคนอื่นมีปัจจัยเหมือนอยากเจ้า ก็คงใช้เวลานี้เร่งเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงแล้ว แต่ดูเจ้าทำสิ”
“ข้าได้ยินว่าปราสาทดำเนินเซียนมีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมหาพบได้ยาก พวกเราไปเที่ยวดูที่นั่นหน่อยมั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนสงสัย หลังจากอ้อมค้อมอยู่นาน ในที่สุดก็วกเข้าประเด็นหลักแล้ว
สาเหตุที่เขาบอกว่าอยากไปที่ปราสาทดำเนินเซียนทั้งต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยินและต่อหน้าจงหลีค่วย ก็เพราะอยากจะเปิดใช้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน ทางอวิ๋นจือชิวเปรียบเทียบจนได้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว ว่าจุดที่ระบุไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติคือปราสาทดำเนินเซียน
เดิมทีก็ไม่อยากจะรบกวนจงหลีค่วย แต่พอปี้เยว่ฮูหยินบอกมาแบบนั้น เขาถึงได้พบว่าอาศัยฐานะของตัวเองในตอนนี้ไม่เหมาะจะเข้าไปในอาณาเขตของปราสาทดำเนินเซียนสามารถแอบไปได้ แต่ยังไม่รู้สถานการณ์ของปราสาทดำเนินเซียนชัดเจน จึงไม่กล้ารับประกันว่าจะถูกคนของปราสาทดำเนินเซียนจับได้หรือเปล่า เพื่อให้มั่นใจขึ้นหน่อย เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองสนิทกับสิบปราสาทดำนเนินใหญ่แล้ว จึงเตรียมจะดึงศิษย์ของปราสาทดำเนินธาราอย่างจงหลีค่วยมามาคุ้มกัน เมื่อโดนพบตอนอยู่ในอาณาเขตนั้นขึ้นมา จงหลีค่วยจะได้ออกหน้ายืนยันให้ว่าตนเป็นศิษย์ของปราสาทดำเนินธารา แบบนั้นก็จะเดินไปไหนมาไหนที่ปราสาทดำเนินเซียนได้สะดวกแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ไม่โดนไล่แต่ก็จะโดนจับตามองอยู่ดี จะลงมือค้นหาสมบัติลำบาก
“ปราสาทดำเนินเซียน?” จงหลีค่วยพึมพำ สายตาจ้องอยู่ที่เหมียวอี้ เริ่มขมวดคิ้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร
“ท่านเคยไปปราสาทดำเนินเซียนมาแล้วหรือยัง?” เหมียวอี้ยิ้มถาม
จงหลีค่วยพยักหน้า “เหมือนจะเคยตามอาจารย์ไปอยู่ครั้งหนึ่ง ทิวทัศน์ของที่นั่นยอดเยี่ยมหาพบได้ยากจริงๆ เพียงแต่ว่า…ข้าพูดตรงๆ แล้วกัน ไม่ใช่แค่ปราสาทดำเนินธาราของพวกเรา แต่สิบปราสาทดำนเนินใหญ่ไม่มีใครอยากไปมาหาสู่กับคนของตำหนักสวรรค์เลย ถ้าเจ้าไม่ได้เข้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ ก็จะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ กอปรกับชื่อเสียงที่แผ่ไปข้างนอก ถ้าไปแล้วเกรงว่าจะทำให้เจ้าอึดอัดลำบากใจ”
“อึดอัดลำบากใจเหรอ? ข้ากับพวกเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ไม่ได้ไปหาเรื่องพวกเขาด้วย มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ข้าลำบากใจ?” เหมียวอี้วางจอกสุรา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ทีแรกข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แต่พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปดูให้ได้ ดูซิว่าพวกเขาจะทำอะไรข้าได้!”
จงหลีค่วยพูดเหยียดหยามว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามียศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ แต่อย่ามาโอ้อวดบารมีขุนนางของเจ้าต่อหน้าข้ามากนักเลย อย่าว่าแต่ปราสาทดำเนินเซียน ปราสาทดำเนินธาราก็ไม่ตกหลุมพรางนี้ของเจ้าเหมือนกัน!”
“บารมีขุนนาง?” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วเงยหน้ากรอกสุราจอกหนึ่ง แล้วตบวางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง “ท่านคิดว่าข้าอยากจะเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบรึไง? คิดว่าข้าเต็มใจจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่เหรอ? ท่านคิดว่าอยากจะกระโดดเข้าวงการที่ต้องคอยประจบคนอื่นแบบนี้เหรอ? ที่ข้าเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ท่านกล้าพูดมั้ยว่าไม่เกี่ยวข้องกับปราสาทดำเนินธาราของพวกท่าน? ในปีนั้นตอนที่ข้าโดนกดดันจนจนตรอก เดิมทีคิดว่าการที่มอบแผนที่ซ่อนสมบัติให้ปราสาทดำเนินธาราแล้ว จะสามารถหลบหลีกภัยอยู่ที่ปราสาทดำเนินธาราได้ แต่ปราสาทดำเนินธาราของพวกท่านทำอย่างไรล่ะ? ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง! ผลักให้ข้าออกมารนหาที่ตาย! แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงกลืนฟันที่หักลงท้อง นำหุ้นสองส่วนไปมอบให้ตระกูลโค่ว ถึงได้รักษาชีวิตไว้ได้ ถึงได้โดนกดดันให้เดินมาจนถึงจุดนี้ แต่ดูตอนนี้สิ ลุงหนวดกลับไม่ชอบขี้หน้าข้าเสียแล้ว รังเกียจที่ข้าเป็นแบบนี้ รังเกียจที่ข้าเป็นแบบนั้น สงสัยตอนอยู่ในค่ายกลมารโลหิตข้าจะช่วยชีวิตคนอกตัญญูเอาไว้ ลุงหนวด วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ข้าจะดึงท่านไปปราสาทดำเนินเซียนเป็นเพื่อนข้าให้ได้ ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะดูว่าท่านจะมองข้าเป็นสหายหรือเปล่า! ถ้าท่านไม่เต็มใจไปเป็นเพื่อนข้า ข้าก็ไม่บังคับ ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต่างคนต่างเดิน ถือว่าข้าตาถั่ว!”
กล่าวเกินไปหน่อยแล้ว! จงหลีค่วยดื่มสุราอย่างกลุ้มใจ ในปีนั้นที่ผลักเหมียวอี้ออกมา ปราสาทดำเนินธาราก็มีความลำบากใจของปราสาทดำเนินธาราเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือด้านเหตุผล ครั้งนั้นปราสาทดำเนินธาราก็ค่อนข้างขาดคุณธรรมจริงๆ
เหมียวอี้เองก็ไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น รอฟังคำตอบจากเขา
หลังจากทั้งสองตึงใส่กันอยู่นาน จงหลีค่วยก็วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ก็ใช่ว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าต้องตอบตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งก่อน เปลี่ยนตัวตน อย่าเปิดเผยภูมิหลังตำหนักสวรรค์ของเจ้า ข้าทำได้แค่นี้แหละ”
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น ถือหาสุรารินให้เขาอีกครั้ง “ท่านพูดแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว นับว่าข้ามองคนไม่ผิด ข้าไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก ข้าไม่ไปปราสาทดำเนินเซียนแล้ว พวกเราแอบไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ ไปดูวังสวรรค์กันหน่อยเป็นไร!”
…………………………