“ฮ่าๆ…” จีฮวนเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น ตบโต๊ะชมเปราะว่า “ทำไมถึงบอกว่าเทพพยากรณ์หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าล่ะ? เขามอบทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกเราตั้งนานแล้ว อย่าบอกนะว่าทุกคนไม่เห็นแผนที่ดาวใต้คำทำนายที่เขาทิ้งไว้ให้?”
“หมายความว่ายังไง?” พวกเขาถามกลับพร้อมกัน
จีฮวนบอกว่า “อาณาเขตของเฮยกว่าฟู่ห่างจากปากทางนรกไม่ไกล และข้าก็ค้นพบตอนที่สำรวจไปตามแผนที่ดาวที่เทพพยากรณ์ทิ้งไว้ให้ เมื่อเดินทางเป็นเวลายี่สิบวัน ตรงจุดที่ห่างจากอาณาเขตของเฮยกว่าฟู่มีประตูดวงดาวอยู่แห่งหนึ่ง! ข้าค้นพบตอนที่ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่ง ประตูดวงดาวบานนี้ไม่ได้ถูกทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่ดาว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ประตูดวงดาวบานนี้ยังไม่ได้ถูกค้นพบ เมื่อเชื่อมโยงกับเค้าลางต่างๆ ในคำทนายของเทพพยากรณ์ ประตูดวงดาวบานนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าสู่นรกแน่นอน หลังจากพวกเราปล้นสำเร็จแล้ว ก็สามารถหลบหลีกการตรวจสอบและเข้าสู่นรกด้วยเส้นทางนี้ได้!”
“เจ้าเคยเข้าประตูดวงดาวนั่นแล้วเหรอ? แน่ใจเหรอว่าด้านหลังประตูดวงดาวคือนรก?” ฉางเหลยถาม
จีฮวนกลอกตามองบนแล้วบอกว่า “ข้าเดาออกแล้วว่าข้างหลังนั่นเป็นนรก อยู่ดีๆ จะถ่อเข้าไปทำอะไรล่ะ? ถ้าข้าเข้าไปแล้วจะออกมายังไง?”
“แล้วที่เจ้าพูดไปมากมายขนาดนั้นไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกเหรอ? ถ้าเจ้าเข้าไปแล้วออกไม่ได้ พวกเราตามเจ้าเข้าไปแล้วจะออกมาอีกได้ยังไง?” ซือถูเซี่ยวถาม
“เจ้ารู้จักแต่ทางเข้า ไม่รู้จักทางออก ทางออกเดียวที่รู้จักก็โดนทหารของตำหนักสวรรค์เฝ้าไว้ พวกเราจะไปสถานที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้นไหวเหรอ?” มู่ฝานจวินถามเช่นกัน
“ถ้าหากคำทำนายที่อยู่ช่วงแรกถูกต้องทุกอย่าง คำทำนายที่อยู่ช่วงหลังจะต้องเป็นทางออกแน่นอน” จีฮวนตอบ
คนที่เหลือไม่มีความเห็นแย้งอะไรกับคำพูดนี้ แต่ก็ยังมีข้อสงสัย ซือถูเซี่ยวถามว่า “หกคนพบกันอีก สถานการณ์จะพลิกผัน! ตามหลักการแล้ว ก็เป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘หกคน‘ หมายถึงพวกเราหกปราชญ์ เฟิงเป่ยเฉินตายแล้ว คนที่ขาดไปก็คงจะเป็นเหมียวอี้แล้ว แต่เจ้าบ้านั่นจะถ่อมาเจอกับพวกเราที่นรกได้ยังไง? ต่อให้เราบอกเส้นทางเข้ากับเขา เขาก็ไม่มาอยู่ดี เขาจะมีทางทำให้ตำหนักสวรรค์เปิดประตูให้เขาเข้าออกนรกได้ตามใจชอบเชียวเหรอ?”
