“เจ้าเป็นคนเก็บของไปแล้ว มันอยู่ในมือเจ้า ถ้าไม่ขอคำอธิบายจากเจ้าแล้วจะขอคำอธิบายจากใคร?” มู่ฝานจวินถาม
ซือถูเซี่ยวจึงบอกว่า “ข้าอธิบายได้ชัดเจนเหรอ? ไม่ผิดหรอกที่ข้าเป็นคนเก็บของ แต่ของมันมีนิดเดียวเท่านี้จริงๆ ถ้าเจ้าจะกดดันให้ข้าเอาของออกมาเยอะกว่านี้ แล้วข้าจะไปเอาจากไหนล่ะ? ต่อให้เจ้าเอาข้าไปขาย ข้าก็หาเงินมากขนาดนั้นไม่ได้อยู่ดี! แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าละโมบจริงๆ จะอยู่ให้พวกเจ้ารังแกทำไม คงหาทางหนีไปตั้งนานแล้ว”
คำพูดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พวกเขาก็กลัดกลุ้มเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครยอมรับความจริงนี้ได้ เพื่อที่จะหาเงินจำนวนน้อยนิด แต่วุ่นวายจนหนีมาไกลสุดขอบฟ้าแบบนี้ จะว่าไปแล้วก็ขาดทุนเกินไป
“ค้นตัว!” อวิ๋นอ้าวเทียนที่เงียบมาตลอดพลันกล่าวสองคำ
คนที่เหลือเลิกคิ้ว เข้ามาล้อมซือถูเซี่ยวไว้ตรงกลางทันที
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” ซือถูเซี่ยวตะคอกอย่างดุดัน พลางหันมองรอบๆ
ฉางเหลยจึงประนมมือกล่าวว่า “จอมมารพูดไม่ผิดหรอก ถ้าอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองก็ต้องให้พวกเราค้นตัว ไม่อย่างนั้นจะปล่อยผ่านเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้าได้อย่างไร”
ล้อเล่นอะไรกัน ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของตัวเอง โดนค้นตัวต่อหน้าลูกศิษย์ตัวเองมันน่าไม่อายเกินไปหรือเปล่า? ซือถูเซี่ยวแสยะยิ้ม “พวกเจ้าเห็นข้าเป็นอะไรไปแล้ว อย่าแม้แต่จะคิด?”
อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องเขาพร้อมบอกว่า “ผีเฒ่า ทุกคนเดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีใครมีเจตนาจะกลั่นแกล้งเจ้าหรอก เพียงแต่ถ้าวันนี้ไม่ได้คำอธิบายเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี ถ้าในใจเจ้าไม่มีอะไรแอบแฝง ก็อย่าทำให้ทุกคนลำบาก!”
ซือถูเซี่ยวเงียบงันแล้ว…
สุดท้าย เขาก็จำเป็นต้องยอมให้ค้นตัว สาเหตุสำคัญคือจะไม่ยอมก็ไม่ได้ ถ้ามีการลงไม้ลงมือกันจริงๆ เขาจะไปสู้ทั้งสี่ได้อย่างไรกัน ถ้าแตกคอกันแล้วก็คงจะได้ดื่มสุราลงทัณฑ์แทนสุราคำนับจริงๆ
ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ไม่รอด กลัวว่าระหว่างพวกเขาจะมีการรวมหัวกัน
ผลการตรวจค้นทำให้พวกเจ้ากลัดกลุ้มอย่างถึงที่สุดแล้ว ซือถูเซี่ยวกับฉางเหลยเป็นคนเก็บของไป ระหว่างทางถูกจับตาดูอยู่ตลอด ไม่มีโอกาสทำของหลุดมือเลย แต่ของที่ปล้นมาได้ก็มีจำนวนน้อยกว่าที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้เอาไป ตอนนี้พวกเจ้าเชื่อรึยังล่ะ?” ซือถูเซี่ยวที่ถูกสบประมาทเล็กน้อยเริ่มระบายอารมณ์โกรธแล้ว กำลังชี้หน้าด่าทีละคน
จีฮวนกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “ทำไม่ได้น้อยขนาดนี้ล่ะ แต่ให้รวมสมบัติของปีศาจแมงมุมนั่นไปด้วย แต่ก็ยังห่างไกลจากของของเหมียวอี้อยู่ดี เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่จะแตกต่างกันขนาดนี้นะ?”
