อวิ๋นจือชิวพอจะฟังเข้าใจคร่าวๆ แล้ว แต่กลับไม่กล้าแน่ใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้าตระหนักได้ถึงความลับในการบุกเบิกสร้างพื้นที่ว่างบนกายเนื้อของเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “เหมือนจะมีจุดที่ตระหนักได้บ้าง พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมนักพรตปีศาจถึงสามารถหดหรือขยายร่างกายให้กลายเป็นมนุษย์ได้”
อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นักพรตปีศาจกลายร่างเป็นคน กายเนื้อต้องผ่านการเปลี่ยนสภาพ เดิมทีตอนเปลี่ยนสภาพกายเนื้อก็เป็นขั้นตอนของการหลอมใหม่อยู่แล้ว ขั้นตอนนี้สามารถทำให้นักพรตปีศาจตระหนักได้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่างในการบุกเบิกพื้นที่ว่าง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นักพรตปีศาจโดยทั่วไปก็ใช่ว่าอยากจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็เปลี่ยนได้ แน่นอนว่าปีศาจจิ้งจอกพันหน้าของปี้เยว่ฮูหยินเป็นข้อยกเว้น ขนาดนักพรตปีศาจยังเป็นแบบนี้เลย ส่วนมนุษย์ก็ไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนร่างโดยกำเนิดอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้มีคนตระนักได้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งของพื้นที่ว่าง ก็ทำได้เพียงทดลองมันบนวัสดุหลอมของวิเศษเหมือนกับนักหลอมของวิเศษ เจ้าเคยเห็นนักหลอมของวิเศษคนไหนสร้างพื้นที่ว่างบนร่างกายตัวเองมั้ยล่ะ? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็เท่ากับฆ่าตัวตาย ถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ก็ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งกดข่มพลังทำลายล้างของช่องว่างได้ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทดลองบนกายเนื้อของตัวเอง เจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่คงจะเคยได้ยินมาก่อน คนที่สามารถสร้างช่องว่างบนร่างกายตัวเองได้ โดยทั่วไปล้วนมีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพทั้งนั้น”
“แล้วการที่ปีศาจหอยสร้างช่องว่างตรงหว่างคิ้วของข้าจะอธิบายว่ายังไง? ตอนที่เขาทำแบบนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ก็มีจำกัดเหมือนกัน”
“เห็นได้ชัดว่าเขาทำจนชำนาญแล้ว และช่องว่างที่เขาสร้างตรงหว่างคิ้วเจ้าก็เล็กเกินไป ไม่เพียงพอที่จะทำให้เจ้าบาดเจ็บด้วย! หนิวเอ้อร์ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเสี่ยงอันตราย เจ้าไม่มีประสบการณ์จึงไม่มีทางควบคุมขนาดในการสร้างช่องว่าง มิหนำซ้ำต่อให้เจ้าเรียนรู้จนเข้าใจสิ่งนี้แล้วยังไงต่อล่ะ? มีกำไลเก็บสมบัติคอยช่วยอยู่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้มาทรมานบนกายเนื้อของตัวเอง”
“ไม่ต้องห่วง ตอนที่ยังมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับวิธีการบุกเบิกช่องว่าง ข้าแค่อยากจะถือโอกาสเก็บตัวศึกษาอย่างละเอียดสักหน่อย ถ้าไม่มีความมั่นใจข้าก็ไม่ทดลองง่ายๆ หรอก”
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันแล้ว ทั้งสองก็เก็บเฮยทั่น แล้วกลับไปที่ตลาดสวรรค์
เมื่อกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ในร้านโฉมเมฆา สองสามีภรรยาก็เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ให้มาหา
ในศาลา เมื่อเห็นสองสามีภรรยานั่งยิ้มบางๆ จ้องพวกนางสองคน พวกนางก็สบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมทำแบบนี้
เป็นเหมียวอี้ที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ายังจำภาพเหตุการณ์ที่พวกเจ้าติดตามรับใช้ข้าตอนข้ามาถ้ำคล้อยบูรพาครั้งแรกได้ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ตอนแรกพวกเจ้าปรนนิบัติข้าอย่างสุดกำลังความสามารถ ตอนหลังก็ติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินของข้า อดทนทำงานด้วยความยากลำบาก จงรักภักดีมาตลอด พวกเจ้าสองคนเองก็รู้ ว่าข้ากับฮูหยินไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนนอก ถึงแม้ในนามพวกเจ้าจะเป็นสาวใช้ แต่ข้าเห็นพวกเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าเสมอมา ฮูหยินก็เห็นพวกเจ้าเป็นน้องสาวเช่นกัน แน่นอน ฮูหยินเจ้าอารมณ์กว่าข้านิดหน่อย”
