ตอนนี้หยุดแล้วจริงๆ เขาเอนลงบนพื้นพร้อมหอบหายใจแรงราวกับวัว รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นมีเพียงเขาที่รู้แจ่มแจ้งดีที่สุด ทรมานยิ่งกว่าตายจริงๆ
หงเฉินกลับหวาดกลัวแล้ว รีบตรวจดูอาการ พบว่าในร่างกายเหมียวอี้มีสภาพปั่นป่วนมาก จึงประคองเหมียวอี้ให้ลุกนั่งทันที แล้วนางก็นั่งขัดสมาธิข้างหลังเขา ใช้ฝ่ามือสองข้างยันแผ่นหลังของเขาเอาไว้ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเหมียวอี้จัดระเบียบสภาพปั่นป่วนในร่างกาย
ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ทำให้นางตระหนกตกใจก็เกิดขึ้นแล้ว เหมียวอี้ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน และในตอนนี้ก็ไม่มีทางต้านทานไหวด้วย แต่พอพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเข้าสู่ร่างกายเหมียวอี้ ก็ถูกพลังประหลาดสองกลุ่มละลายทิ้งทันที หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับดินโคลนที่ไหลลงทะเล ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นางใช้เพิ่มจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เหมียวอี้อาการบรรเทาลงเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดได้แล้ว โบกมือเบาๆ พร้อมบอกว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก อย่าแตะต้องข้า”
หงเฉินไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ประคองให้เขานอนลง แล้วรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว
พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวก็รีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดิมทีก็อยู่ใกล้อยู่แล้ว อยู่ห้องข้างๆ กัน
พอเห็นสภาพเหมียวอี้เป็นอย่างนั้น อวิ๋นจือชิวก็ทั้งกลัวทั้งโมโห ชี้หงเฉินพร้อมตกคอกว่า “เขาเป็นอะไรอีกแล้ว? ทำไมพอมาหาเจ้าแล้วเกิดเรื่องทุกที?”
ต่อให้หงเฉินมีร้อยปากก็แก้ตัวได้ลำบาก ครั้งก่อนตอนเหมียวอี้ใช้ดวงตาทิพย์ก็ล้มลงที่นี่ครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็ล้มลงอีกแล้ว ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ได้แต่ตอบอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “เขาให้ข้าชี้แนะเขาฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นแบบนี้”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งคุกเข่าตรวจอาการให้เหมียวอี้พลันเงยหน้า “ตอนเจ้าชี้แนะเขาเจ้าแอบวางอุบายอะไรรึเปล่า? ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง?” สายตานางเหมือนต้องการจะกินคน
หงเฉินได้แต่ส่ายหน้า
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง” เหมียวอี้ยกมือกดข้อมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ รอยยิ้มดูอ่อนแรง
ตอนยังไม่ขาดทุนก็ยังไม่เข้าใจ แต่หลังจากขาดทุนแล้วก็เข้าใจชัดเจน เขาตระหนักได้จากดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าในร่างกาย ดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าที่ก่อตัวขึ้นจากการดูดซับไฟหยางกับไฟหยิน ที่จริงแล้วกำลังรักษาสมดุลหยินหยางในร่างกายเขาเอาไว้ ส่วนเคล็ดวิชาที่เขาฝึกก็เหมือนจะมีบทบาทในการปรับหยินหยางให้ได้สัดส่วนเหมาะสม แต่เขากลับอยู่ดีไม่ว่าดีไปฝึกเคล็ดวิชาอีกประเภทหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ทำลายสมดุลหยินหยางในร่างกายแล้ว ทำให้หยินหยางในร่างกายปั่นป่วน นี่คือผลจากการที่หยินหยางปะทะกัน
“ยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับนางอีกเหรอ พอเจ้ามาที่นี่หนึ่งครั้ง ก็เกิดเรื่องขึ้นหนึ่งครั้ง ข้าว่านางเกิดมาเป็นอริเจ้าโดยธรรมชาติ ต่อไปอย่าแตะต้องนางบ่อย!” อวิ๋นจือชิวค่อนข้างเดือดดาล พูดจาไม่รักษาน้ำใจไมตรีเลยสักนิด ทำเอาหงเฉินทำสีหน้าอึดอัดมาก
