นำเคล็ดวิชาถ่ายทอดให้หกคนนี้แล้ว ยังมีอีกคนที่ขาดไปไม่ได้ เยว่เหยาต้องมีส่วนในเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้เน้นหนัก อวิ๋นจือชิวค่อนข้างจนใจ เพราะถ้าให้เยว่เหยาไปแล้ว ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่รั่วไหลไปถึงมู่ฝานจวิน
เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะเก็บไว้ที่ตัวเองก่อน ตอนหลังจะได้เสนอเงื่อนไขกับมู่ฝานจวินได้สะดวก แต่เหมียวอี้อยากจะให้เยว่เหยามีความสามารถในการป้องกันตัวยิ่งมากยิ่งดี ในด้านนี้ไม่มีทางคุยเงื่อนไขกับเหมียวอี้ได้เลย อวิ๋นจือชิวรู้จักช่างน้ำหนักอย่างชัดเจน เรื่องบางเรื่องสามารถบ่นเหมียวอี้ได้ แต่เรื่องบางเรื่องไปบ่นไม่ได้
อวิ๋นจือชิวติดต่อเยว่เหยา ใช้วิธีการส่งข้อความเพื่อบอกให้รู้
ส่วนเหมียวอี้ก็เก็บตัวฝึกตนชั่วคราว ตระหนักถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการสร้างช่องว่างบนกายเนื้อ เขาถือโอกาสทำแบบนี้ตอนที่วิธีการของเสิ้นหมียังตราตรึงฝังลึกในความทรงจำตัวเอง กลัวว่าเวลาผ่านไปนานแล้วตัวเองจะลืม
สถานที่เก็บตัวคือชัยภูมิถ้ำสวรรค์ในร้านค้าของจีเหม่ยลี่ จีเหม่ยลี่เป็นนักพรตปีศาจ มีบางจุดที่เหมียวอี้สามารถสอบถามจากนางได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง…
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ที่ดาวหนานจื่อ ข้างน้ำตกตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง ลักษณะทางกายภาพของแผ่นดินเลวร้ายมาก
อวิ๋นอ้าวเทียนเหาะลงมาจากฟ้า ข้างหลังมือลูกชายคนที่หกอวิ๋นเซี่ยว ลูกชายคนที่แปดอวิ๋นเป้า ลูกสาวคนที่สิบสามอวิ๋นเจวียน ลูกชายคนที่สิบสี่อวิ๋นเฟิง พาลูกสี่คนที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองมาด้วยกัน ส่วนลูกชายคนที่สิบหกอวิ๋นกาง ลูกชายคนที่สิบเก้าอวิ๋นก่วง ลูกสาวคนที่สามสิบสามอวิ๋นเซียง สามคนที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทองยังไม่ได้ติดตามมา
“มารเฒ่ามาแล้ว!” หลังจากปราชญ์ปีศาจจีฮวนยืนกุมหมัดคารวะต้อนรับอยู่ใต้น้ำตกด้วยตัวเอง ก็โบกมือชี้น้ำตกพร้อมบอกว่า “ข้างหลังน้ำตกมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ผีเฒ่า พระเถระ ยายแก่นแก้วมากันครบแล้ว ขาดแค่เจ้า เชิญ!”
ทั้งสองแทบจะแวบหายไปพร้อมกัน พุ่งเข้าไปในน้ำตกแล้ว
อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้าเล็กน้อยบอกใบ้เหล่าพี่น้อง อวิ๋นเฟิงเหาะขึ้นไปทอดสายตามองจากบนยอดภูเขาด้านข้าง ส่วนอวิ๋นเจวียนก็เฝ้าอยู่นอกน้ำตก คอยระแวดระวังรอบด้าน อวิ๋นเซี่ยวกับอวิ๋นเป้าถลันตัวพุ่งเข้าไปในน้ำตก
ด้านหลังน้ำตกมีถ้ำม่านน้ำตกแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พื้นที่ว่างข้างในกว้างมาก โยนไข่มุกราตรีไปหลายลูกเพื่อส่องแสงสว่าง
ก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งถูกสร้างเป็นโต๊ะเก้าอี้ชั่วคราว มู่ฝานจวินกำลังนั่งอยู่ นางพาลูกศิษย์ระดับบงกชทองมาเพียงสองคน อันหรูอวี้ยืนอยู่ข้างหลังนาง ส่วนจงเจิ้นยืนรับลมอยู่ด้านนอก
ซือถูเซี่ยว ฉางเหลยกับจีฮวนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาพามาแค่ลูกศิษย์ระดับบงกชทอง
หลังจากนั่งลงแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็มองดูสภาพแวดล้อมในห้องถ้ำ แล้วถามว่า “ปีศาจเฒ่า นี่คือที่พักชั่วคราวของเจ้าเหรอ?”