“ตามตัวอักษรเหมือนจะมีความหมายแบบนี้ แต่เทพพยากรณ์บอกไว้ว่าอย่าให้เหมียวอี้รู้ ส่วนในคำทำนายก็มีข้อความว่า ‘รออย่างเงียบงันในกรงขัง‘ เห็นได้ชัดว่าให้เฝ้ารออย่างอดทน ไม่ได้ให้พวกเราร้องขอให้ช่วยชีวิตหรือว่าทำอะไร ประโยคที่อยู่ข้างหลังนี้ ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน” จีฮวนส่ายหน้า แสดงออกว่าคิดไม่ตก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้วได้สติกลับมา เขาก็ใช้สองมือตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วบอกว่า “ก็เหมือนกับคำทำนายส่วนแรก ตอนแรกข้าก็อ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่พอไปถึงสถานที่จริงก็เข้าใจเลย อย่างจนจนถึงทุกวันนี้เทพพยากรณ์ก็ยังไม่เคยหลอกพวกเรา ตอนนี้ที่เรียกให้ทุกคนมาหา ก็เพราะอยากจะถามทุกคนว่า จะไปปล้นด้วยกันสักครั้งมั้ย?”
“ปล้นสักครั้ง? ฟังจากนำเสียงแล้ว จีฮวน เจ้าปรับตัวกับการเป็นโจรได้แล้วจริงๆ!” มู่ฝานจวินพูดเหน็บแนม
จีฮวนไม่ใส่ใจหรอก คนที่เป็นโจรไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเสียหน่อย ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังสมคบกันเป็นโจร
“จะเดิมพันสักครั้งมั้ย?” จีฮวนเปลี่ยนคำพูด สายตากวาดมองบนใบหน้าทุกคน กำลังถามถึงความคิดเห็นของทุกคน
คนที่เหลือครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลังจากชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสียแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็กล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่สามคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง เจ้ารู้รึเปล่า? อย่าให้ลงมืออยู่ตั้งนานแล้วปล้นผิดคน”
ฉางเหลยพยักหน้าเช่นกัน “สาธุ! จอมมารพูดถูก ต้องระบุคนให้ชัดเจน อย่าไปปล้นผิดคนแล้วคิดว่าตัวเองทำเรื่องผิดมหันต์ ตกใจหนีเข้าไปในนรก จะออกก็ออกไม่ได้ ถึงตอนนั้นไม่มีที่ให้ร้องไห้แล้วนะ!”
จีฮวนกล่าวว่า “พระเถระ ถึงข้าจะไม่ได้หัวล้านเรืองแสงเหมือนเจ้า แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ พวกเจ้าวางใจได้เลย ข้าให้ลูกชายข้าไปสืบมาแล้ว พวกเขาส่งข่าวกลับมาแล้ว สืบหน้าตาของผู้บัญชาการใหญ่สามคนนั่นมาเรียบร้อย ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับมา”
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าเทพพยากรณ์บอกว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดพลิกผันโชคชะตาของพวกเราที่พิภพใหญ่? แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้ยากจนข้นแค้นจนเป็นบ้ามาหลอกพวกเรา?” มู่ฝานจวินถาม
จีฮวนพูดเหมือนรู้สึกขำ “ขนาดนั้นเลยเหรอ จำเป็นต้องคอยระแวงกันเหมือนตอนอยู่พิภพเล็กรึไง? แล้วอีกอย่าง ข้าก็ต้องหลอกให้ได้ผลด้วย พวกเราปฏิบัติการร่วมกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าก็ต้องแบกรับร่วมกับพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”
“ตกลงตามนี้แล้วกัน!” อวิ๋นอ้าวเทียนตรงไปตรงมา ตบโต๊ะยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ข้าเดิมพันแล้ว!”