“เหลวไหล…” เหมียวอี้ช่วยพูดแก้ตัวให้หงเฉิน พบว่าอวิ๋นจือชิวลงมือร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยปรับสภาพปั่นป่วนในร่างกายให้เขาแล้ว จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องทำแล้ว ไม่มีประโยชน์”
“เอ๋!” ไม่ต้องให้เขาเตือน อวิ๋นจือชิวอุทานอย่างแปลกใจแล้ว นางย่อมพบสถานการณ์เดียวกับหงเฉินก่อนหน้านี้ พบว่าพอพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไปในร่างกายเหมียวอี้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ โดนความปั่นป่วนในร่างกายของเหมียวอี้สลายไปอย่างง่ายดาย จึงถามซักไซ้ทันที “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“อย่ามาแตะข้า ให้ข้าบรรเทาตัวเองสักหน่อย” เหมียวอี้ส่ายหน้า
อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงปล่อยเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดเลือดที่มุมปากให้เขา จากนั้นก็ปกป้องอยู่ข้างกายเขา เพียงแต่บางครั้งสายตาที่มองหงเฉินก็ดูไม่เป็นมิตรสุดๆ ทำเอาหงเฉินไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ตรงไหน
รอจนกระทั่งร่างกายและจิตใจที่โดนโจมตีสงบลงเล็กน้อย เหมียวอี้ที่นอนอยู่บนพื้นหลับตาลง โคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราอีกครั้ง
พอเริ่มใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารา ความปั่นป่วนในร่างกายก็เหมือนจะเป็นระเบียบเร็วมาก ดาวสีแดงกับดาวสีฟ้าที่ชนกันมั่วอยู่ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์กลับเข้าประจำตำแหน่งหยินหยางอย่างรวดเร็ว กลับสู่สภาวะจับคู่หมุนวนเหมือนก่อนหน้านี้ ความรู้สึกผ่อนคลายแผ่ซ่านทั่วร่างกาย กวาดล้างความรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากการชนปะทะไปจนหมด สบายจนเหมียวอี้แทบจะครางออกมา
ความเจ็บปวดทรมานมาเร็ว แต่ก็ไปเร็วยิ่งกว่า อวิ๋นจือชิวกับหงเฉินจ้องเขาด้วยสายตาประหลาดใจ พบว่าสีแดงและสีฟ้าบนตัวเขากำลังอ่อนจางลงทีละนิด และไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สีผิวกลับมาเหมือนปกติแล้ว
เหมียวอี้ที่ลืมตาขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ยืนขึ้นตัวแข็งตรงแน่ว แล้วยกมือสองข้างกล่าวกับสองสาวด้วยรอยยิ้ม “หายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว!”
อวิ๋นจือชิวรีบยื่นมือไปดึงข้อมือเขา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร นางก็ตบหน้าอกที่อวบอิ่มของตัวเอง แล้วพูดด้วยอารมณ์ว่า “ข้าตกใจแทบตาย! เจ้านี่ยังไงกัน เป็นเพราะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหรอ? อยู่ดีๆ เจ้าจะไปฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทำไม?”
“อยากจะลองสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ ไม่ได้พูดความจริงออกมา
เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับจริงๆ เขาอยากจะมีทักษะเพิ่มเพื่อเอาไว้ปกป้องชีวิตหลังจากไปนรก ห้าปราชญ์สามารถอาศัยเคล็ดวิชาพิเศษหนีรอดจากการไล่ฆ่าของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ในมือเขาก็มีหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่เหมือนกัน ทำไมไม่ลองฝึกดูสักหน่อยล่ะ แต่ใครจะไปคิดว่าเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและเคล็ดวิชาที่ตนฝึกจะชงกัน ไม่มีทางฝึกควบได้เลย ซวยเลย ไปทรมานเฉยๆ โดยไม่ได้อะไร
เหมียวอี้หันกลับมาพูดกับหงเฉินพร้อมรอยยิ้ม “ฮูหยินพูดไปตามอารมณ์น่ะ คำพูดเมื่อครู่นี้เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดต่อทันทีว่า “ข้าไม่ได้พูดไปตามอารมณ์เลยจริงๆ โชคชะตาเป็นสิ่งที่พูดให้กระจ่างได้ยาก บางทีหงเฉินอาจจะดวงเป็นอริกับเจ้าจริงๆ ก็ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่เกิดปัญหาตอนอยู่ต่อหน้านางบ่อยๆ หรอก หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ ต่อไปถ้าเจ้าจะมาที่นี่เจ้าต้องบอกข้าก่อน”
“พูดเหลวไหลอะไร ก่อนจะมาข้าไม่ได้บอกเจ้ารึไงล่ะ?”
