สำหรับนักพรตแล้ว กระบี่โดยทั่วไปสามารถนำมาเรียกใช้เป็นกระบี่บิน หรือไม่ก็ใช้ป้องกันตัวในเวลาสำคัญ หรือไม่ก็เพิ่มความกว้างความยาวของกระบี่เพื่อนำมาใช้เป็นอาวุธเหมือนเฟิงเป่ยเฉิน ไม่อย่างนั้นเวลาปะทะกันขึ้นมาก็จะเสียเปรียบมาก ภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองมีได้มีความได้เปรียบด้านวรยุทธ์มาก การใช้ถือกระบี่ที่มีความยาวปกติมาสู้กับกับทวน ทั้งยังล้าเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาสู้ก่อน เหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการรบประชิด
จงหลีค่วยที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว ตะโกนถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใครของตระกูลหวงฝู่แห่งสมาคมวีรชน?”
เห็นได้ชัดว่าเขามองออกถึงเบาะแสอะไรบางอย่าง
ตระกูลหวงฝู่ สมาคมวีรชน? ในหัวเหมียวอี้มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา สถานการณ์บีบบังคับทำให้ตอนนี้คิดอะไรมากไม่ได้
กระบี่ของอีกฝ่ายจ่อมาที่คอกระบี่ เหมียวอี้อาศัยแรงจากทวนยาวที่ถูกอีกฝ่ายเหยียบสะเทือนออกไปเพื่อเพิ่มความเร็วในการหมุนตัวของตัวเอง ควงทวนรอบหนึ่งปาดกระแทกเอวของอีกฝ่ายอย่างดุดัน
ในขณะที่หมุนตัว หลบข้างหน้าได้แต่หลีกข้างหลังไม่พ้น แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน ม่านป้องกันด้านหลังของเกราะหัวโดนกระบี่โจมตีหนึ่งครั้ง แทบจะทำให้กระดูกคอสะเทือนจนเคลื่อนผิดรูป โชคดีที่วรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตนไม่มาก ที่สำคัญกว่านั้นคือเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้มีพลังป้องกันที่ค่อนข้างดี สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
เหมียวอี้ใช้วิธีการต่อสู้แบบทำให้เสียหายทั้งสองฝ่าย ยอมให้หลังคอโดนกระบี่หนึ่งครั้ง ส่วนตัวเองก็ควงทวนกระแทกเข้าไปเช่นกัน
เป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ทวนยาวก็มีข้อดีของความยาว แต่ก็มีความยุ่งยากเพราะความยาวเหมือนกัน พอถูกอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัว ก็ทำได้เพียงใช้งานมันเหมือนไม้กระบองแล้ว วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนเพิ่ม ได้รับประสบการณ์อีกรอบ ในภายหลังจะไม่ให้คนที่ถือกระบี่เข้าใกล้ตัวเด็ดขาด
แต่การกระแทกทวนออกไปครั้งนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายรบประชิดตัวได้อย่างร้ายกาจมาก ร่างกายปราดเปรียวมาก พอใช้กระบี่หนึ่งครั้งแล้วไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ก็ใช้ขาเตะเข้ามาในแนวขวางอีก ทให้ทวนที่กวาดเข้ามาโดนเตะเด้งขึ้นไปโดยตรง อีกฝ่ายสามารถใช้งานมือกับเท้าพร้อมกันขณะกระโจนย้ายตัวหลบ
เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาได้เปรียบที่ไหวตัวเร็ว เมื่อกระแทกทวนออกไปแล้วโดนปัดอออก ร่างกายท่อนล่างก็ลอยขึ้นมา อีกฝ่ายปราดเปรียว แต่เขากลับบ้าระห่ำ ใช้ขาถีบออกไปอบ่างบ้าระห่ำหนึ่งครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็มีเกราะรบป้องกันตัว ทำให้ไม่กลัวคมกระบี่ในมือของอีกฝ่าย และฐานรองเท้าก็มีลายฟันที่แหลมคมด้วย
ชายหน้าเหลืองที่พลิกตัวกลางอากาศก็รู้เช่นกันว่ากระบี่ในมือตีฝ่าเกราะรบของเหมียวอี้ได้ยาก กระบี่ในมือสะท้อนแสงคมวิบวับ ถือกลับด้านเพื่อปกป้องท้องแขนตัวเองเอาไว้ ใช้มือข้างเดียวกวาดกระบี่ต้านในแนวขวาง ปั้ง! ตัวกระบี่แนบชิดกับท้องแขนและต้านการถีบของเหมียวอี้ไว้ได้
ตอนที่มืออีกข้างกำลังจะคว้าน่องของเหมียวอี้ ในใจก็รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง ตกใจการตอบสนองที่รวดเร็วของเหมียวอี้ ในเวลาสั้นๆ ขนาดนี้ เหมียวอี้กระแทกทวนออกมาอีกครั้ง เรียกได้ว่าคนกับทวนรวมเป็นหนึ่ง ใช้ทั้งมือทั้งเท้าพร้อมกัน
ชายหน้าเหลืองที่แขนถูกป้องป้องด้วยกระบี่ดันออกไปหนึ่งครั้ง ทำให้เหมียวอี้สะเทือนออกไป ถือโอกาสกวาดท้องแขนออกไปอีก ปั้ง! ใช้กระบี่ป้องกันแขนและต้านการโจมตีของเหมียวอี้ไว้ได้
จนกระทั่งเขาพลิกกระบี่มาถือไว้ในมืออีกครั้ง เหมียวอี้ก็อาศัยแรงกดของเขาใช้ขาถีบถอยออกไปแล้ว ในที่สุดก็ออกห่างจากคนที่เชี่ยวชาญการรบประชิดได้ เพราะหลังจากที่โดนอีกฝ่ายพัวพัน ทวนยาวของตนก็แสดงอานุภาพไม่ได้เลย!
เมื่อครู่เขาถึงขนาดคิดจะโยนทวนทิ้งแล้วสู้มือเปล่ากับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ การใช้ทวนสู้ในระยะประชิดทำให้เขาสู้ชายหน้าเหลืองไม่ได้เลย ทวนของเขาไม่ได้เร็วอย่างเดียว เพราะทวนเร็วอยู่ภายใต้เงื่อนไขของมือที่เร็ว มีเกราะรบป้องกันตัวสามารถกันคมกระบี่วิเศษของอีกฝ่ายได้ ใช่ว่าจะสู้แบบมือเปล่าไม่ได้
แต่ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอคู่ต่อสู้แบบนี้ เจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอ ๆ กันในด้านการใช้อาวุธ ไม่สามารถใช้ทวนเอาชนะ เขารู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นในมือเขาก็มีท่าไม้ตายตั้งมากมาย
เมื่อเห็นจงหลีค่วยมีความคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย เหมียวอี้ที่ใช้มือข้างเดียวถือทวนลอยยุดอยู่กลางอากาศก็ยกมือห้าม บอกใบ้ไม่ให้เขามาแทรกแซง แล้วใช้ทวนชี้ไปที่ชายหน้าเหลือง “สามารถรับทวนของหนิวได้สามสิบท่าติดต่อกัน หนิวจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง!”
อีกฝ่ายโบกกระบี่ชี้เข้ามา กล่าวด้วยเสียงต่ำห้าวว่า “พูดโอ้อวดอย่างไร้ความละอาย!”