“ตอนเรียกรวมพวกเรามาเจ้าตื่นเต้นมากไม่ใช่เหรอ?” มู่ฝานจวินเหล่ตาจ้องมาอย่างเย็นเยียบ
“อามิตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือกล่าวชื่อพระพุทธเจ้า แล้วทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด “ที่จริงเมื่อลองมาคิดดูให้ดีๆ พวกเราเองก็คาดเดาผลประโยชน์ของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกที่พวกเราปฏิเสธคำเชิญของเหมียวอี้ ก็เพราะเคยคำนวณแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้จึงถูกเงินก้อนนั้นของเหมียวอี้ทำให้หน้ามืดตามัวเสียแล้วล่ะ ทุกคนลองคิดดูเถิด สมบัติบนตัวของผู้บัญชาการใหญ่แตกต่างกับที่พวกเราคำนวณไว้ตอนแรกมากขนาดนั้นเชียวเหรอ? เหมือนจะได้ประมาณนี้กระมัง เพียงแต่พวกเราคิดมากไปเอง หน้ามืดตามัวเพราะเงินทองชัดๆ!”
คนอื่นๆ เงียบงัน คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ จีฮวนกล่าวว่า “ที่โดนเงินทองทำให้หน้ามืดตามัว ก็เพราะเงินขาดมือไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นใครจะอยากมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้”
“ต่อให้พวกเราจะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทรัพย์สินมากขนาดนั้น แต่เกรงว่าทุกคนก็จะทำอย่างเดิมอยู่ดี” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดแดกดัน
พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก คำพูดนี้ไม่ผิดหรอก ถึงแม้จะไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเยอะเท่าเหมียวอี้ แต่ของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสามคนก็มากพอที่จะดึงดูดทุกคนได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จนตรอก พวกเขาก็จะทำอย่างนี้อยู่ดี
ไม่ได้มีของมากอย่างที่จินตนาการไว้ แต่นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับเหมียวอี้เท่านั้น ที่จริงนี่ยังถือเป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่สำหรับพวกเขา หลังจากเริ่มแบ่งเฉลี่ยตามที่ตกลงกันไว้ แต่ละคนก็เริ่มกระปรี้กระเปร่าแล้ว ที่จริงของไม่ใช่จนวนน้อยๆ เลย
หลังจากแบ่งเฉลี่ยนกันคร่าวๆ ก็พบของที่ได้มาเยอะกว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ยังยากจนไม่รู้ตั้งกี่เท่า เพียงพอจะเลี้ยงคนที่อยู่ตรงนั้นได้หลายร้อยปี สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ มีของที่ราคาสูงอยู่ไม่น้อยเลย ทว่าเก็บไว้ก็ยังมีประโยชน์ ไม่สะดวกจะนำไปเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกตน สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้นำไม่ปล่อยขาย แต่ของที่สามารถใช้สำหรับฝึกตนได้ เมื่อนำมาเฉลี่ยให้ทั้งห้าแล้วก็ไม่ถือว่าเยอะ
