มือที่ถือจอกสุราสั่นทันที จงหลีค่วยรีบโบกมือบอกว่า “อย่า! ข้ายอมให้เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ แต่กับวังสวรรค์ข้าไม่มีความกล้านั้น ไปที่ปราสาทดำเนินเซียนก็พอแล้ว”
“ได้! เอาตามที่ท่านบอก ไปปราสาทดำเนินเซียนก็ไปปราสาทดำเนินเซียน!” เหมียวอี้พยักหน้า อารมณ์ดีมาก ยื่นมือเชิญให้ดื่มสุราต่อ
หลังจากดื่มสุราบนกำแพงจนสนุกกันเต็มที่แล้ว จงหลีค่วยก็ไปหาโรงเตี๊ยมพักเอง จากนั้นสวีถังหรานก็โผล่ออกมาถามว่าด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการใหญ่ สุราอาหารวันนี้ถูกปากหรือเปล่า?”
“ใช้ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้ากลับไปเตรียมตัวสักหน่อย ช่วงนี้อาจจะต้องออกไปกับข้าสักเที่ยว”
สวีถังหรานงงไปชั่วขณะ แล้วถามว่า “ไปไหนเหรอ?”
“ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินจากไป
ไม่มีทางเลือกแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็จะไปด้วยเหมือนกัน เหมียวอี้กลัวว่าตัวเองจะทนความยั่วยวนของสาวใหญ่คนนี้ไม่ไหวแล้วทำเรื่องอะไรขึ้นมา พาคนขี้ประจบอย่างสวีถังหรานไปด้วยจะเหมาะสมที่สุด ให้เขาพัวพันอยู่กับปี้เยว่ฮูหยิน บวกกับฝีมือการทำอาหารของสวีถังหรานในตอนนี้ค่อนข้างใช้ได้ ออกไปเที่ยวเล่นชมธรรมชาติจำเป็นต้องมีคนทำเรื่องพวกนี้
จากนั้นเหมียวอี้ก็ตรงมาที่ตำหนักคุ้มเมือง เตรียมจะพบปี้เยว่ฮูหยินเพื่อบอกว่าสามารถออกเดินทางได้แล้ว
ใครจะคิดว่าพอเข้ามาในสวนดอกไม้ในตำหนัก ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินกับหวงฝู่จวินโหรวกำลังเล่นหมากล้อมอยู่ในศาลา พอหวงฝู่จวินโหรวเห็นเขา ก็กวาดตามองอย่างเย็นชาแล้วเบะปาก ตอนนั้นนอกจากจะโดนค้นยึดร้านค้าแล้ว ยังมีความแค้นเรื่องโดนบังคับให้คุกเข่าที่นางยังไม่ลืม แต่ภายนอกก็ยังลุกขึ้นคำนับ “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
พอเหมียวอี้เห็นหวงฝู่จวินโหรวก็อึดอัดไปทั้งตัวเช่นกัน พยักหน้าเบาๆ พอเป็นพิธี
“มีเรื่องอะไร?” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังจ้องกระดานหมากล้อมเอียงหน้าถาม จกานั้นก็ลงหมาก
เหมียวอี้ย่อมไม่พูดอะไรต่อหน้าหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ฮูหยิน เรื่องเดินทางเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าฮูหยินจะออกเดินทางเมื่อไร?”
พอพูดเรื่องนี้ปี้เยว่ฮูหยินก็ถอนหายใจเบาๆ เหลือบตาขึ้นมองหวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ไปแล้ว! ท่านโหวไม่อนุญาต ไปไม่ได้แล้ว!”
“…” เหมียวอี้ตะลึงค้าง แล้วถามอย่างเชิงว่า “เช่นนั้นข้าน้อย…”
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจ “ไปเถอะๆ รีบไปรีบกลับ!”