ไม่ต้องสิ้นเปลืองคำพูดอะไรมากแล้ว! เหมียวอี้พลันปาดทวนพุ่งเข้ามา ออกทวนต่อเนื่องหนึ่งชุด เสียงมังกรคำรามดังก้องตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่วนเวียนอยู่บนหัวทวน
ชายหน้าเหลืองถือกระบี่เหาะปะทะเข้ามาเช่นกัน คมกระบี่เจอกับคมทวน เหมือนกับท่าที่เคยใช้ครั้งแรกไม่มีผิด
ในขณะที่ชนปะทะกัน ชายหน้าเหลืองพลันเบิกตากว้าง ปลายทวนที่แทงเข้ามาตรงหน้าพลันขยายออกราวกับพายุฝน แสงเย็นหลายจุดระเบิดออกมาราวกับฝนดาวตก เร็วจนแทบจะทำให้คนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม เสียงมังกรคำรามทำให้คนจิตใจสับสนวุ่นวาย
กระบี่ที่ชายหน้าเหลืองแทงออกไปเปลี่ยนจากโจมตีกลายเป็นตั้งรับ แสงเย็นหลายสายวาดถักทออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ขวางดักอยู่ตรงหน้าราวกับตาข่าย
เสียงระเบิดที่ติงๆ ตังๆ หลายครั้งเปลี่ยนเป็นดังสะท้านในชั่วพริบตาเดียว
จงหลีค่วยที่ดูการต่อสู้รู้สึกทึ่งและชื่นชม แอบพูดในใจว่า เจ้าเด็กนี่ออกทวนได้เร็วกว่าในปีนั้นเยอะมาก!
เหมียวอี้ย่อมไม่เอาตัวเองไปเทียบกับตัวเองในปีนั้นอยู่แล้ว รู้เพียงว่าหลังจากวรยุทธ์บรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่ ตัวเองก็ยิ่งควบคุมทวนได้อย่างอิสระมากขึ้น
วรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตน ทุกครั้งที่ทวนกับกระบี่ชนปะทะกัน ก็แทบจะทำให้การโจมตีของทวนสะเทือนจนสับสน พอการโจมตีสับสน เหมียวอี้ก็รีบใช้การโจมตีท่าที่สอง ต่อให้แขนสองข้างจะสะเทือนจนชา แต่เขาก็ยังฝืนรุกโจมตีอยู่ดี จะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ไม่ได้ หวังแค่ให้ตัวเองโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พักหายใจโต้ตอบ ต้องการจะใช้ความเร็วจัดการอีกฝ่ายให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะสะเทือนจนทนไม่ไหว!
เร็ว! เร็วมาก! เร็วจริงๆ!
ข้างหน้าเต็มไปด้วยเงาทวน ชายหน้าเหลืองคอยสกัดทวนอย่างฉุกละหุก การโจมตีท่าที่สอง ท่าที่สาม ท่าที่สี่ก็เข้ามาราวกับพายุฝนคลั่ง…
ชายหน้าเหลืองที่มือกำลังรัวกระบี่รู้สึกเหมือนมือจะเป็นตะคริว เมื่อเผชิญการโจมตีอย่างบ้าระห่ำแบบนี้ของอีกฝ่าย เขาก็มีความตั้งใจแต่ไร้กำลังจริงๆ วรยุทธ์สูงกว่าอีกฝ่ายแท้ๆ แต่กลับโดนโจมตีจนเหลือแค่แรงตั้งรับ ไม่มีโอกาสได้โจมตีโต้ตอบเลย เขารู้ว่าเหมียวอี้ออกทวนได้รวดเร็ว แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับตัวเอง ก็ยังควบคุมความรู้สึกสั่นคลอนในใจไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดก็คือ เป็นไปได้อย่างไรที่วรยุทธ์ของเหมียวอี้จะต้านทานวรยุทธ์ของเขาได้
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทวนในมือของเหมียวอี้สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ เกราะรบก็ลดพลังโจมตีได้เช่นกัน พลังที่ใช้มาบนตัวเหมียวอี้มีเพียงหกส่วน อาศัยวรยุทธ์ของเขา ถ้าสามารถแสดงพลังประหลาดแบบเฟิงเป่ยเฉินได้ เหมียวอี้ก็ไม่กล้าใช้กำลังปะทะกับเขาตรงๆ เลย!