“อามิตาพุทธ! อาตมาก็จะไปเยือนนรกเป็นเพื่อนพวกเจ้าสักรอบแล้วกัน” ฉางเหลยยืนขึ้นประนมมือ
“ถ้าเจ้ากล้าหลอกพวกเรา ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเจ้าไป!” ซือถูเซี่ยวยืนขึ้นเช่นกัน
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทั้งสี่คน มู่ฝานจวินนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ทำก็ได้!”
เห็นได้ชัดเจนมาก ทั้งห้าคนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เตรียมตัวร่วมมือกันปล้น
ต่อจากนั้น ทั้งห้าก็นั่งลงคุยถึงรายละเอียดขั้นตอนของเรื่องนี้ ถึงแม้ในใจทั้งห้าจะดูถูกเป้าหมาย แต่ก็ยังต้องให้ความสำคัญด้านรายละเอียด ทั้งห้าสามารถอยู่ในจุดสูงสุดของพิภพเล็กได้ เรื่องราวประเภทม้าสะดุดล้ม เรือล่มในคลองแคบก็เคยเจอมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เข้าใจดีที่สุดว่าห้ามทำอะไรประมาท ไม่อย่างนั้ถ้าเกิดความผิดพลาดนิดเดียว ก็เป็นไปได้สูงว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตัวเอง…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ห้าปราชญ์ก็พุ่งออกมาจากหลังม่านน้ำตก เหาะขึ้นฟ้าพร้อมกันด้วยความเร็วสูง
ลูกศิษย์และลูกชายลูกสาวของทั้งห้าเหาะขึ้นฟ้าไปทีหลัง ทว่าไม่ได้ตามห้าปราชญ์ไป แต่ต้องเป็นสายลับให้กับห้าปราชญ์ พวกเขาไปที่ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อ รวมทั้งไปดักซุ่มอยู่ระหว่างทางไปอาณาเขตของเฮยกว่าฟู่ เมื่อเป้าหมายปรากฏตัว พวกเขาก็จะบอกทิศทางการเคลื่อนไหวที่แม่นยำของเป้าหมายให้ห้าปราชญ์ที่ดักซุ่มรอล่วงหน้ารู้ ถ้ามีอะไรคลาดเคลื่อนจะได้ปรับเปลี่ยนได้ทัน
ส่วนเรื่องลงมือ วรยุทธ์ของเป้าหมายสูงเกินไป ลูกศิษย์และลูกชายลูกสาวไม่สะดวกจะเข้าไปแทรก ไม่อย่างนั้นก็ไม่เพียงแค่จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่กลับจะกลายเป็นภาระด้วยซ้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
ตอนนี้ยังเหลืออีกสองเดือนกว่าก็จะถึงเวลาตกปลาสายรุ้งดิน ทว่าทางนี้เริ่มเตรียมตัวเรื่องดักซุ่มแล้ว
“ศิษย์พี่ ทำไมจู่ๆ อาจารย์ถึงต้องการให้พวกเราไปรอที่น่านฟ้าชวดอี่?”
