เก็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่ก้นทะเลสาบนิดหน่อย ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็เริงร่าจนหุบยิ้มไม่ลง พวกกำไลเก็บสมบัติ แหวนเก็บสมบัติก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ใช้เวลาครู่เดียวก็ได้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าประมาณห้าหกเม็ดจากก้นทะเลสาบ
ของสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในแหวนหรือกำไลเก็บสมบัติ แต่ทับถมอยู่ในดินโคลนโดยตรง เห็นได้ชัดว่านักพรตปีศาจ นักพรตผี นักพรตมารก็ตายอยู่ที่นี่เหมือนกัน แมลงนั่นกินแม้กระทั่งนักพรตผี!
แสดงว่ามีนักพรตบงกชรุ้งไม่น้อยมาตายอยู่ที่นี่ ในร่างกายนักพรตของปราสาทดำเนินเซียนไม่มียาเจี๋ยตันแน่นอน แสดงว่าแขกที่มาทำลับๆ ล่อๆ แถวนี้ล้วนตายด้วยน้ำมือเสิ้นหมี เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่านักพรตบงกชรุ้งมากมายขนาดนั้นจะถ่อมาตายที่นี่ทำไม? น่าสงสารเสิ้นหมีที่เรียกคนมาหลายปีแต่ก็ไม่มีใครมาช่วยได้ ยังนึกว่าตัวโดนขังอยู่ในที่รกร้างไร้ผู้คน ที่จริงมีคนมากมายอยากจะช่วยเขา แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นตายเพราะเขากับแมลงในทะเลสาบร่วมมือกัน
ตอนแรกเหมียวอี้ยังค้นหาของด้วยแนวคิดว่าต่อให้ยุงจะขาเล็กแต่ก็ยังมีเนื้อ เก็บเล็กผสมน้อยไปก็ได้ ตอนนี้ถึงได้พบว่านี่ไม่ใช่ขายุง แต่เป็นขาช้างต่างหาก!
ท่านขุนนางเหมียวกะปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ค้นหาอยู่ที่ก้นทะเลสาบอย่างมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ยุ่งวุ่นกับการหาของอย่างถึงอกถึงใจ ทำเอาแมลงที่อยู่ก้นทะเลสาบหนีกันชุลมุน และมลงพวกนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กลับโดนเขาฆ่าทิ้งไปไม่น้อย สุดท้ายก็ว่านอนสอนง่ายแล้ว พวกมันไม่สนว่าเขาจะเคลื่อนไหวทำอะไร พากันหลบอยู่ในกระดูกไม่ยอมออกม
ส่วนเหมียวอี้ก็เป็นเหมือนแม่เหล็กก้อนหนึ่ง ไม่ว่าจะว่ายน้ำไปตรงไหนที่ก้นทะเลสาบ ของที่อยู่ตรงนั้นก็จะถูกดูดออกมาให้เขาโบกมือเก็บ เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม
เขากำลังคิดว่า หลังจากกลับไปแล้ว หงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวกับฝ่าอิน…ฝ่าอินเก็บไว้ก่อนดีกว่า หลังจากหอบเงินกองนี้กลับไป ระหว่างหงเฉิน จีเหม่ยลี่และอวี้หนูเจียว ตนจะทำลายความบริสุทธิ์ของใครก่อนดี? จัดการทีเดียวเลยแล้วกัน ตนเลี้ยงไหวอยู่แล้ว จะขาดความมั่นใจในการทำแบบนั้นได้อย่างไร
คำโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด บางครั้งผู้หญิงก็คือแรงขับเคลื่อนให้ผู้ชายขยันหาเงิน!