เหมียวแอบดีใจมาก กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วยแล้วจะอธิบายกับจงหลีค่วยอย่างไร แบบนี้กำลังดีเลย ลดความยุ่งยากลงไม่น้อย กล่าวอำลาทันที
หลังจากรอจนเหมียวอี้ไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ถามเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไรว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มาที่นี่มีกิจธุระอะไรหรือเปล่าคะ? ถ้ามีธุระ จวินโหรวก็ไม่กล้ารบกวนงานของฮูหยิน ขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
ปี้เยว่ฮูหยินถือหมากอยู่ตัวหนึ่ง พลางโบกมือบอกว่า “จะมีกิจธุระอะไรได้ เขาแค่อยากจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เลยมาขอลาหยุดกับข้า”
“อ๋อ!” หวงฝู่จวินโหรวทำท่าครุ่นคิด แล้วดวงตาก็เป็นประกาย ลงหมากตามลงไป
ทันใดนั้น ก็ได้ยินปี้เยว่ฮูหยินทอดถอนใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เกิดเป็นผู้หญิงนี่ชะตาลำเค็ญ! ทั้งชีวิตนี้ต้องเป็นเครื่องประดับของผู้ชาย ต่อให้ไม่ได้ใช้แต่ก็ต้องครอบครองไว้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ต้องขอลิ้มลองรสชาติของการเกิดเป็นผู้ชายให้ได้…”
ตอนกลางคืน เหมียวอี้ลงมาถึงทางใต้ดินในบ่อ เดิมทีคิดจะไปหาอวิ๋นจือชิว แต่พอไปได้ครึ่งทางแล้วเห็นทางแยก คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนเส้นทางดีกว่า
“ทำไมเจ้ามาที่นี่?”
เมื่อเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวกะทันหัน อวี้หนูเจียวก็แปลกใจนิดหน่อย ปกติก่อนหน้านี้เวลาจะมาต้องบอกก่อนล่วงหน้า
นางได้ยินเสียงแล้วเดินออกจากห้อง ปรากฏว่าโดนเหมียวอี้ดึงกลับเข้าไปอีก เหมียวอี้ที่เข้าประตูมาแล้วโบกมือ เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าที่ตามหลังมารีบปิดประตู ถอยออกไปข้างนอกอย่างรู้งานแล้ว
อวี้หนูเจียวที่ค่อนข้างประหม่าเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เหมียวอี้โอบเอวนาง แล้วประชิดทีละก้าวให้นางถอยไปข้างเตียง “ข้าเป็นเจ้าของบ้าน ทำไมจะมาไม่ได้?”
อวี้หนูเจียวที่กัดริมฝีปากหายใจไม่เป็นจังหวะ รู้สึกได้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่อง
เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ้ามัดเอวถูกดึงออกแล้ว ตอนที่ตัวชนขอบเตียง ชุดตัวนอกก็ถูกเหมียวอี้ถอดลงเช่นกัน อวี้หนูเจียวลับตาลง กัดริมฝากและไม่ขัดขืนอะไร นับว่ายอมรับในการกระทำของท่านขุนนางเหมียวแล้ว
จนกระทั่งเสื้อผ้าทั้งตัวถูกถอดหมดและล้มลงบนเตียง กลับพบว่าอีกฝ่ายชักช้าไม่ลงมือเสียที จึงลืมตามอง พบว่าเหมียวอี้กำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ กำลังยืนกอดอกชื่นชมเรือนร่างหยกงามของนางอยู่ข้างเตียง
อวี้หนูเจียวอับอายจนหน้าแดงเป็นก้นลิงทันที “อ๊าย” นางรีบยื่นมือไปดึงผ้าแพรข้างๆ มาปิดบังร่างกายตัวเอง ปิดเอาไว้แม้กระทั่งหัว
ผ่านไปครู่เดียว ก็มีร่างเปลือยมุดเข้ามา ร่างร้อนผ่าวแนบชิด จูบกับนางอย่างเร่าร้อนอยู่ในความมืด แขนขาทั้งสี่เกาะเกี่ยวพัวพันกัน
ตอนที่อวี้หนูเจียวยอมรับชะตากรรมแล้ว ตอนที่คิดว่าคืนนี้ไม้จะต้องกลายเป็นเรือแน่นอน แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับหยุดอย่างกะทันหัน ถามข้างหูนางว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่บังคับเจ้า วันนี้ยินยอมพร้อมใจรึยัง?”