ในจุดลึกที่มียอดเขาเขียวบังเหมือนฉากกั้น ระหว่างภูเขามีลำธารใสเย็นสายหนึ่งไหลผ่าน เยว่เหยาที่ยืนอยู่ริมลำธารถามถังจวินที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ไม่พูดข้าก็เลยไม่สะดวกจะถามเยอะ ในเมื่ออาจารย์เตรียมการอย่างนี้แล้ว ก็ทำตามแล้วกัน!” ถังจวินขมวดคิ้วถอนหายใจ
ไปน่านฟ้าชวดอี่ก็เท่ากับไปหาเหมียวอี้ สถานที่สองแห่งห่างกันค่อนข้างไกล เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมู่ฝานจวินที่อยู่ด้วยกันตลอดจึงให้พวกเขาสองคนแยกทางไป
แต่มู่ฝานจวินก็แอบกำชับเขาไว้อีกอย่าง สามเดือนหลังจากนี้ ถ้าหากไม่เห็นนางติดต่อมา ก็ให้พาเยว่เหยาไปหาเหมียวอี้ทันที ไปขอพึ่งพาเหมียวอี้ ก่อนที่จะเจอเหมียวอี้ห้ามบอกเรื่องนี้กับเยว่เหยาเด็ดขาด
คำพูดพวกนี้ ไม่ว่าฟังอย่างไรก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังสั่งเสีย ถังจวินรู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินกำลังทำอะไรกันแน่
หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ถังจวินก็ยังคิดไม่ตก จึงทำได้เพียงจัดการตามนี้ เรียกเหยี่ยวมารวานรยักษ์จากกระเป๋าสัตว์ออกมาตัวหนึ่ง สัตว์เทพตัวนี้ก็เพิ่งปล้นมาได้เช่นกัน มีราคาสูงไม่เบา แต่สัตว์เทพที่มีพลังเท้าแบบนี้ มู่ฝานจวินก็ไม่มีทางเอาไปขายเช่นกัน ก่อนไปมู่ฝานจวินได้ป้องกันเหตุไม่คาดคิดเอาไว้ ทิ้งสัตว์เทพตัวหนึ่งไว้ให้เป็นพลังเท้าของทั้งสองคนที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชทอง
“ศิษย์น้องหก ไปกันเถอะ!” ถังจวินพูดจบแล้วเหาะขึ้นไปเหยียบบนหลังเหยี่ยวที่บินอยู่บนฟ้า จากนั้นเยว่เหยาก็ขึ้นไปเหยียบข้างๆ ทั้งสองขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
คนที่เตรียมการแบบนี้ไม่ได้มีแค่มู่ฝานจวิน เรียกได้ว่าการเตรียมการนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ห้าปราชญ์ปรึกษากันแล้ว ต่างก็ให้รุ่นลูกออกจากน่านฟ้านี้ไปหลบอยู่ใกล้ๆ เหมียวอี้ หลักการก็เรียบง่ายมาก เพราะจอมพลหวงฮ่าวของสายมะเมียไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา น่านฟ้าผืนนี้จะต้องถูกปิดสนิทแน่นอน ย่อมให้ลูกศิษย์หนีไปให้พ้นจากน่านฟ้านี้ หนีให้พ้นขอบเขตอำนาจของหวงฮ่าวก็ปลอดภัยแล้ว ให้ไปหลบอยู่ในที่ที่ใกล้กับเหมียวอี้ที่สุด จะได้ให้เหมียวอี้ดูแลได้สะดวก
ทั้งห้านับว่าคิดไตร่ตรองเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง…
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ณ ตลาดสวรรค์ของดาวหนานจื่อ ในประตูเมืองเขตเหนือมีคนเดินออกมาเก้าคน ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเมืองคำนับทันที พอทั้งเก้าออกจากเมืองก็เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป
ในป่าภูเขาที่อยู่ไกลๆ ฝ่าเยี่ยนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอด หลังจากมองส่งเก้าคนนั้นพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว ก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดารา : อาจารย์ หลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วออกจากประตูเมืองเขตเหนือไปแล้ว พาผู้ติดตามไปคนละสองคน รวมทั้งหมดเก้าคน ไปยังทิศทางที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว!
ทางฉางเหลยตอบมาว่า : ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้าแล้ว พาศิษย์น้องของเจ้าไปรอตรงจุดที่กำหนดไว้เดี๋ยวนี้
หลังจากนั้น ทั้งสี่คนที่กระจายกันจับตาดูอยู่นอกประตูเมืองสี่ทิศก็รีบเหาะขึ้นฟ้า ออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ในดาราจักร บนดาวเคราะห์ที่เงียบรกร้างแบบหนึ่ง อันหรูอวี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มก้อนหิน เมื่อได้รับข่าวก็อาศัยก้อนหินบังตัวและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจไปยังทิศทางหนึ่ง จู่ๆ แววตาก็วูบไหว รีบหดร่างกายเข้าไปด้านหลังก้อนหิน
หลังจากมองส่งร่างคนเก้าคนหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว นางก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า : อาจารย์ เก้าคนนั้นไปตามทิศทางที่คาดไว้ ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน!
บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายปีมานี้เคยชินกับการสมคบกันปล้นทรัพย์ อันหรูอวี้ที่เคยมีลักษณะสูงส่งสง่างาม การกระทำในตอนนี้เหมือนหัวขโมยอยู่หลายส่วน
หลังจากมู่ฝานจวินตอบหลับมา อันหรูอวี้ก็มองไม่เห็นเก้าคนนั้นแล้ว หลังจากหายกังวลว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของเก้าคนนั้นจะสังเกตเห็นตน เงาร่างถึงได้ถลันวูบออกมาอย่างรวดเร็ว พุ่งไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า ไปยังจุดรวมตัวที่กำหนดไว้
สามคนอยู่ข้างหน้า หกคนอยู่ข้างหลัง พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชี้ไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ตลอดทาง เหมือนจะไม่รีบเดินทาง สามคนที่นำหน้าลักษณะองอาจผึ่งผาย ดูเหมือนอายุยังน้อย แต่กลับมีอำนาจในอาณาเขต ทั้งสามก็คือหลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกงและกัวเฉิงซิ่ว
อายุน้อยแต่มีความสามารถ กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ทั้งยังมีภูมิหลังให้พึ่งพา ขนาดการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่ตำหนักสวรรค์ พวกเขาก็ยังมีเส้นสายคอยดูแลให้ผ่านไปได้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าในอาณาเขตสายมะเมียจะมีคนที่ไม่ใช่ขุนนางกล้าแตะต้องพวกเขา แต่หารู้ไม่ว่ามีคนเฝ้าดูพวกเขามาเป็นทอดๆ ตลอดทาง ทั้งสามมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหน่อย…
ริมทะเลสาบสีดำ ทิวทัศน์หนาวเย็นวังเวง เต็มไปด้วยดอกเหมยที่เบ่งบานในเดือนสิบสอง หิมะขาวโพลน สะพานหินอยู่เหนือผิวน้ำ ผิวทะเลสายสงบนิ่ง ในศาลายาวตรงหัวสะพาน ฮูหยินชุดดำคนหนึ่งกระโปรงยาวลากพื้น รูปร่างอวบอัดเย้ายวนใจ เกล้าผมอย่างนุ่มนวลละมุนละไม ผิวขาวดุจหิมะ ตรงหว่างคิ้วบนใบหน้างามประดับด้วยดอกเหมยหลายกลีบ
เฮยกว่าฟู่ยืนพิงระเบียงและยื่นศีรษะก้มมองในน้ำสีดำมืด นางพยักน้าเบาๆ ในที่สุดในน้ำทะเลสาบที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นก็มีแสงสีรุ้งกะพริบเป็นระยะ นางหันกลับมาเรียก “ลูกซือ!”
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่สวมชุดดำถลันตัวเข้ามา วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วเลือนหายไป กุมหมัดคารวะถามว่า “ท่านแม่ มีอะไรจะกำชับขอรับ?”
ชายหนุ่มคนนี้ก็คือลูกชายของเฮยกว่าฟู่ ชื่อว่าจูเชียนซือ
เฮยกว่าฟู่หันมากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่พราวไปด้วยเสน่ห์ “ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามท่านบอกไว้ก่อนจะออกเดินทาง ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว ไปต้อนรับแทนข้าสักหน่อย”
“ขอรับ!” จูเชียนซือเอ่ยรับคำสั่งแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป
การต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามคือธรรมเนียมที่ทำจนเคยชินแล้ว น่าเสียดายที่พวกจีฮวนไม่รู้สถานการณ์นี้
…………………………………