เหมียวอี้บอกว่าโจมตีเขาสามสิบท่า แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ทำแบบนั้น หลังจากโจมตีไปหกท่าเขาก็รับไม่ไหวแล้ว ตาข่ายกระบี่ตกหลุมพรางเผยพิรุธ คมทวนที่โจมตีเข้าๆ ออกๆ ทำให้เกิดเสียงดังแคว่กๆ ทันที ทำให้แขนเสื้อข้างหนึ่งกลายเป็นเศษผ้าปลิวว่อนเหมือนผีเสื้อ เผยแขนที่ขาวละเอียดอ่อนเหมือรากบัว ต่างกับสีบนฝ่ามือโดยสิ้นเชิง
เมื่อการป้องกันถูกทำลาย แขนเสื้อถูกปาด แขนเกือบจะโดนฟันพิการ ชายหน้าเหลืองตระหนกตกใจ กระบี่ที่ฟันสกัดขวางอย่างรวดเร็วก็ยิ่งรับมือไม่ไหว พอช่องโหว่เผยออกมาแล้ว ยามเผชิญการโจมตีที่บ้าระห่ำเหมือนพายุฝนของเหมียวอี้ เขาจะยังต้านทานไหวได้อย่างไร
“หนิวโหย่วเต๋อ!” ชายหน้าเหลืองพลันกรีดร้องออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเสียงของผู้หญิง
กระบี่รองอยู่ใต้หัวทวน หัวทวนห่างเพียงฝ่ามือเดียวก็จะแทงโดนหน้าอกของชายหน้าเหลือง ทั้งสองฝ่ายเงียบสงบลง แต่เสียงมังกรคำรามยังคงดังก้องอยู่ตรงหัวทวน
เหมียวอี้ไม่ได้ฆ่าเขา สาเหตุแรกเป็นเพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตอนประมือกันอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตน สาเหตุต่อมาเป็นเพราะยังไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมต้องติดตามตน
ทว่าเหมียวอี้ที่ถือทวนลอยเงียบๆ ในเวลานี้กลับกระตุกมุมปากแล้ว เสียงของอีกฝ่ายค่อนข้างคุ้นหู เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า!
แกร๊ง! ชายหน้าเหลืองใช้กระบี่เขี่ยทวนของเขาออกไป แล้วยื่นมือไปดึงหนังปลอมบนคอตัวเองออก ฉีกใบหน้าปลอมบนใบหน้าตัวเองลงมา เผยใบหน้างามล่มเมืองที่ขาวเนียนละเอียดอ่อน หวงฝู่จวินโหรว!
“เป็นเจ้าเหรอ?” เหมียวอี้เก็บทวน กลอกตามองบน แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าตามข้ามาทำไม?”
หวงฝู่จวินโหรวพูดดูถูกว่า “ท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็มใช่บ้านเจ้าเสียหน่อย ข้าอยากจะไปไหนก็เรื่องของข้า มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้าตามเจ้า?”
เพียงแต่ความรู้สึกตกตะลึงที่เผยในแววตายังคงอยู่ นางเคยได้ยินมาจากปากปีศาจโลหิตว่าเหมียวอี้มีวิชาทวนที่ร้ายกาจ ดังนั้นจึงอยากจะสัมผัสสักหน่อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ทำให้ปีศาจโลหิตแพ้ได้ ทั้งยังสามารถข่มกลุ่มวีรบุรุษในการทดสอบหนึ่งร้อยปีได้ด้วย!
แต่ความเคียดแค้นในดวงตาก็ยากจะข่มไว้เช่นกัน รู้สึกไม่ยอมไม่ได้นิดหน่อยที่แพ้ให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลื้มใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียตัวให้กับเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้เสียเปรียบแต่ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบอย่างไร้ความยุติธรรมเท่าไร
เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง เก็บเกราะรบและทวนเอาไว้ แล้วถลันตัวไปข้างกายจงหลีค่วย “พวกเราไปกันเถอะ!”
