นี่เรียกว่าหลักการอะไรกัน ต่างคนต่างมีปณิธานของตัวเอง ทำไมกลายเป็นดูถูกเจ้าไปเสียแล้วล่ะ?
เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี ไม่เข้าจว่าในหัวของผู้หญิงคนนี้คิดอย่างไร เรื่องแบบนี้ทำให้อัดอั้นความโกรธว้ในใจได้ด้วยเหรอ? เขาพบว่าบางครั้งความคิดของผู้หญิงก็ไร้เหตุผลเหมือนกัน
แค่นั้นยังไม่หมด จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็นึกอะไรขึ้นได้ “ลืมไปเลย เกรงว่าหลางหลางหวนหวนคงจะช่วยปิดบัง หงเฉินก็คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ เจ้าไปห้องข้างๆ เรียกหญิงรับใช้ทั้งสองคนของหงเฉินมาช่วยหน่อย”
“คุณหนูชิว แบบนี้ไม่ใช่แล้วมั้ง จำเป็นต้องโอ้อวดแบบนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจ
“ข้ามีความสุข!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองมา “เจ้าไม่ดีใจเหรอที่ข้ามีความสุข?”
ก็ได้! จะไม่พูดอะไรทั้งนั้นแล้ว เหมียวอี้ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
เมื่อออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เขาก็มาที่ห้องข้างๆ ผลักประตูห้องของหงเฉินออกโดยตรง ในห้องไม่มีคนอยู่ เดิมทีห้องนี้ก็มีเพื่อจัดแสดงไว้เท่านั้น
สายตาขไปหยุดอยู่ที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของหงเฉิน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียก “หงเฉิน!”
ผ่านไปไม่นาน ประตูมายาสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา พอก้าวเข้าไปในนั้น ก็ได้ยินเสียงจื่ออวิ๋นกับจื่อหัวที่มาต้อนรับคำนับพร้อมกัน
“ฮูหยินเรียกให้พวกเจ้าสองคนไปหา” เหมียวอี้กล่าว
ฮูหยินของอาณาเขตนี้ นอกจากอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีคนอื่นแล้ว สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวเรียกหาพวกนางด้วยธุระอะไร ทำได้เพียงเอ่ยรับแล้วออกไป
พอทั้งสองคนออกไป เหมียวอี้ก็เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แต่ตะโกนเรียก “หงเฉิน!”
“ทางนี้!” เสียงที่ผ่อนคลายของหงเฉินดังมาจากสวนดอกไม้
เหมียวอี้ได้ยินแล้วเดินไปหา พบว่าหงเฉินยังคงนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ในศาลา เขาเอามือไขว้หลังเดินเข้าไป พองอเข่านั่งลงก็บอกว่า “อุดอู้อยู่ในนี้ทั้งวันไม่ลำบากเหรอ? เหมือนเจ้าจะยังไม่เคยไปเดินตลาดสวรรค์ข้างนอกแบบจริงๆ จังๆ เลยนะ ถ้ามีเวลาก็ออกไปเดินเล่นหน่อยสิ ออกไปรับลมบ้าง”
หงเฉินยิ้มอ่อนพลางพยักหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “อวิ๋นจือชิวเรียกพวกนางไปทำอะไร?”
เหมียวอี้ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เรียกพวกนางสองคนไปทำงานแล้ว สองสามวันนี้คงไม่ได้กลับมา เจ้าคงขาดคนปรนนิบัติไปสักระยะ”
“ข้าไม่ต้องการคนปรนนิบัติหรอก” หงเฉินส่ายหน้า
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ตรงนี้มีชายหญิงอยู่กันตามลำพังสองคน และตอนนี้จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวก็ยังไม่มารบกวนด้วย เขาจึงจ้องหงเฉินพร้อมกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “ทางนี้มีผู้หญิงอยู่กันเป็นกลุ่มวุ่นวาย ข้าไม่สะดวกจะกลับจวนผู้บัญชาการด้วย พักอยู่กับเจ้าสักสองสามวันได้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องเกรงใจ ที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้าเหมือนกัน ข้าไม่มีสิทธิ์ห้าม เจ้า…” หงเฉินหยุดพูดกะทันหัน เพราะเห็นเขากำลังจ้องใบหน้าตนอยู่ สายตาค่อนข้างประหลาด นางพอจะเข้าใจแล้ว ว่าสิ่งที่เหมียวอี้เรียกว่าพักอยู่ที่นี่สองสามวันหมายความว่าอะไร นางเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากได้ข้าเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ “สวยจนอยากกลืนกิน ข้ามีความคิดแบบนั้น หากเจ้าไม่ขัดขืน”
หงเฉินเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้าจะไปอาบน้ำ!”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะลงมือกะทันหัน คว้ามือเรียวสวยของนาง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดโดยตรง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อาบด้วยกันเถอะ!”