ก่อนหน้านี้ซือถูเซี่ยวเสียสัตว์พาหนะไป ตอนที่แบ่งของกันจึงให้เขาเอาไปก่อนตัวหนึ่ง นับว่าทำให้ความขุ่นเคืองของซือถูเซี่ยวที่โดนค้นตัวก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
หลังจากนั้น ฉางเหลยก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “เหมียวอี้เอาของมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? คนเราต่างกันจนน่าโมโห สงสัยเทพพยากรณ์จะพูดไว้ไม่ผิด เจ้าหนุ่มนั่น…” เขาส่ายหน้าเบาๆ ประโยคหลังไม่ต้องพูดถึงแล้ว
มู่ฝานจวินดีดแหวนเก็บสมบัติสองวงแบ่งให้อันหรูอวี้กับจงเจิ้น หลังจากแบ่งพวกยาแก่นเซียนให้ลูกศิษย์แล้ว มู่ฝานจวินก็เหล่ตาจ้องอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมพูดแดกดัน “จอมมาร เกราะรบผลึกแดงช่างเข้ากับเจ้าจริงๆ ทั้งยังมีปีกคู่หนึ่งด้วย เกรงว่าจะเป็นวิชาที่อยู่ในเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินน่ะสิ หลานเขยดูแลเจ้าดีใช้ได้เลยนะ”
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วมองมาอย่างค่อนข้างอิจฉา อวิ๋นอ้าวเทียนกลับฟังแล้วรู้สึกว่ามู่ฝานจวินค่อนข้างน้อยใจ เรื่องบางเรื่องมีเพียงทั้งสองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ จึงพูดจาสองแง่สองง่ามว่า “คนที่แต่งงานออกไปไม่ใช่หลานสาวข้าคนเดียวเสียหน่อย เจ้าอยากได้ก็ไปเอ่ยปากเองสิ”
มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูกแล้วโต้ตอบว่า “ข้าไม่ได้ไร้ยางอายอย่างเจ้า!”
ทำไมฟังดูหยาบคายขนาดนี้? อวิ๋นอ้าวเทียนเลิกคิ้ว แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าร่างกายของผู้หยิงอย่างเจ้าจะอุ้มแล้วรู้สึกสบายมือเหมือนเดิม ถ้ารู้แต่แรกคงฉวยโอกาสนอนกับเจ้าไปแล้ว!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เหมือนแมวที่โดนเหยียบหางทันที ตรงนั้นมีลูกศิษย์นางอยู่ด้วย มีหรือที่จะยอมโดนดูหมิ่นแบบนี้ ตะคอกอย่างเดือดดาบทันที “ไอ้โจรสุนัข…”
เรียกได้ว่าอยากจะพุ่งเข้ามาสู้ตายเสียตรงนั้นเลย พวกฉางเหลยที่กลั้นขำรีบเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองคน “ตอนอยู่พิภพเล็กพวกเจ้าสองคนทะเลาะกันมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมมาพิภพใหญ่แล้วยังไม่ยอมหยุดอีก ถ้าอยากจะสู้กันตอนหลังยังมีโอกาส ตอนนี้ยังไม่ได้แตกหักกัน อย่าเพิ่งสู้กันเลย เก็บแรงไว้ รักษาพลังไว้…”
“ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน อย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์…”
หลังจากวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาที่ปลอมตัวแล้วก็เก็บลูกศิษย์ของตัวเองเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ มู่ฝานจวินที่โกรธจนกระหืดกระหอบรักษาระยะห่างกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ทำสีหน้าเหยียดหยาม โดยมีพวกฉางเหลยกั้นระหว่างทั้งสองไว้ ทุกคนเดินทางไปยังเป้าหมายอีกครั้ง
“หยุดก่อน!”