จีฮวนเอามือฟั่นเคราพร้อมตอบด้วรอยยิ้ม “ไม่มีที่พักอะไรหรอก พเนจรไปทั่วมาตลอด พอผ่านที่นี่ก็บังเอิญเห็นพอดี”
“คนก็มากันครบแล้ว อย่าเปลืองคำพูดเยอะ บอกมาตรงๆ เถอะ พบลู่ทางร่ำรวยอะไรมา ถึงได้ขอให้พวกเราพาลูกศิษย์ระดับบงกชทองมาด้วยกัน” มู่ฝานจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เห็นได้ชัดว่าคนอื่นก็อยากจะถามแบบนี้เช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวจีฮวนแล้ว
ส่วนจีฮวนก็ส่งสายตาตอบ ‘สหายเก่า’ ทั้งสี่ทีละคน กล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ทุกคนคงจะรู้แล้วสินะตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ร่ำรวยขนาดไหน รวยกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้เยอะ เขาแค่ตักตวงรอบเดียว พวกเราลำบากหากินกันหลายปีก็ยังไม่มีสิทธิ์ถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ”
“ที่เรียกพวกเรามา คงไม่ใช่เพราะจะวางแผนทำอะไรเขาหรอกใช่มั้ย? ไม่ถูกสิ ถ้าจะทำอะไรเขาก็ควรจะไปใกล้ๆ ดาวเทียนหยวน จะเรียกพวกเราให้มาไกลขนาดนี้ทำไม?” ซือถูเซี่ยวถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบวังเวง
จีฮวนโบกมือ “คิดมากไปแล้ว เจ้าบ้านั่นเจ้าเล่ห์จะตาย เขาเองก็บอกไว้แล้วว่ามีแผนสำรองไว้จัดการพวกเรา ถ้าแตะต้องเขาเมื่อไร เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราก็จะถูกเปิดโปง พวกเราจะกลายเป็นโจรกบฎของตำหนักสวรรค์ทันที ทำไมพวกเราต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ”
ฉางเหลยจึงถามอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่าเจ้าหาลู่ทางได้แล้ว เลยจะดึงพวกเราไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกัน? ถ้าเป็นแบบนี้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตำหนักสวรรค์ไม่รับพระ ต่อให้ข้าเต็มใจสึกพระ เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราจะเผยพิรุธอยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์ได้ง่าย”
“ข้าจะคิดไม่ถึงเรื่องนั้นเชียวเหรอ?” จีฮวนกลอกตามองเขา
“ปีศาจเฒ่า เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว รีบบอกมาไวๆ” มู่ฝานจวินกล่าวตรงๆ
หลังจากจีฮวนหัวเราะเบาๆ ใบหน้าก็พลันฉายแววดุร้าย เคาะนิ้วบนโต๊ะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ก็อย่างที่ข้าบอกไง ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์รวยกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ ถ้าทุกคนไม่กลัวล่ะก็ พวกเรามาร่วมมือกันปล้นสักครั้ง ถ้าปล้นได้สักคนหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราพักได้อีกนาน อย่างน้อยก็มีทรัพยากรฝึกตนให้ลูกศิษย์ทุกคนใช้ไปอีกหนึ่งพันปี”
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์นั่นหรอกใช่มั้ย? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักตลาดสวรรค์ มีนักพรตระดับบงกชรุ้งรักษาการณ์อยู่นะ” ซือถูเซี่ยวยิ้มเย้ย