จงหลีค่วยมองดูหวงฝู่จวินโหรวครู่หนึ่ง แล้วก็เหาะไปกับเหมียวอี้ หลังจากเหาะไปไกลแล้วก็ถามว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? เหมือนข้าจะเคยเห็นที่ตลาดสวรรค์”
“ผู้จัดการหวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชน” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
จงหลีค่วยเข้าใจในทันที “ข้าก็ว่าแล้วว่าเคยเห็นวิชากระบี่แบบนั้นมาก่อน เป็นคนของตระกูลหวงฝู่จริงๆ ด้วย นางจะตามเจ้ามาทำไม?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้สมองมีปัญหา ไม่ต้องไปสนใจนาง” เหมียวอี้ตอบ
จงหลีค่วยหันกลับมามองแวบหนึ่ง “คงไม่สนใจไม่ได้หรอกมั้ง นางตามมาอีกแล้ว”
เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง หวงฝู่จวินโหรวยังตามหลังอยู่จริงๆ ด้วย จงหลีค่วยบอกอีกว่า “ถึงแม้นางจะเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าสะกดรอยตามเจ้าอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เอาความกล้ามากมายขนาดนั้นมาจากไหน?”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบอย่างไร จะตอบว่าทั้งสองเคยนอนด้วยกันก็ไม่ได้ เขาจึงโบกมือเรียกเฮยทั่นออกมาจากกระเป๋าสัตว์เสียเลย แล้วเรียกจงหลีค่วยให้มาขี่เฮยทั่นด้วยกัน อาศัยให้ความเร็วของเฮยทั่นช่วยเหลือ เร่งความเร็วจากไป
“เอ๋! นี่สัตว์พาหนะอะไรของเจ้า ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน?” จงหลีค่วยเดาะลิ้นถาม พร้อมมองสำรวจเฮยทั่นหัวจดหางด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ลุงหนวด วันนี้ท่านพูดมากจริงๆ เลยนะ” เหมียวอี้รำคาญใจ
“ข้าพูดมากเหรอ? ผู้หญิงข้างหลังก็มีสัตว์พาหนะ อย่าหาว่าข้าไม่บอกเจ้าแล้วกัน”
เหมียวอี้หันกลับไปมอง ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก เห็นหวงฝู่จวินโหรวยืนอยู่บนหลังพญาปักษาขนทองตัวหนึ่ง ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเฮยทั่น อีกฝ่ายตามอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รีบร้อน เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขากลัวที่สุดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาพัวพันเขา สงสัยอีกฝ่ายจะมาพัวพันเขาแล้วจริงๆ!
เขากลัดกลุ้มใจ ผู้หญิงคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ตนออกนอกเมือง คงไม่ได้จับตาดูตนอยู่ตลอดหรอกใช่มั้ย?
เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะส่งลูกน้องมาเฝ้าติดตามเขาในระยะยาว และก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่หวงฝู่จวินโหรวจะเฝ้าจับตาดูเขาด้วยตัวเองเป็นเวลานาน ความเป็นไปได้เดียวก็คือผู้หญิงคนนี้รู้ว่าช่วงนี้เขาจะออกมาข้างนอก แล้วใครบอกล่ะ? คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่กี่คน…
ไม่ต้องคิดมากแล้ว ไม่นานก็นึกขึ้นได้ถึงภาพที่หวงฝู่จวินโหรวกับปี้เยว่ฮูหยินเล่นหมากล้อมกันเมื่อวานนี้ เป็นไปได้สูงว่าปี้เยว่ฮูหยินจะหลุดปาก
เหมียวอี้ทำได้เพียงด่าปี้เยว่ฮูหยินในใจ ไม่กล้าด่าต่อหน้า
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี เขาให้เฮยทั่นแบกจงหลีค่วยไปข้างหน้าต่อ ส่วนตัวเองก็ถลันตัวเหาะไปข้างหลัง
เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามา พญาปักษาขนทองก็กระสับกระส่ายนิดหน่อย หลังจากหวงฝู่จวินโหรวปลอบให้สงบลงแล้ว ก็ให้เหมียวอี้เหยียบลงบนหลังพญาปักษาขนทอง
เมื่อเห็นจงหลีค่วยมองกลับมาเป็นระยะ เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวก็รักษาระยะห่าง ทำท่าทางเหมือนชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทำอะไรล่ะ? ครั้งก่อนที่เจ้าบังคับให้ข้านั่งคุกเข่าต่อหน้าฝูงชน ข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!”
…………………………