ค้นหาสมบัติต่อไปแบบนี้ หลังจากว่ายวนจนทั่วก้นทะเลสาบอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็ยิ้มจนปากเกือบเป็นตะคริว แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ได้มาหนึ่งร้อยกว่าเม็ดแล้ว ยาเจี๋ยตันขั้นห้ามีมูลค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง หรือพูดได้อีกอย่างว่า แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวเขาก็ได้มาแล้วหนึ่งล้านล้านผลึกแดง
จำนวนยาเจี๋ยตันขั้นสี่ก็ยิ่งทำให้ต้องแอบปิดปากหัวเราะ หนึ่งหมื่นกว่าเม็ด! ไม่มียาเจี๋ยตันที่ต่ำกว่าขั้นสี่เลยสักเม็ดเดียว เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นนักพรตที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทอง ก็มาที่ปราสาทดำเนินเซียนไม่ได้เหมือนกัน
ยังมีสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพตายด้วยน้ำมือเสิ้นหมีด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยาเจี๋ยตันขั้นหกมาสองเม็ด ท่านย่าเอ๊ย เม็ดเดียวก็มีราคาหนึ่งล้านล้านผลึกแดงแล้วนะ!
เขาคิดไม่ตกแล้วจริงๆ ทำไมถึงมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพลักลอบมาที่นี่? เขาเดาว่าคงมีคนรู้ว่าปราสาทดำเนินเซียนวางเขตต้องห้ามไว้ที่นี่ จึงอยากจะมาสืบดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ส่วนกำไลเก็บสมบัติที่ช้อนได้จากในทะเลสาบ ก็มีจำนวนสี่หมื่นกว่าวง! ในเวลาหนึ่งแสนกว่าปี ผู้ที่มาที่นี่ทยอยกันเอาสมบัติและชีวิตมาทิ้งไว้!
ตอนที่มีเวลาว่างแล้ว เหมียวอี้ก็ตรวจดูไม่ใส่ใจอีกนิดหน่อย ในกำไลเก็บสมบัติบางวงไม่มีของมีค่าอะไร แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะมีจำนวนเยอะ! สมบัติของนักพรตระดับบงกชทองหลายหมื่นคนมากองรวมอยู่ด้วยกัน ในนั้นยังมีสมบัติของนักพรตบงกชรุ้งและนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพด้วย เมื่อนำของข้างในมารวมกันมันแปลว่าอะไรล่ะ?
ท่านขุนนางเหมียวร่ำรวยแบบพะรุงพะรังนิดหน่อย เขามาเพื่อหาสมบัติ ในห้องถ้ำที่ซ่อนสมบัติไม่มีของล้ำค่าอะไร แต่นอกห้องถ้ำกลับมีทรัพย์สินโยนไว้เป็นกอง แบบนี้มีเหตุผลเสียที่ไหน?
เหมียวอี้คิดว่าตอนนี้ตัวเองพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมประมุขไป๋ไม่ทำให้เสิ้นหมีตายสนิทในทันที ชัดเจนว่ากำลังอาศัยเสิ้นหมีเพื่อสร้างทะเลสาบแห่งนี้ให้เป็นชามสมบัติที่อยู่ตามธรรมชาติ! เวลายิ่งผ่านไปนาน ความร่ำรวยที่สะสมได้ก็ยิ่งเยอะ ชัดเจนว่าเตรียมไว้ให้คนที่จะมาหาสมบัติในตอนหลัง
เขารู้สึกสงสารเสิ้นหมีอีกครั้ง เสิ้นหมีพยายามดิ้นรนสุดชีวิตมาตลอดหลายปีก็เพื่อยกประโยชน์ให้คนอื่น ไม่จำเป็นต้องควบคุมเร่งรัด ก็พยายามลำบากทำงานที่นี่ ทำงานอย่างสุดกำลัง ประมุขไป๋เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์จากเสิ้นหมีอย่างถึงที่สุด!