“ไม่!” อวี้หนูเจียวเป็นคนปากแข็ง
นางปากไม่ตรงกับใจชัดๆ แต่เหมียวอี้กลับไม่แตะต้องนางแล้วจริงๆ ดึงนางมากอดไว้ทั้งคืน ตอนเที่ยงคืนเหมียวอี้ก็หลับแล้ว อวี้หนูเจียวกลับทรมานอยู่นอ้อมกอดเขาหนึ่งคืน แบบนี้มันใช่เรื่องอะเหรอ…
เช้าวันต่อมา เหมียวอี้เดินออกไปพร้อมสีหน้าหยอกล้อสบายใจ ก่อนจะไปยังพูดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “รอให้วันไหนเจ้ายินยอมพร้อมใจ ข้าค่อยครอบครองเจ้า!”
อวี้หนูเจียวเรียกได้ว่าแค้นตนกัดฟันกรอด เกิดความคิดอยากจะฆ่าเขาให้ตายแล้ว
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าดันมาแสดงความยินดีกับนาง นึกว่าในที่สุดนางก็ได้ร่วมห้องกับเขาแล้ว นางระบายไฟโกรธไปที่ตัวหญิงรับใช้ทั้งสองทันที “ออกไป!”
ยามอู่[1] เหมียวอี้ออกจากเมือง ตอนที่เหาะผ่านป่าภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง จงหลีค่วยก็พุ่งตามเขามาแล้ว ทั้งสองมุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยกัน
หลังจากเหาะอยู่บนอวกาศได้ไม่นาน จู่ๆ จงหลีค่วยก็บอกว่า “ข้างหลังมีคน!”
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นชายหนุ่มหน้าเหลืองชุดเทากำลังตามหลังพวกเขาสองคนอยู่ไกลๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังสะกดรอยตามหรือเปล่า บางทีอาจจะไปทางเดียวกันก็ได้
บนท้องฟ้า ถ้าอยากจะสะกดรอยตามโดยไม่ให้โดนจับได้ก็เป็นเรื่องยาก เป็นเพราะภูมิภาคกว้างโล่งเกินไป แทบจะไม่มีอะไรบังเลย ถ้าอยากจะหลบให้พ้นขอบเขตสายตาของดวงตาอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะคลาดกับคนที่สะกดรอยตาม
ถ้าอยากจะทดสอบว่าสะกดรอยตามหรือไม่ก็งายมาก เหมียวอี้กับจงหลีค่วยสบตาวันแวบหนึ่ง แล้วเริ่มค่อยๆ เหาะเบี่ยงออกนอกเส้นทาง ไม่สามารถเลี้ยวอย่างกะทันหันได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว
เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายหน้าเหลืองชุดเทาก็เหาะเบี่ยงเส้นทางตามโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็เหาะเบี่ยงกลับมาเส้นทางเดิม แล้วชายหน้าเหลืองก็เบี่ยงเส้นทางกลับมาอีกโดยไม่รู้ตัว ยังคงตามหลังทั้งสองคน
ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง ไม่พูดอะไรมากแล้ว เหาะไปยังเป้าหมายเดิมต่อไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ประตูดวงดาวบานแรกก็ปรากฏ เหมียวอี้กับจงหลีค่วยต่างคนต่างใช้กระสวยเงิน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในประตูดวงดาวแล้ว
พอโดนพ่นออกจากประตูดวงดาว ทั้งสองก็รีบแยกกันไปอยู่ทางซ้ายและขวา จงหลีค่วยถือกระบี่หน้ากว้างไว้ในมือ เหมียวอี้สวมเกราะรบและถือถวนไว้ในมือแล้วเช่นกัน ทั้งสองกำลังรอคอยอยู่
รออยู่ไม่นาน เงาคนคนหนึ่งก็ถูกพ่นออกมากลางอากาศ จงหลีค่วยตะโกนทันที “ฆ่า!”
กระบี่หน้ากว้างบินฟันเข้ามา ชายหน้าเหลืองที่โผล่มาอย่างกะทันหันก็ไหวตัวเร็วเช่นกัน พลิกมือหยิบกระบี่วิเศษดาบหนึ่งที่ใสเหมือนหยกแดงออกมา ยับยั้งกระบี่ได้หนึ่งครั้ง ฟันกระบี่ของจงหลีค่วยจนกระเด็นออกไป แต่เหมือนวรยุทธ์จะสู้จงหลีค่วยไม่ได้ ตัวเองก็สะเทือนจนลอยถอยหลังเช่นกัน
ทว่าในขณะที่กำลังลอยถอยหลัง มือที่สะบัดกระบี่ไปข้างหลังก็มีแสงเย็นหลายสายกระเด็นออกมา ท่วงท่าคล่องแคล่วแข็งแรง
ท่ามกลางเสียงดังสะเทือน แล้วก็ยับยั้งได้อีกสามทวน แทบจะหันหลังโจมตีทวนที่เหมียวอี้ฟันเข้ามาสามติดต่อกัน เหมียวอี้วรยุทธ์สู้คนคนนี้ไม่ได้ ถูกทำให้สะเทือนถอยออกไป!