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวค้อนใส่เขา
การที่ทั้งสองพูดจาดูเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ กลับทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ถามว่า “นายท่าน ฮูหยิน พวกเราทำอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“คิดมากไปแล้ว!” เหมียวอี้โบกมือ แล้วพยักหน้าบอกอวิ๋นจือชิว “เอาของให้พวกนางเถอะ”
อวิ๋นจือชิวพลิกมือหยิบแผ่นหยกออกมาสี่แผ่น มีสองแผ่นวางซ้อนกัน วางซ้อนกันสองแผ่นอยู่ทางซ้ายและขวาบนโต๊ะ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มสนิทสนม “นายท่านกำลังตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษฉบับสมบูรณ์มาตลอด คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ แต่มันก็เคยผ่านมือพวกเจ้ามาแล้ว ในใจย่อมรู้ชัด ตอนนี้นายท่านรวบรวมเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นภาคคนกับภาคดินได้ครบแล้ว เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเป็นวิชามาร ถ้าให้พวกเจ้าฝึกพวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงวรยุทธ์ทั้งตัว ไม่เหมาะสมกับพวกเจ้าสองคน ถึงแม้นายท่านจะยังตามหาส่วนหลังของอีกสามเคล็ดวิชา แต่มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจก็เหมาะสมกับนักพรตปีศาจ เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็เหมาะกับนักพรตผี หฤทัยสูตรสุขาวดีเพราะกับนักพรตพุทธ วิชาพวกนั้นไม่เหมาะสมกับพวกเจ้า ดังนั้นหลังจากที่นายท่านไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจนำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นภาคดินกับภาคคนมาให้ถ่ายทอดให้พวกเจ้าสองคนฝึก”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วปลาบปลื้มดีใจ ต่อให้ทั้งสองนอนหลับฝันก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้ฝึกเคล็ดวิชาเดียวกับหกปราชญ์ ทั้งยังได้ฝึกเคล็ดวิชาส่วนที่สมบูรณ์กว่าหกปราชญ์ด้วย ทั้งสองจึงคำนับขอบคุณพร้อมกันทันที “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “กล่าวขอบคุณก็พอแล้ว คนบ้านเดียวกันพูดจาภาษาเดียวกัน พวกเจ้าสองคนคือคนสนิทข้างกายของข้ากับนายท่าน เมื่อพวกเจ้ามีศักยภาพที่แข็งแกร่งก็จะเป็นผลดีกับครอบครัวนี้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ถ้านายท่านมีโอกาสหาภาคฟ้าของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพบจริงๆ ก็จะนำมาให้พวกเจ้าในทันที พวกเจ้าฝึกฝนภาคคนกับภาคดินไปก่อนแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับอย่างยินดีปรีดา
เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าฝึกวิชาเดียวกัน แต่ข้าคิดว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องรวมตัวไปฝึกวิชาเดียวกันหรอก ในหกเคล็ดวิชาพิเศษ นอกจากเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ดีกว่านิดหน่อย แต่ที่เหลืออีกห้าเคล็ดวิชาก็มีข้อดีต่างกันไป ไม่อย่างนั้นจะรักษาสมดุลที่พิภพเล็กมาหลายปีได้อย่างไร ข้าก็เลยเลือกสองเคล็ดวิชานี้มาให้พวกเจ้าเลือก ตอนนี้สองเคล็ดวิชาวางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว เพื่อความยุติธรรม พวกเรามาจับฉลากกันเถอะ!”
เขาโบกมือดูดกิ่งไม้แห้งจากพุ่มดอกไม้ข้างหลังมาหักเป็นสองส่วน ทำท่าทางเหมือนเล่นอย่างสนุกสนาน
เพี้ยะ! ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตบปัดกิ่งไม้จากมือเจ้าทิ้ง แล้วหันกลับมาบอกหญิงรับใช้ทั้งสองว่า “อย่าไปเล่นไร้สาระกับเขา มาหยิบเอาเอง ใครหยิบอะไรไปก็นับว่าได้วิชานั้น พวกเดียวกันไม่มีอะไรน่าแย่งกัน”
สองสาวมองเหมียวอี้ที่กลอกตามองบนแวบหนึ่ง แล้วเม้มปากขำพร้อมเอ่ยรับ “เจ้าค่ะ!”
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าก่อนสิ!”