“ข้าไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่ค่อยคุ้นชิน กลัวจะอาบน้ำได้ไม่เต็มที่ เจ้าทำแบบนี้ข้าจะยิ่งประหม่า!” หงเฉินค่อนข้างอึดอัด
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวที่อ่อนนุ่มของนาง แล้วใช้มืออีกข้างช้อนคางนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามีครั้งแรกแล้ว ต่อไปข้าอาจจะมาหาบ่อยๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ชินไปเอง!”
หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ จนแทบจะไม่สังเกตเห็น นางไม่พูดอะไรแล้ว นับว่ายอมรับแล้ว
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน จับหงเฉินอุ้มไว้อย่างเผด็จการมาก เดินก้าวยาวอุ้มนางเข้าไปในเรือนด้านใน เขาทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล กลิ่นอายยามเมาได้นอนหนุนตักหญิงงาม ยามตื่นได้กุมอำนาจของขุนนางปรากฏบนตัวเขารางๆ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนตอนที่เป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์แล้ว ใจอันบริสุทธิ์ที่รักษากฎระเบียบไม่มีอยู่บนตัวเขาอีกแล้ว เมื่อมีศักยภาพก็ทำให้สภาพจิตใจเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ข้างอ่างอาบน้ำ หงเฉินก้มตัวยื่นมือไปทดสอบความอุ่นของน้ำ มือที่เรียวงามข้างหนึ่งเขี่ยอยู่ในน้ำซ้ำๆ อย่างนั้น ทำท่านี้ติดต่อกันนานมาก นางไม่รู้จริงๆ ว่าต่อไปจะเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างไร นางยังไม่เคยเปลื้องผาต่อหน้าผู้ชายมาก่อน
ปิ่นปักผมถูกคนที่อยู่ข้างหลังดึงออกแล้ว ผมที่ดำขลับเด้งสยายออก ผ้าคาดเอวสีแดงก็ถูกดึงออกแล้วเช่นกัน มือคู่นั้นเริ่มขยับจากหัวไหล่นาง ถอดเสื้อผ้าออกจากหัวไหล่นางเบาๆ เริ่มจากหัวไหล่ที่เกลี้ยงเกลา เรือนร่างที่งดงามถูกเปิดเผยอยู่กลางสายลม…หลังจากเปลือยเปล่าไปทั้งตัวแล้ว ภายใต้การสัมผัสจากนิ้วของใครบางคน หงเฉินตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้หันไปมองคนข้างหลังเลย นางเอามือกุมหน้าอกพร้อมก้าวเท้าลงไปในอ่างน้ำ ตอนที่นั่งลงในน้ำแล้ว แขนสองข้างก็ยังไม่ปล่อยออกจากหน้าอก นางเอียงหน้าไปด้านข้าง ไม่กล้ามองหน้าใครบางคน รู้สึกได้ว่าเขาลงมาอยู่ในอ่างน้ำแล้วเช่นกัน
นางรู้สึกได้ว่ามีคนดึงมือของนาง พยายามแยกแขนสองข้างของนางที่กำลังใช้ปิดป้องหน้าอก หลังจากดึงดันได้ครู่เดียวก็เลิกขัดขืนแล้ว นางวางมือสองข้างลงในน้ำ จากนั้นก็มีมือยื่นเข้ามาดึงหน้านางให้หันกลับมา ทำให้นางเห็นหน้าของเหมียวอี้
ในดวงตาที่งดงามใสแจ๋วฉายแววเขินอาย จมูกโด่งปากแดง ใบหน้างามดุจภาพวาด เหมียวอี้ลูบไล้ใบหน้านาง นึกถึงภาพตอนเห็นนางครั้งแรกที่เมืองโบราณฉางเฟิง
ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน หงเฉินลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ากังวลมาก!”