หลังจากนั้นหลายวัน บนท้องฟ้าก็มีเสียงตะคอกดังมา
ห้าคนที่เร่งเหาะด้วยความเร็วเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงบนดาวเคราะห์ฝั่งขวามือพลันมีทหารสวรรค์เกราะทองถืออาวุธเหาะเข้ามาขวางทาง
“ท่าไม่ดีแล้ว หรือว่าพวกเราจะถูกจับได้เพราะเส้นทางที่มา?” จีฮวนถามอย่างร้อนใจ
“ต้องลงมือกำจัดพวกเขามั้ย?” ซือถูเซี่ยวถาม
“ไม่รู้ว่าแถวนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่า อย่าให้โดนถ่วงเวลาเลย” ฉางเหลยกล่าว
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจพวกเขา พุ่งไปข้างหน้าต่อ!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทั้งห้าเร่งความเร็วสุดแรงเกิดทันที พุ่งตัวผ่านไปก่อนที่ทหารสวรรค์สามคนจะขวางทาง หนีไปยังจุดลึกของดาราจักรด้วยความเร็วสูง
“บังอาจ! ยังไม่รีบหยุดให้สอบสวนอีก!” ทหารสวรรค์สามคนตวาดเสียงเข้ม ไล่ตามอยู่ข้างหลังไม่ยอมปล่อย
ทั้งสองฝ่ายวรยุทธ์ต่างกันเกินไป ทั้งห้าหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นสบตาและพยักหน้าให้กัน แล้วโยนสัตยว์พาหนะออกมาช่วยเป็นพลังเท้า ไม่นานก็ดึงระยะห่างจากคนข้างหลังได้
เมื่อเห็นว่ายิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกล ทหารสวรรค์คนหนึ่งก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาเขย่า ได้แต่มองดูทั้งห้าหายไปยังจุดลึกในดาราจักร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีปัจจัยที่จะขี่สัตว์พาหนะ
หลังจากนั้นครึ่งวัน ทั้งห้าถึงได้พบว่าตัวเองไปแหย่รังแตนเข้าแล้ว ระหว่างทางข้างหน้ามีทหารสวรรค์เหาะมาขวางทางไม่หยุด พร้อมตะโกนให้พวกเขาหยุด
ทั้งห้าจะกล้าหยุดเสียที่ไหนกัน และไม่เสียเวลาพัวพันด้วย บุกฝ่าผ่านไปหลายครั้งต่อต่อกัน จนสุดท้ายโดนทหารสวรรค์สิบกว่าคนขี่สัตว์พาหนะตามไม่ปล่อยแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นยังรออยู่ตอนหลัง บนฟ้าตรงหน้าพลันมีทหารสวรรค์เกราะม่วงหกคนโผล่มาเรียงแถวหน้ากระดาน ข้างหลังก็ยิ่งมีทหารสวรรค์กระจายกำลังอยู่หลายพันคน ฝ่ายตรงข้ามอุดทางพวกเขาไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่ารีบมาดักรอล่วงหน้าหลังจากได้รับข่าว
หกคนที่มาขวางอยู่ข้างหน้า แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง
“ทำยังไงดี? สัตว์พาหนะของพวกเราไม่เร็วเท่านักพรตระดับบงกชรุ้งหรอก” ฉางเหลยถามอย่างกังวล ลำพังแค่ปีศาจแมงมุมระดับบงกชรุ้งคนเดียวก็ทำให้พวกเขาทนไม่ไหวแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีนักพรตบงกชรุ้งโผล่มารวดเดียวหกคนอีก
“เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ข้า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงต่ำ
สี่คนที่เหลือสบตากันแวบหนึ่ง เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจมากังวลแล้วว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะฉวยโอกาสทำร้ายพวกเขาหรือเปล่า พากันเก็บสัตว์เทพทันที เป็นฝ่ายเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นอ้าวเทียนแทน
ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็หยุดอยู่บนฟ้าเช่นกัน เมื่อเห็นกองกำลังกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา เขาก็ถือดาบใหญ่สีแดงในแนวขวาง พร้อมพึมพำเบาๆ “วิถีมารครองใต้หล้า!”