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวขึ้นว่า “ฟังเขาพูดให้จบก่อน ในเมื่อเขามีความคิดแบบนี้แล้ว ก็แสดงว่ามีการวางแผนไว้แล้ว ปีศาจเฒ่า เจ้าอย่าใช้คำพูดมาหลอกล่อพวกเราเลย มีอะไรก็ว่ามาตรงๆ มีลู่ทางอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลย”
“ลู่ทางก็อยู่ที่นี่แล้วไง! บนตัวหลี่ตงเหมี่ยว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวหนานจื่อ!” จีฮวนเคาะโต๊ะอย่างแรง แล้วบอกว่า “ลงมือกับนักพรตอิสระพวกนั้นไม่สนุกเลย แต่ละคนจนจะตาย สิบกว่าปีมานี้ข้าวิ่งเต้นไปทั่วทุกที่ หลายปีแล้วที่ไม่ได้มุมานะบากบั่นขนาดนี้ ปล้นไปประมาณร้อยครั้ง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ อยากได้ลู่ทางก็ไม่มีลู่ทาง อยากได้คนหนุนหลังก็ไม่มีคนหนุนหลัง ต้องการอำนาจก็ไม่มีอำนาจ แถมข่าวสารก็ไม่รวดเร็ว ทำได้เพียงสมคบกันปล้นอย่างเดียว ทั้งชีวิตของข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจทำอาชีพโจรขนาดนี้ ถ้าข่าวแพร่ไปถึงพิภพเล็กก็คงทำให้คนหัวเราะเยาะจนฟันร่วง ถ้าทำให้ร่ำรวยได้ ต่อให้ลำบากแต่ก็คุ้มค่า แต่นอกจากตัวเองจะทำคนเดียวไม่ไหวแล้ว ค่าเดินทางก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายไปเท่าไร กระสวยทอง กระสวยเงินก็ต้องใช้เงินซื้อเหมือนกัน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายและทรัพยากรฝึกตนของทั้งครอบครัวอีก สะสมเงินได้ไม่เท่าไรเลย ยอดฝีมือที่รวยขึ้นมาหน่อยพวกเราก็ไม่กล้าแตะต้อง เงินที่ยืมมาจากเหมียวอี้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คืน ข้าไม่มีหน้าจะไปติดต่อกับลูกสาวข้าแล้ว ลูกชายข้าที่พิภพเล็กยังนึกว่าข้าอยู่ที่นี่แล้วมีหน้ามีตาด้วยซ้ำ พอติดต่อกันก็ถามว่าเมื่อได้จะได้มาทำงานที่นี่ ข้าว่าทุกคนก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรหรอกใช่มั้ย?”
พอกล่าวมาแบบนี้ สี่ปราชญ์แต่ละคนก็เงียบไป พวกเขาล้วนกลุ้มใจ พิภพใหญ่ช่างอยู่ยาก!
ในใจแต่ละคนรู้สึกเซ็งแล้ว เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ ตอนที่เหมียวอี้มาพิภพใหญ่ วรยุทธ์ยังสู้พวกเขาไม่ได้เลย ตอนนี้วรยุทธ์ก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้เช่นกัน แต่เจ้าบ้านั่นมันลงหลักปักฐานได้มั่นคงมาก ทำมาหากินได้อย่างเจริญรุ่งเรือง เปิดร้านทำการค้าก็หาเงินเข้าร้านได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้คนอิจฉาตาร้อน พอโดนกดดันจนหมดทางถอย ขนาดหนีไปทำงานให้ตำหนักสวรรค์ก็ยังได้เลื่อนขั้นและกุมอำนาจไว้มากมาย ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระสบายใจมาก เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดังทั้งพิภพใหญ่ ถ้าพูดถึงผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อ ก็มีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อนี้
แต่พวกเขาล่ะ ตอนนี้ยังไม่เห็นเลยว่าความสำเร็จอยู่ที่ไหน ความแตกต่างของคนเราช่างน่าโมโหจริงๆ ได้ยินว่าเจ้าบ้านั่นมันไปมีเรื่องกับคนไว้ไม่น้อยเหมือนกัน อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก แต่เจ้าบ้านั่นยังทำมาหากินต่อไปได้ พวกเราแตกต่างกับเจ้าบ้านั่นขนาดนั้นเชียวเหรอ?
มีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ลู่ทางร่ำรวยครั้งแรกตอนเหมียวอี้มาพิภพใหญ่ก็คือการปล้นเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าเวรนั่นมันใจกล้าคับฟ้า ไปปล้นสวนผลไม้บนเกาะศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
“ปีศาจเฒ่า ทำไมเจ้าทำตัวยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก บุคลิกที่น่านับถือของปราชญ์ปีศาจไปไหนหมดแล้ว?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนพูดเหยียดว่า “บุคลิกที่น่านับถือของปราชญ์ปีศาจเหรอ? ตอนนี้พวกเรายังมีบุคลิกที่น่านับถืออยู่อีกเหรอ? พวกเจ้าก็เป็นหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าภูมิฐานเหมือนกัน พวกเจ้าลองพูดมาซิว่าในสิบกว่าปีมานี้ มีใครปล้นฆ่าต่ำกว่าห้าสิบครั้งบ้าง ถ้าใครต่ำกว่านี้ข้าจะยอมรับว่ามีบุคลิกที่น่านับถือ! ข้าว่านะ พอได้ยินว่ามีลู่ทางร่ำรวยก็รีบมาเจอหน้ากันเร็วขนาดนี้ พวกเจ้าต้องรีบร้อนถึงขนาดไหนกัน!”
ซือถูเซี่ยวบอกว่า “พวกเราไม่ได้มาฟังเจ้าพร่ำบ่นจู้จี้จุกจิก อย่าพูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ พูดประเด็นสำคัญ เจ้าบอกมาซิว่าหลี่ตงเหมี่ยวมีสถานการณ์เป็นอย่างไร?” ประเด็นคือคำพูดของจีฮวนทำให้เขาไม่อยากฟัง
จีฮวนจัดระเบียบความคิด แล้วพูดต่อไปว่า “หลังจากได้ฟังลูกสาวข้าเล่าว่าเหมียวอี้ตักตวงสมบัติมาได้ก้อนหนึ่ง ข้าก็เริ่มสนใจจับตาดูผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์พวกนั้นแล้ว ลักเล็กขโมยน้อยไม่มีความหมายอะไร ถ้าจะปล้นก็ต้องปล้นครั้งใหญ่ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสําเร็จอยู่ที่นั่น ยังไม่ต้องพูดถึงเลย ข้าหาโอกาสพบแล้วจริงๆ ตอนที่ข้าไปปล้นครั้งก่อน พวกเจ้าเดาสิว่าข้าไปเจอใครมา?”
“เจ้าเห็นพวกเราโง่เหมือนหมูรึไง! ยังต้องเดาอีกเหรอ? เป็นเจ้าหลี่ตงเหมี่ยวอะไรนั่นที่เจ้าพูดถึงไม่ใช่เหรอ?” ซือถูเซี่ยวถามอย่างดูถูก
“ผิด!” จีฮวนตบต้นขาปัดตกการคาดเดาของเขา จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่หลี่ตงเหมี่ยว เป็นคนที่พวกเรารู้จัก เดาอีกสิ”
ซือถูเซี่ยวเงียบงันพูดไม่ออก ยอมรับจริงๆ แล้วว่าตัวเองโง่เหมือนหมู
หลังจากสี่ปราชญ์มองหน้ากันเลิกลั่ก ฉางเหลยก็บอกว่า “อามิตาพุทธ เช่นนั้นก็ไม่มีใครที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่พวกเราจะมีคนรู้จักอะไรกัน นอกจากพวกเหมียวอี้ก็ไม่มีใครแล้ว”
“ผิด!” จีฮวนโบกมือปฏิเสธอีกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังล้อเล่นกับพวกเขาอยู่ พูดหยอกว่า “ไม่ใช่คนทางฝั่งเหมียวอี้ เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเราห้าคนเลย ตอนที่พวกเรารู้จักเขา บรรพบุรุษของเหมียวอี้ไปอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ลเยด้วยซ้ำ ที่พวกเรามีวันนี้ได้นั้นเกี่ยวข้องกับคนคนนี้เยอะมาก ทุกคนลองเดาอีกทีสิ”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจสงสัยบ้างแล้ว เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเขา แถมไม่ใช่คนทางฝั่งเหมียวอี้ด้วย ที่พวกเขามีวันนี้ได้นั้นเกี่ยวข้องกับคนคนนี้เยอะมาก ทั้งยังมาที่พิภพใหญ่ได้…
คำตอบแทบจะปรากฏเป็นภาพเสมือนจริง! ในหัวของทุกคนปรากฏภาพของคนคนหนึ่งแทบจะพร้อมกัน พวกเขาแทบจะกล่าวออกมาพร้อมกันว่า “เทพพยากรณ์?”
“ใช่!”จีฮวนปรบมือ แล้วพยักหน้ายิ้ม “ไม่ผิดหรอก! เป็นเทพพยากรณ์!”