“พี่สาว ท่านเลือกก่อนเถอะ”
ทั้งสองเริ่มเกี่ยงกันแล้ว อวิ๋นจือชิวจึงตบโต๊ะแล้วบอกว่า “พวกเจ้าจะเกี่ยงอะไรกัน? คนน้องเลือกก่อน พี่สาวสมควรจะยอมให้น้องสาว เสวี่ยเอ๋อร์เลือกก่อน”
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ สองสาวก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพียงแต่เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เลือก แต่ยื่นมือหยิบอันที่อยู่ใกล้ อีกวิชาหนึ่งจึงกลายเป็นของเชียนเอ๋อร์ไป หลังจากทั้งสองอ่านแล้วก็ต่างคนต่างรายงานของตัวเอง เชียนเอ๋อร์ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสองภาค เสวี่ยเอ๋อร์หยิบได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงสองภาค
“ห้ามเปิดเผยวิชานี้ต่อภายนอก พวกเจ้าท่องจำให้ขึ้นใจก่อน แล้วตอนหลังอย่าลืมทำลายแผ่นหยกทิ้ง” อวิ๋นจือชิวสั่งอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องที่ร้ายแรงของมัน เอ่ยรับแล้ว
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกช่างไม้น่าจะมากันครบแล้วนะ เสวี่ยเอ๋อร์ ไปบอกให้พวกเขาสี่คนเข้ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์เร่งฝีเท้าเดินออกไป ส่วนเชียนเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นแล้วไปยืนอยู่ข้างหลังสองสามีภรรยา
ผ่านไปครู่เดียว บัณฑิต ช่างไม้ ช่างหินและพ่อครัวก็เข้ามาพร้อมกัน พอเข้ามาในศาลาก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วคำนับพร้อมกัน “นายท่าน ฮูหยิน!”
อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี “พวกเจ้าสี่คนติดตามรับใช้ข้ามาหลายปี ผลงานอะไรก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ความลำบากลำบนก็เห็นๆ กันอยู่ พวกเราดูเหมือนมีความสัมพันธ์แบบนายบ่าว แต่ความจริงแล้วเหมือนสหาย ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ข้าจะไม่พูดจามากพิธีรีตองแล้ว เรื่องเป็นอย่างนี้นะ เฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือนายท่าน อีกห้าปราชญ์ก็มาที่พิภพใหญ่เช่นกัน ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายก็คือมอบเคล็ดวิชาฝึกตนมาให้พวกเรา ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะอะไร?”
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสี่คนได้รู้ว่าฝ่ายตัวเองได้เคล็ดวิชาฝึกตนมาจากหกปราชญ์แล้ว พวกเขาแอบตกตะลึงในใจ หัวใจเต้นรัวด้วยเช่นกัน พอจะเดาเจตนาของอวิ๋นจือชิวได้แล้ว
อวิ๋นจือชิวพูดต่อไปว่า “กลุ่มของพวกเราต้องมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จะได้อยู่ที่พิภพใหญ่อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น หลังจากข้าปรึกษากับนายท่านแล้ว นายท่านก็อนุญาตให้นำเคล็ดวิชาของหกปราชญ์มาให้พวกเจ้าฝึก ช่างหินกับพ่อครัวเป็นนักพรตมาร นี่คือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ท่านปู่ของข้าให้มา พวกเจ้าสองคนนำไปฝึกฝนให้บรรลุด้วยกันเถอะ” ขณะที่พูดก็ยื่นแผ่นหยกให้ทั้งสองคน
จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกอีกสองแผ่นมาวางบนโต๊ะ “บัณฑิตกับช่างไม้ เคล็ดวิชาอื่นๆ ก็ไม่เหมาะสมกับพวกเจ้าเหมือนกัน นี่คือมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของมู่ฝานจวิน หยิบไปคนละวิชา ใครหยิบได้อันไหนก็ฝึกอันนั้น อย่างอื่นไม่ต้องบ่นแล้ว”
บัณฑิตกับช่างไม้สบตากันแล้วยิ้ม หันตัวเข้าหากัน เป่ายิงฉุบกันอยู่อย่างนั้น ปรากฏว่าบัณฑิตชนะ จึงได้หยิบก่อน ทำให้ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามา ส่วนช่างไม้ก็หยิบได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณฮูหยิน!” ทั้งสี่กล่าวขอบคุณ ภายนอกยังคงยิ้มหน้าทะเล้นเหมือนตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ แต่ภายในใจซาบซึ้งไม่หยุด ในปีที่อยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุพวกเขารู้สึกเหมือนมองไม่เห็นอนาคตและความหวัง แต่หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมเมฆาวายุมา ก็เรียกได้ว่ามุ่งตรงสู่อนาคตแล้วจริงๆ