“วิชากระบี่ไม่ธรรมดา!” เหมียวอี้กล่าวชมด้วยแววตาทึ่ง นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนที่เหนือกว่าตัวเองในด้านทักษะการต่อสู้ จึงตะโกนทันทีว่า “ลุงหนวดหลีกไป ข้าจะประลองกับเขาเอง!”
ชายหน้าเหลืองใช้มือหนึ่งไขว้หลัง ใช้มืออีกข้างชี้กระบี่เฉียงไปใต้เท้า กวาดตามองสองคนที่ขนาบโจมตีทางซ้ายและขวา
จงหลีค่วยโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา แล้วถอยออกไปเล็กน้อย เขาพอจะมีความเชื่อมั่นในวิชาทวนอันยอดเยี่ยมของเหมียวอี้อยู่บ้าง เพราะตอนแรกเคยเห็นเหมียวอี้ต่อสู้กับปีศาจโลหิต ภายใต้เงื่อนไขที่วรยุทธ์ห่างกันมาก แต่เหมียวอี้ก็ทำให้ปีศาจโลหิตแพ้ได้ บวกกับวันนี้สวมเกราะรบผลึกแดงด้วย
เมื่อเห็นเหมียวอี้ถือทวนไว้ในแนวขวาง ชายหน้าเหลืองก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย เหมือนนึกสนุกขึ้นมาเหมือนกัน ถือกระบี่ชี้ไปที่เหมียวอี้แล้ว
“ผู้ที่มาเป็นใคร หนิวคนนี้ไม่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักชื่อ!” เหมียวอี้ถือทวนชี้มา
ชายหน้าเหลืองไม่ตอบ ชี้กระบี่ปาดเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนท้าทายอยู่หลายส่วน
ไม่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักชื่ออะไรกันล่ะ ปกติคนที่ใช้คำพูดนี้ก็ฆ่าเหมือนเดิมนั่นแหละ! เหมียวอี้พลันถลันตัวเข้ามา พุ่งทวนยิงออกมาหนึ่งครั้ง ดูมีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร!
ชายหน้าเหลืองถลันตัวพุ่งเข้ามารับหน้าเช่นกัน ไม่หลบไม่หลีก พุ่งเข้าหาการโจมตีของเหมียวอี้ คมกระบี่ชนกับคมทวน
อีกฝ่ายวรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ การใช้กำลังปะทะตรงๆ ไม่ใช่ความคิดที่ชาญฉลาดสำหรับเหมียวอี้ เพียงแต่กระบี่ในมืออีกฝ่ายยาวไม่เท่าทวนในมือเขา สู้กันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็เสียเปรียบเหมือนกัน เหมียวอี้ย่อมเลี่ยงจุดแข็งโจมตีจุดด้อยอยู่แล้ว
ชั่วพริบตาที่คมกระบี่และคมทวนชนกัน หัวทวนสามแฉกรูปร่มที่แหลมคมก็เอียงเล็กน้อย!