หลังจากโผล่ออกมาจากทะเลสาบ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เขาเหลือบมองกระดูกขาวที่อยู่ริมฝั่ง แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะไปค้นหาอีก กระดูกที่อยู่บนฝั่งส่วนใหญ่เป็นกระดูกของสัตว์ป่า ไม่มีกระดูกของคน ย่อมไม่มีสมบัติอะไรอยู่แล้ว
เหมียวอี้สงบสติอารมณ์ แล้วรีบฝ่าเมฆหมอกออกไป เห็นเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เมื่อหาทิศทางได้แม่นยำแล้ว เขาก็เหาะไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ไปเหยียบลงตรงจุดที่ปล่อยหวงฝู่จวินโหรวกับจงหลีค่วยไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งสองยังคงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผลึกบนตัวของทั้งสอง ไม่นานทั้งสองก็ลืมตาตื่นขึ้นมา จากนั้นลุกนั่งแล้วมองไปรอบๆ จงหลีค่วยถามอย่างหวาดผวาว่า “นั่นมันพิษอะไรกัน? แก้พิษที่อยู่บนตัวเราได้แล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “โชคดีที่ข้าลงมือได้ทันเวลา พาพวกเจ้ากลับมาได้ทันท่วงที เดาว่าคงพิษคงจะยังไม่ได้ซึมลึก พวกเจ้าค่อยตรวจอาการอีกรอบแล้วกัน ดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ทั้งสองหลับตาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการตัวเองทันที หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร พวกเขาก็ส่ายหน้า หวงฝู่จวินโหรวกลับอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “พวกเราสองคนตกหลุมพรางในทันทีที่บุกเข้าไป ทำไมเจ้าไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ยังมีเวลาว่างมาช่วยชีวิตพวกเราด้วยเหรอ?”
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนล่ะ?” เหมียวอี้ชี้ปากแผลเลือดตรงหว่างคิ้วของตัวเอง “ข้าใช้วิชาลับผ่าแท่นจิตของตัวเอง ถึงได้รักษาแท่นจิตให้กระจ่างชัดเจนได้ ถึงได้ช่วยพวกเจ้าสองคนออกมาได้ทันเวลาไงล่ะ เจ้ายังสงสัยข้าอีกเหรอ?”
ทั้งสองมองดูบาดแผลตรงหว่างคิ้วของเขา ทั้งยังมีรอยเลือดบนใบหน้าและร่างกาย จงหลีค่วยถามอย่างสงสัยเช่นกัน “ผ่าแท่นจิตแล้วมีเลือดไหลออกมาเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ? เจ้าคงไม่ได้ต่อสู้กับใครหรอกใช่มั้ย?”
“วิชาลับไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก!” เหมียวอี้พูดขายผ้าเอาหน้ารอด
หวงฝู่จวินโหรวมองดูสีของท้องฟ้าแล้วถามอีกว่า “เจ้าไปไหนมา? พวกเรานอนอยู่ที่นี่ตอนเที่ยง เจ้าเพิ่งกลับมาตอนฟ้าใกล้จะมืดเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไปไหนเสียที่ไหนกัน? เพื่อที่จะช่วยชีวิตพวกเจ้า ข้าโดนพิษหนักกว่าพวกเจ้าเสียอีก ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ถอนพิษอยู่แถวๆ นี้มาตลอด จะไปที่ไหนได้ล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับไปมองที่เขตต้องห้าม แล้วหันมามองเหมียวอี้อีก “นับว่าเจ้าข้ออ้างเยอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เรื่องที่ไอ้เวรตะไลมันลงมือจู่โจมข้ากะทันหัน จับข้ามัดเอาไว้ จะคิดบัญชียังไงดี?” พอพูดถึงเรื่องนี้ นางก็เรียกได้ว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนที่รักษาภาพลักษณ์มาตลอดอย่างนาง ตอนนี้โดนเล่นงานจนผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้ว
สำหรับเรื่องนี้น่ะเหรอ จงหลีค่วยเงยหน้ามองฟ้า เขาไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้แล้ว
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? ผู้หญิงอย่างเจ้าจับตาดูข้าอยู่ตลอด ข้าสงสัยนิดหน่อยว่าเจ้าเป็นสายลับที่ใครบางคนส่งมาจับตาดูข้า!” แบบนี้เรียกว่าย้อนเล่นงานแทนที่จะรับผิด
สายลับ? หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้ความหมายลึกๆ ที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ภูมิหลังของนางคือสุนัขรับใช้ของตำหนักสวรรค์ นางจึงเริ่มกังวลนิดหน่อย ตะคอกกลับเสียงดังว่า “เจ้าอย่ามาใส่ร้ายคนอื่น! ข้าก็แค่รู้สึกว่าเจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ก็เลยอยากจะดูว่าเจ้าคิดจะทำอะไร!”