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับรู้อยู่แก่ใจ ฮูหยินไม่ได้เปิดเผยเรื่องเคล็ดวิชาภาคดินให้พวกเขารู้ สิ่งที่พวกเขาได้ไปเป็นเพียงเคล็ดวิชาภาคคนเท่านั้น แต่คิดก็รู้แล้วว่าแตกต่างกับพวกนางสองพี่น้องขนาดไหน
อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะอีกครั้ง “พอแล้ว! อย่ามาทำหน้าทะเล้น มีเรื่องสำคัญอีกอย่างจะบอกพวกเจ้า พิภพเล็กอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของตระกูลพวกเราแล้ว พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี หลายปีก่อนไม่มีปัจจัยพร้อม ทำให้พวกเจ้าลำบาก แต่ตอนนี้ข้าต่อสู้ช่วงชิงที่ซ่อนตัวสำหรับลงหลักปักฐานมาให้พวกเจ้าแล้ว ควรจะเหลือทางหนีทีไล่สุดท้ายไว้ให้พวกเจ้าเหมือนกัน ถ้าพิภพใหญ่ไม่ปลอดภัย พิภพเล็กก็ยังมีที่ให้ลูกเมียอยู่ ถ้าอยากจะแต่งงานมีครอบครัวก็ไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เดี๋ยวพวกเจ้ากลับไปไตร่ตรองให้ดี ข้าจะร่างกฎระเบียบออกมา กลับไปพวกเจ้าค่อยไปบอกพนักงานเก่าพวกนั้น ต่อไปให้ทุกคนผลัดกันกลับไปพักผ่อนที่พิภพเล็ก ให้อยู่ที่พิภพใหญ่คนละสิบปี แล้วก็กลับไปพักที่พิภพเล็กได้หนึ่งปี อยากจะแต่งงานหาเมียก็กลับไปแต่งได้ อยากจะหาอนุภรรยาก็กลับไปหาได้ อยากจะแต่งสักกี่เมียก็ตามใจ แต่พยายามเลือกสวยๆ หน่อยนะ ตราบใดที่พวกเจ้าเลี้ยงไหว ข้าก็จะส่งคนไปช่วยเตรียมการเรื่องแต่งงานให้ รีบจัดการเรื่องนี้เร็วๆ หน่อย อย่าเอาแต่ไปหอโคมเขียว นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าตอบแทนที่ทุกคนอยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เดาะลิ้นทันที “อยากจะแต่งกี่เมียก็แต่งได้ พยายามเลือกคนสวยๆ ไอ๊หยา! ถ้าเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าใจกว้างกับข้าแบบนี้…”
“เจ้ามีเมียน้อยไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ตัดบทเขาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“ล้อเล้นๆ !” เหมียวอี้ยิ้มแห้งทันที หุบปากแล้ว
“ฮ่าๆ…” ทั้งสี่หัวเราะลั่นพร้อมกัน ชอบเห็นท่าทางเวลาเหมียวอี้ยอมแพ้ต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ย พวกเขาพบว่าเถ้าแก่เนี้ยห้าวหาญมาตลอด! มีภรรยาดุขนาดนี้ เพียงพอจะทำให้หนิวเอ้อร์ทนทุกข์ในภายหลัง!
สำหรับทั้งสี่คน การทำแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสงบใจ ถึงอย่างไรทั้งสี่ก็มีจิตใจเอนเอียงไปทางอวิ๋นจือชิว เดิมทีเป็นลูกน้องคนสนิทของอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว ตอนนี้อำนาจตำแหน่งของเหมียวอี้ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อนุภรรยาก็ยิ่งมีมากขึ้น ทั้งสี่กลัวจริงๆ ว่าอวิ๋นจือชิวจะเสียตำแหน่ง ถ้าตัดปัจจัยด้านความผูกพันออกไป แบบนั้นก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะผลประโยชน์ของพวกเขาผูกติดไว้กับอวิ๋นจือชิว การปกปกป้องผลประโยชน์ของอวิ๋นจือชิวก็เท่ากับปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวยังสยบให้เหมียวอี้ว่านอนสอนง่ายได้ ทั้งสี่ก็วางใจลงไม่น้อย
หัวเราะก็ส่วนหัวเราะ จากนั้นบัณฑิตก็กล่าวอย่างร่าเริงว่า “เช่นนั้นพวกเราสี่คนก็ขอขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยแทนพวกพนักงานขอรับ”
“ไปเถอะๆ ไปทำงานของตัวเองไป เห็นใบหน้าทะเล้นของพวกเจ้าแล้วข้ารำคาญ” อวิ๋นจือชิวโบกมือ
หลังจากไล่ทั้งสี่คนไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็กลับมาบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อกีว่า “พวกเจ้าสองคนก็ได้ยินสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปแล้ว พวกเจ้ารีบเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นไวๆ เถอะ รอให้วรยุทธ์ของพวกเจ้าถึงระดับบงกชทองแล้ว ต่อไปก็จะยกเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ให้พวกเจ้า การผลัดเวรพักผ่อนของพวกเขา พวกเจ้าสองคนต้องทำหน้าที่ไปรับไปส่ง ถ้าให้คนอื่นทำข้าไม่วางใจ”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับ
…………………………