เหมียวอี้ตอบกลับนางด้วยการปฏิบัติจริง…
รสชาติยามประตูที่รกร้างมีแขกมาเยือนเป็นครั้งแรก ค่ำคืนที่งดงามนั้นแสนสั้น ฟ้าสว่างแล้ว เหมียวอี้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางรสชาติอร่อยของเมื่อคืน เขาก็บิดขี้เกียจอย่างสบายเนื้อสบายตัว พอลุกขึ้นมา ก็พบว่าไม่เห็นหงเฉินอยู่ในห้องแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอม เขาเลิกผ้าห่มออก สายตาไปหยุดอยู่ที่รอยเลือดสีแดงเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ลงจากเตียงไปแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
เหมียวอี้ออกจากประตูมาตามหา เห็นหงเฉินในสวนดอกไม้อีกแล้ว นางยังคงนั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่ในศาลา เมื่อได้ยินเสียงเขานางก็ลืมตา แล้วพยักหน้าเบาๆ ทักทายเขา “ตื่นแล้วเหรอ?”
สีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็น ราวกับเป็นคนละคนกับผู้หญิงคนเมื่อคืนที่สุดจะทนกับเรื่องระหว่างชายหญิง ราวกับระหว่างทั้งสองคนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน
เหมียวอี้เดินไปยืนนอกศาลาแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าช่างปรนนิบัติคนไม่เป็นเลยจริงๆ”
หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “ยังต้องให้ข้าทำอะไรอีกเหรอ?”
“…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามกลับว่า “เมื่อคืนเจ้าไม่รู้สึกผ่อนคลายบ้างเชียวเหรอ?”
หงเฉินทำท่าครุ่นคิด แล้วตอบตามความจริง “ตอนแรกก็ไม่ผ่อนคลาย แต่ตอนหลังยังดีหน่อย รู้สึกมีความสุขมาก ดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ ข้าไม่ต่อต้าน”
เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ทำถึงขนาดนี้ ทำไมยังรู้สึกว่าไม่มีทางดึงระยะห่างระหว่างนางกับเขาให้เข้าใกล้กันได้ เขาถามว่า “เจ้าไม่อยากคุยอะไรกับข้าสักหน่อยเชียวเหรอ?”
“ไม่รู้จะคุยอะไร ใช่แล้ว บาดแผลตรงหน้าผากเจ้าคืออะไรกันแน่ ทำไมข้ารู้สึกว่ามันไม่มีท่าทีว่าจะสมานตัวเลย?” หงเฉินถาม
เหมียวอี้ชี้ตรงหว่างคิ้วตัวเอง “ถ้าข้าบอกว่าข้ามีดวงตาที่สามงอกออกมาล่ะ เจ้าจะเชื่อมั้ย?”
“ไม่เชื่อ!” หงเฉินส่ายหน้า
ท่าทีและความรู้สึกของนางไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด ไม่อยากผิดบังอะไรเหมียวอี้ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ
เหมียวอี้จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หวังว่าเจ้าจะไม่กลัว ดูให้ดีนะ!” พูดจบก็หลับตาสองข้าง
หงเฉินเอียงหน้ามองเขา ตอนแรกสีหน้ายังสงบเยือกเย็น จากนั้นดวงตางามก็ค่อยๆ เบิกกว้าง เพราะปากแผลตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ที่นางกำลังมองอยู่เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เห็นลูกตาข้างหนึ่งโผล่อยู่ในปากแผลนั้น เป็นลูกตาใสสีรุ้ง ไม่น่าเชื่อว่าปากแผลนั้นจะกลายเป็นดวงตาข้างหนึ่ง
หงเฉินเผยอปากเล็กน้อย ในดวงตาและใบหน้าเผยความรู้สึกตกตะลึงและเหลือเชื่อ
เรื่องที่เกินจริงกว่านั้นเกิดขึ้นในทันที เสาแสงสายหนึ่งที่มีรัศมีสีรุ้งวนเวียนเป็นรูปใบพัดยิงออกมาจากดวงตาสีรุ้ง มีความยาวสิบกว่าจั้ง โอ่อ่าอลังการ ทำให้คนรู้สึกใจหายใจคว่ำ
หงเฉินนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว นางลุกพรวดขึ้นมา ในดวงตางามเต็มไปด้วยความตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว กำลังจ้องเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตา
สีหน้าของเหมียวอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไปเทียบกับภาพที่มองเห็นตอนอยู่ในถ้ำใต้ดินก้นทะเลสาบของดาวดำเนินเซียนไม่ได้แล้ว เขาพบว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไร้อุปสรรคบังสายตา ดวงตาที่สามของตนสามารถข้ามผ่านฟ้าบนกำแพงบ้าน เห็นห้องที่อยู่นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว แล้วก็มองผ่านหน้าต่างห้องออกออกไป สายตาลอดผ่านเส้นขอบฟ้า มองเห็นดาราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเหมือนเขื่อนแตก ถูกดวงตาคู่นั้นดูดพลังอย่างบ้าคลั่ง