เหมียวอี้พูดออกมาตรงๆ เสียเลยว่า “ข้าก็ทำเรื่องที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้นั่นแหละ ข้าหลบๆ ซ่อนๆ ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปแล้ว แล้วยังไงต่อล่ะ? ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ตกลงมั้ย? ถ้าข้าจะจับตาดูเจ้าไว้ตลอด เจ้าจะรู้สึกยังไง?”
“เจ้า…” หวงฝู่จวินโหรวชี้หน้าเขาพร้อมด่าว่า “เจ้าลงมือลับหลังข้า ยังมีหน้ามาอ้างเหตุผลอีกเหรอ?” เรื่องนี้นางคิดแล้วก็ปวดใจ สองคืนที่ผ่านมาทั้งสองยังทำเหมือนรักกันดูดดื่ม ยังชมทิวทัศน์ด้วยกันอยู่เลย นางรู้สึกมีความสุขมากมาตลอด ใครจะคิดว่าผู้ชายคนนี้จะแปรพักตร์ทันที่ใส่กางเกงเสร็จ ไม่น่าเชื่อว่าจะลอบโจมตีนาง ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
“เลิกเถียงกันได้แล้ว!” จงหลีค่วยพูดห้าม แล้วชี้ไปบนฟ้าที่อยู่ไกลๆ พร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นรึเปล่า ปรากฏการณ์มหัศจรรย์บนท้องฟ้าหายไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าสังเกตมาตลอด เหมือนท้องฟ้าผืนนี้จะกลับมาเป็นปกติแล้วนะ”
ทั้งสองเงยหน้ามอง แล้วก็มองไปยังท้องฟ้าโดยรอบอีก เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ พวกเขารู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
เมื่อเห็นคู่แค้นทั้งสองเลิกเถียงกันแล้ว จงหลีค่วยก็กุมหมัดไอหนึ่งที แล้วเริ่มพูดถึงเรื่องสำคัญ “เหมียวอี้ ข้ารู้สึกว่าฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ข้าคิดว่ารีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะเหมาะสมกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเผยพิรุธขึ้นมา ข้าก็ไม่มีทางอธิบายต่อสำนักได้เลย!”
หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้ นางยังคิดว่าการที่เหมียวอี้ถ่อมาที่นี่จะต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่นอน เดาว่าเหมียวอี้คงไม่ออกไปจากที่นี่ง่ายๆ
ใครจะคิดว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็พยักหน้าบอกว่า “ได้! เชื่อฟังท่าน อย่างไรเสีย การโดนจับตามองอยู่ตลอดก็ทำให้หมดอารมณ์ชมทิวทัศน์อยู่แล้ว รีบกลับกันเถอะ”
กลับไป? หวงฝู่จวินโหรวพูดไม่ออก ไม่ง่ายเลยกว่านางจะขอลาหยุดกับมารดาตัวเองได้ ยังอยากจะแอบใช้ชีวิตบันเทิงกับเหมียวอี้สักระยะ นี่จะกลับแล้วเหรอ?