ซวบ! ไม่ได้ชนโดนจุดสำคัญ คมกระบี่ลื่นทันที ไหลเฉียดปีกร่มสามแฉกไป ทวนเกล็ดย้อนฝ่าการป้องกันได้และสังหารออกไปโดยตรง โจมตีไปที่ร่างกายของอีกฝ่าย
ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะคล่องแคล่วสุดๆ เมื่อถือกระบี่อยู่ในมือ คมกระบี่เพิ่งจะไหลผ่านปีกทวนไป ไม่ใช้ท่าเก่าๆ เลย ปาดขึ้นแล้วหดกลับทันที กักตะขอบนหัวทวนไว้ได้ในรวดเดียว ควบคุมและโน้มนำทวนที่เหมียวอี้โจมตีเข้ามาให้ขึ้นไปด้านบน ส่วนมืออีกข้างก็กำลังจะคว้าด้ามทวนเกล็ดย้อน
เกิดเสียงดังแกร๊ก ตะขอสามแฉกพลันพลิกขึ้นไปด้านบน คมกระบี่ที่กัดหัวทวนเอาไว้ไม่มีที่ให้กักแล้วไหลออกไปอีกครั้งในทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กะทันหันจริงๆ ทำให้คนทำอะไรไม่ถูก ในดวงตาของชายหน้าเหลืองฉายแววตกตะลึงอย่างชัดเจน นึกไม่ถึงว่าบนทวนเกล็ดย้อนจะยังมีลับลมคมใน ช่วยไม่ได้ที่ใช้แรงโบกกระบี่ลากขึ้นข้างบนเยอะเยอะเกินไป ทันใดนั้นเอง คนกับกระบี่ตกหลุมพรางพร้อมกัน ทำเอาร่างกายโยกไหวไปข้างหลังอย่างเสียการควบคุม
ฉวยโอกาสในสถานการณ์แบบนี้ ถือโอกาสจากช่องโหว่ที่เผยออกมาตอนอีกฝ่ายลุกลี้ลุกลนเพราะคาดการณ์ผิดพลาด เหมียวอี้กระทุ้งทวนไปที่ศีรษะหนึ่งครั้งกระทุ้งไปทางศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเหี้ยมหาญ
ทว่าขณะที่ชายหน้าเหลืองถอยหลังท่ามกลางความสับสน จู่ๆ ก็ฉีกขากลางอากาศ ฉีกขาเป็นเส้นตรง แล้วใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งยันขึ้นไปด้านบน ยันด้ามทวนที่กระทุ้งลงมาเอาไว้ ราวกับมีมืองอกออกมาสนองความต้องการเร่งด่วนในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ถูกเขาทำให้งงนิดหน่อย เป็นคนที่ร่างกายยืดหยุ่นแบบพบหาได้น้อยในหมู่นักพรต ถ้าจะให้ฉีกขาเขาก็ทำได้ แต่กลับทำอย่างเชี่ยวชาญสบายๆ แบบอีกฝ่ายไม่ได้
ฉวยโอกาสขณะที่ถ่วงเวลา ชายหน้าเหลืองหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะบนด้ามทวนหลายครั้งติดต่อกัน อาศัยที่วรยุทธ์สูงกว่าเตะทวนในมือเหมียวอี้ให้สะเทือนออกไป ขณะเดียวกันก็อาศัยเหยียบบนด้ามทวนก้าวหนึ่ง ตัวคนเข้ามาใกล้เหมียวอี้แล้ว เมื่อผ่านพ้นระยะการป้องกันทวนยาวแล้ว จู่ๆ ก็ยิงกระบี่แสงเย็นออกมาหนึ่งด้าม กระโจนหดร่างราวกับวานรเทพ ทั้งโจมตีทั้งป้องกัน กระบี่กวาดมาที่คอหอยของเหมียวอี้
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวิตกกังวลหรือไม่วิตกกังวล สรุปว่าเหมียวอี้ถูกทำให้ทึ่งแล้ว เด็กดี! วันนี้ได้เจอกับยอดฝีมือแห่งการเข่นฆ่าระยะใกล้ที่แท้จริงแล้ว สำหรับนักพรตที่ใส่เต็มเหนี่ยวหรือไม่ก็เอาของวิเศษมาทุ่ม ฝีมือแบบนี้ทำให้คนรู้สึกชื่นชม เชี่ยวชาญเกินไปแล้ว!
ต้องทราบไว้ว่านี่ไม่ใช่ตำนานที่อยู่ในนิทานวีรบุรุษผดุงความยุติธรรม บางทีในนิทานวีรบุรุษผดุงความยุติธรรมอาจจะบรรยายได้เกินจริงไปหน่อย ในความเป็นจริงคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางฝึกฝนทักษะตัวเบาขนาดนั้นได้เลย ร่างกายที่มีเลือดเนื้อมีขีดจำกัด วันนี้ทำให้เหมียวอี้ได้เปิดหูเปิดตามากจริงๆ!
…………………………
[1] ยามอู่ 午时 เวลาระหว่าง 11:00 น. – 13:00 น.