แต่เขาก็ค้นพบเช่นกันว่า ขอเพียงตนยิ่งใส่พลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปจำนวนมาก ดวงตาข้างนั้นก็เหมือนจะยิ่งมองได้ไกล เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า
สายตาเขาจ้องอยู่บนดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งในดาราจักรแล้ว เขาพยายามใส่พลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มไปอีก ชั่วพริบตาเดียวสายตาก็ขยายยื่นออกไป ดาวเคราะห์เล็กๆ นั่นขยายใหญ่ขึ้นไปอีก ดาวเคราะห์รกร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองปรากฏสู่สายตาเขาในระยะใกล้ หลุมบ่อขรุขระบนดาวเคราะห์ สภาพพื้นที่ของดาวเคราะห์ สีสันและรูปร่างก้อนหินบนดาวเคราะห์เผยให้เห็นอย่างชัดเจน ความมืดก็ไม่มีทางขัดขวางการใช้สายตาสอดแนมดาวเคราะห์ของดาวดวงนั้นได้อยู่ดี
เขาไม่รู้ว่าตัวเองมองเห็นได้ไกลเท่าไรกันแน่ แต่แน่ใจได้ว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของตัวเองมองไม่ได้ไกลขนาดนี้แน่นอน ความรู้สึกอันงดงามยามมองสอดแนมทุกอย่างได้แบบนี้ไม่มีทางบรรยายเป็นคำพูดได้เลย เขากวาดมองหน้าตาของดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างหิวกระหาย
สุดท้ายก็รู้สึกไม่ถึงอกถึงใจ สายตาแฉลบผ่านดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างรวดเร็ว ไปหยุดอยู่บนดาวเคราะห์อีกดวงที่อยู่ไกลกว่าเดิม ดาวเคราะห์ดวงนั้นขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เอง ในหัวเขาก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ จู่ๆ ก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว ตัวเองเหมือนจะหมดความรู้สึกตัวไปในชั่วพริบตาเดียว
สิ่งที่ปรากฏนสายตาของหงเฉินกลับเป็นอีกภาพหนึ่ง นางเห็นสีหน้าของเหมียวอี้ซีดลงเรื่อย จู่ๆ ดวงตาข้างนั้นของเหมียวอี้ก็อับแสง ดวงตาปิดลง เหมียวอี้อ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ล้มหมอบอยู่บนพื้นแล้ว
มีเสียงกระแทกพื้นดังปั้ง ถึงได้ดึงสติหงเฉินกลับมาจากความตกตะลึง นางถลันตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขย่าร่างเขาพลางเรียกปลุก “เหมียวอี้ เหมียวอี้ เจ้าเป็นอะไรไป? เหมียวอี้…”
ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ผล หงเฉินจึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในร่างกายเขาทันที ผลก็คือพบว่าในร่างกายเหมียวอี้ไม่มีการบาดเจ็บอะไร เป็นเพียงปฏิกิริยาหลังจากสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเท่านั้นเอง
เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หงเฉินก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็รีบบุกเข้ามา พอสายตามองมาทางนี้ นางก็ตวาดถามด้วยเสียงดุดันทันที “เจ้าทำอะไรเขา?”
“เปล่า เมื่อครู่เขาเพิ่งมีความผิดปกติ…” หงเฉินชี้ปากแผลตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดเสริมว่า “เหมือนจะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร แค่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไปเท่านั้นเอง”
“ดวงตาที่สาม?” อวิ๋นจือชิวจ้องมองปากแผลตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วรีบคุกเข่าลงข้างกายเหมียวอี้เพื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ หลังจากแน่ใจแล้วว่าร่างกายของเหมียวอี้ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงเหมือนอย่างที่หงเฉินบอก นางก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้อีก พบว่าตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ปรากฏพื้นที่ว่างเล็กช่องหนึ่ง และในนั้นก็ซ่อนลูกตาไว้หนึ่งดวง
…………………………