นางรู้สึกไม่ค่อยยอม แต่อีกสองคนตัดสินใจว่าจะไปแล้ว ถ้านางต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้นทั้งสามจึงออกไปจากที่นี่ตอนนี้ ก่อนจะไปพวกเขากลับไปหาหลิวฮั่นอีก นำบัตรผ่านและป้ายคำสั่งไปให้หลิวฮั่น ให้หลิวฮั่นไปกล่าวอำลาปราสาทดำเนินเซียนแทนพวกเขา
ขณะมองส่งทั้งสามเหาะขึ้นฟ้าไป หลิวฮั่นกลับขมวดคิ้วมุ่น เมื่อได้ยืนยันหน้าตาของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวใกล้ๆ อีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จำผิด…
ท้องฟ้ามืด แล้วก็สว่างอีกครั้ง
ตอนที่ดวงดาวยังกะพริบแสงอยู่บนท้องฟ้า ขอบฟ้าสว่างเล็กน้อย จิ่งฉงเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนเหาะมาเหยียบลงนอกตำหนักเมฆาล่องลอย ยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท แล้วกุมหมัดคารวะ “ศิษย์จิ่งฉง ขอพบปรมาจารย์!”
ประตูที่ปิดสนิทส่งเสียงเสียงดังทึบ เปิดออกเองโดยไร้ลม เมื่อประตูเปิดออกแล้วสี่ส่วน จิ่งฉงถึงได้ก้าวเดินเข้าไป
ในตำหนักเงียบขรึมที่แทบจะว่างเปล่าไร้สิ่งของ บนพื้นที่ปูด้วยหยกขาว ชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ในตำหนักมีเสาหลักขนาดใหญ่สี่ต้น ทั้งต้นสร้างจากหยกขาว
ชายชราสวมชุดคลุมยาวตัวใหญ่โคร่งสีขาวดุจหิมะ
ผมสีขาวราวกับหิมะยาวมาก ยาวคลุมร่างกายเขาไปครึ่งหนึ่ง แผ่อยู่บนพื้นข้างหลังของเขาเป็นรูปครึ่งวงกลม เหมือนตั้งแต่ยอดศีรษะลงมาถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีเงินหนึ่งชั้น ทั้งยังมีคิ้วหนาสีขาว ตรงหว่างคิ้วเป็นลายเมฆสีทองดอกหนึ่ง ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นดูสุขุมเยือกเย็น ใต้ริมฝีปากหนามีเคราสีขาวที่ย้อยจนถึงหน้าอก
ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปรมาจารย์ที่บุกเบิกสร้างปราสาทดำเนินเซียน และเป็นอาจารย์ปู่ของจิ่งฉงเช่นกัน เขาชื่อว่าโหยวอี๋!
“ศิษย์จิ่งฉงคารวะปรมาจารย์!” เจ้าสำนักจิ่งฉงยืนอยู่ตรงจุดที่ห่างออกไปสองจั้ง กุมหมัดคารวะพร้อมโค้งกาย
เมื่อเห็นโหยวอี๋ไม่ทำอะไรเสียที และไม่เอ่ยปากพูดอะไรด้วย เสียงที่เยือกเย็นเลื่อนลอยจึงดังอยู่ในตำหนัก “เจ้าสำนักมาที่นี่ด้วยธุระอะไร?”
จิ่งฉงยังคงกุมหมัดค้างไว้ พร้อมบอกว่า “ตามคำสั่งของปรมาจารย์ ศิษย์เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทุกค่ำคืน แต่เมื่อคืนท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง แสงขั้วโลกหลากสีที่อัศจรรย์บนท้องฟ้าได้หายไปแล้ว…”
เขายังพูดไม่ทันจบ โหยวอี๋ที่นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านเหมือนรูปปั้นมาตลอดก็พลันลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งคู่ฉายแววคมกริบ จู่ๆ ในตำหนักก็มีลมพัดวูบ ให้ความรู้สึกเหมือนจะเกิดลมพัดเมฆเคลื่อนกะทันหัน ผมสีเงินที่คลุมร่างโหยวอี๋ปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขากระวนกระวายถึงขีดสุด
…………………………