ปราณมารลอยวนเวียนรอบกาย ก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสองลูกบนแผ่นหลัง แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดกลายเป็นปีกสีดำสองข้างราวกับผีเสื้อออกจากรังไหม
ปีกมารสองข้างขยับอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นฟ้า บินวาดเป็นแนวเส้นโค้งเหนือท้องฟ้าผ่านกองกำลังกลุ่มใหญ่ข้างหน้าไป แม่ทัพเกราะม่วงหกคนนั้นหมุนตัวไล่ตามไปทันที โดยมีกำลังพลหลายพันคนเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางและไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นพักหนึ่ง กำลังพลหลายพันก็โดนทิ้งห่างจนมองไม่เห็นเงาแล้ว มีเพียงนักพรตบงกชรุ้งหกคนที่ยังกัดไม่ปล่อยอยู่ข้างหลัง แต่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
แม่ทัพที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังสบตากันแวบหนึ่งด้วยสีหน้าตกตะลึง ตามที่ได้รับรายงานข่าวก่อนหน้านี้ พวกเขาตัดสินว่าผู้ร้ายคือนักพรตระดับบงกชทอง เดิมทียังคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาลงมือเอง จนกระทั่งหลังจากได้ข่าวว่ากำลังพลเบื้องล่างตามคนร้ายไม่ทัน เบื้องบนถึงได้รีบส่งพวกเขามาดักทางไว้ แต่ใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาลับ ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนจะไล่ตามไม่ทัน
แม่ทัพคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล จึงหยิบระฆังดารารายงานสถานการณ์ ขอให้เบื้องบนส่งแม่ทัพใหญ่ที่เป็นนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมา!
เบื้องบนตอบกลับมาสี่คำ : บอกตำแหน่งมา!
ทั้งหกคนไม่สนว่าจะไล่ตามทันหรือไม่ ต่อให้ระยะห่างจะเพิ่มขึ้นทีละนิด แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดไล่ตาม ทำแบบนี้จะได้ไม่คลาดจากเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็คงการติดต่อกับเบื้องบนไว้เป็นระยะ รายงานทิศทางที่ไล่ตามไป จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ทั้งหกถึงได้เลิกไล่ตาม
อวิ๋นอ้าวเทียนที่หันกลับไปมองเป็นระยะกลับยังไม่โล่งใจ ในใจกลับกระวนกระวายมากด้วยซ้ำ ร่องรอยเส้นทางถูกเปิดโปงแล้ว มีหรือที่ตำหนักสวรรค์จะหยุดอยู่แค่นี้ ตอนหลังจะยิ่งมีตัวละครที่ร้ายกาจกว่านี้โผล่มาแน่นอน
เดิมทีเขาคิดจะหาที่หลบ แต่การจะหลบตอนนี้ก็สายไปหน่อย อีกประเดี๋ยวกำลังพลของตำหนักสวรรค์จะต้องขยายการค้นหาบริเวณนี้อย่างเข้มงวดแน่นอน จะไปหลบอยู่ที่ดาวไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น มิหนำซ้ำรอบข้างก็มีกองกำลังกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่โผล่มาตะโกนให้หยุดเป็นระยะ ไม่มีทางหลบแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าอาณาเขตผืนนี้ถูกตำหนักสวรรค์ปิดล้อมไว้แล้ว กำลังพลกำลังเร่งมารวมตัวกันที่บริเวณนี้
โชคดีที่สถานที่เป้าหมายน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนทำได้เพียงคาดหวังในความหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของเทพพยากรณ์ เชื่อมั่นว่าการไปยังสถานที่นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง
หลังจากนั้นครึ่งวัน อวิ๋นอ้าวเทียนที่กวาดสายตามองไปรอบๆ เป็นระยะพลันหยุดจ้อง เรียกได้ว่าดีใจมาก ประตูดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าปรากฏให้เห็นรางๆ แล้ว ถึงเป้าหมายแล้ว!
ในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้ประตูดวงดาว เรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนที่ระแวดระวังรอบข้างพลันเบิกตากว้างมองไปข้างหลัง เห็นเพียงคนสามคนที่สวมเกราะรบสีแดงยศแม่ทัพใหญ่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ! อวิ๋นอ้าวเทียนหัวใจกระตุกวูบ สามคนนั้นมีความเร็วที่น่าหวาดกลัว ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว จากเงาคนที่เลือนรางก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ชัดเจนแล้ว
…………………………