ถึงแม้จะเดาถูกแล้ว แต่ทั้งสี่คนรวมทั้งบุตรธิดาและลูกศิษย์ก็ยังประหลาดใจนิดหน่อย อวิ๋นอ้าวเทียนจึงถามว่า “เจ้าไปเจอเขาที่พิภพใหญ่ได้ยังไง?”
จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตอนแรกที่ข้าบังเอิญเจอเขา ก็ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป หลังจากไปยืนยันต่อหน้าข้าถึงได้กล้าเชื่อ”
“เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนบอกว่า “เขาถอนหายใจแล้วก็บอกว่า อยากจะหลบพวกเจ้า นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีก ช่างเป็นโชคชะตาที่คาดเดายากจริงๆ ข้าย่อมถามว่าเขามาอยู่ที่พิภพใหญ่ได้อย่างไร? แต่เขาดันถามข้ากลับว่า อาตมาเป็นคนพาเหมียวอี้มาที่พิภพใหญ่เอง เจ้าว่าทำไมอาตมาจึงมาอยู่ที่พิภพใหญ่ได้ล่ะ? ถ้าเขาเดาไม่ผิด เฟิงเป่ยเฉินโดนโค่นล้มแล้ว ส่วนพวกเจ้าห้าคนก็มาที่พิภพใหญ่กันหมดแล้ว”
สี่ปราชญ์เงียบงัน สงสัยเทพพยากรณ์จะรู้เส้นทางไปกลับพิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเทพพยากรณ์จึงพาเหมียวอี้มาที่พิภพใหญ่ก่อน
เห็นได้ชัดว่าจีฮวนก็คิดเหมือนกับพวกเขา จึงพูดต่อว่า “พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่พูดไม่ได้จริงๆ ข้าถามเขาว่า พวกเราหกปราชญ์รู้จักเขามาหลายปี ในเมื่อท่านรู้เส้นทางมาพิภพใหญ่แล้ว ทำไมถึงไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก? เทพพยากรณ์ตอบว่า ก็เพราะต่อให้อาตมาไม่บอกพวกโยม พวกโยมก็จะได้มาที่พิภพใหญ่อยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ถือว่ามาแล้วหรอกเหรอ? ข้าก็เลยถามเขาอีก ถ้าพูดถึงความสามารถพวกเราไม่ได้แย่กว่าเหมียวอี้เลย ทำไมถึงไม่บอกพวกเราก่อน กลับไปบอกเหมียวอี้ก่อน พวกเจ้าเดาสิว่าเขาพูดว่ายังไง?”
“ว่ายังไง?” สี่ปราชญ์ถามเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
จีฮวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เทพพยากรณ์บอกว่า เพราะเหมียวอี้เป็นคนที่ดวงดีมาก ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะมีอนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด เขาหลีกไม่ได้ หลบไม่พ้น ทำได้เพียงนำเหมียวอี้มาที่นี่!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ในใจสี่ปราชญ์ก็เรียกได้ว่าราวกับมีคลื่นโหมซัดสาด ประโยค’ดวงดีมาก อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด’ ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ
ถ้าเป็นคนอื่นพูดพวกเขาอาจจะไม่เชื่อ แต่พวกเขาเคยสัมผัสกับความหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของเทพพยากรณ์มาตั้งนานแล้ว เรียกได้ว่าหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรจริงๆ พวกเขาต่างก็เคยพิสูจน์ยืนยันมาแล้ว แถมเทพพยากรณ์ก็เป็นคนไม่ค่อยพูด พอเอ่ยปากพูดครั้งหนึ่งก็ไม่มีทางโกหกแน่นอน
เมื่อนึกเชื่อมโยงกับสถานการณ์ของตัวเอง แล้วดูสถานการณ์ของเหมียวอี้อีก ก็พบว่าเป็นอย่างที่เทพพยากรณ์บอกจริงๆ พอจะมองเห็นเค้าลางของคำว่า ‘ดวงดีมาก’ แล้ว เจ้าบ้านั่นมันทำมาหากินอย่างเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่พิภพใหญ่แล้ว
อวิ๋นเซี่ยวกับอวิ๋นเป้าสบตากันแวบหนึ่ง ในใจเกิดความคิดเดียวกัน สงสัยน้องชิวจะเลือกแต่งงานถูกคนแล้วจริงๆ
…………………………