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวที่เถียงไม่ออกดึงแขนเขาเดินออกไป นางถูกทำให้ตกใจไปแล้วสองครั้ง ไม่วางใจให้เหมียวอี้กับหงเฉินอยู่ด้วยกันตามลำพังอีก
ทิ้งให้หงเฉินที่ยืนเงียบๆ อยู่ในศาลายิ้มแห้ง “ต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่ลมกลับไม่หยุดพัด!”
เหมียวอี้ที่ถูกอวิ๋นจือชิวลากเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ถูกอวิ๋นจือชิวด่าอีกยก
แค่ด่าก็ส่วนด่า หลับงจากด่าเสร็จก็ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์เฝ้าเหมียวอี้เอาไว้ ไม่ให้เหมียวอี้เพ่นพ่านไปไหน เน้นย้ำว่าไม่ให้เหมียวอี้ไปหาหงเฉิน ส่วนนางก็เข้าครัวทำอาหารบำรุงร่างกายให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง
ท่านขุนนางเหมียวถูกปกป้องไว้ชั่วคราว
เพียงแต่กลางดึกในคืนนั้น เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยอ๋อร์ก็ถูกเสียงประหลาดทำให้ตกใจจนต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดนอนปล่อยผมสลายเผยหน้าอกออกมาครึ่งหนึ่ง เรือนร่างเย้ายวนใจมาก นางกำลังอมน้ำบ้วนปากไม่หยุด แล้วก็ขากถุยน้ำที่อยู่ในปากไม่หยุด ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
สาวใช้ทั้งสองก้าวเข้าไป ยังไม่เคยเห็นนางเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เสวี่ยอ๋อร์จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
เสียงหัวเราะลั่นอย่างลำพองใจของเหมียวอี้ดังมาจากในห้อง เชียนเอ๋อร์มองดูการแต่งตัวของอวิ๋นจือชิวแล้วเข้าใจในทันที รีบดึงแขนเสื้อเสวี่ยอ๋อร์ บอกใบว่าอย่าถามอะไรมาก
อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องทั้งสองแวบหนึ่ง แก้มแดงก่ำ เรียกได้ว่าฉุกละหุกหนีกลับเข้าไปในห้อง…
หลายวันต่อมา เหมียวอี้ก็ขลุกอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน เสพสุขกับอาหารวันละสามมือที่อวิ๋นจือชิวเข้าครัวบริการด้วยตัวเอง ทุกมื้อมีอาหารให้กินไม่ซ้ำแบบ อวิ๋นจือชิวเองก็ทุ่มเทความคิดทำอาหารให้ถูกปากเขา หลังจากกินอิ่มเขาก็นอนบนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์พร้อมถือแผ่นหยกครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยอ๋อร์ผลัดกันมาปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ถือพัดหวายพัดให้เขาเบาๆ ปากก็บอกว่ารับใช้ แต่ที่จริงได้รับคำสั่งจากอวิ๋นจือชิวให้มาเฝ้า
อวิ๋นจือชิวเข้าออกชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วเดินผ่าน ก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ กำลังดูอะไรอยู่?”
เหมียวอี้ตอบไปส่งๆ ว่า “งานราชการ” ที่จริงกำลังศึกษามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่
เขาหลบอยู่ในนี้ แต่ตลาดสวรรค์กลับเหมือนโดนระเบิดรัง กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทุกที่ ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าไปทดสอบในนรกแพร่ออกไปอย่างเป็นทางการแล้ว เผยแพร่ไปทั่วแล้ว
ที่ริมหน้าต่างของภัตตาคาร คนบางกลุ่มกำลังมองทหารสวรรค์ที่เดินลาดตระเวนอยู่ข้างล่าง เริ่มพูดจาเหลวไหลกันแล้ว
“ได้ยินแล้วหรือยัง ตลาดสวรรค์ถูกแยกออกจากการปกครองเดิมแล้วนะ ส่งให้ราชินีสวรรค์ควบคุมทั้งหมด ต่อไปนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะไม่ถูกกุมอยู่ในมือผู้มีอำนาจอีกแล้ว ใครมีความสามารถคนนั้นก็จะได้ไป
“จะไม่เคยได้ยินได้ยังไง ได้ยินว่าเริ่มมาจากที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขิงสายมะแมตายสามคน ทำเอาราชันสวรรค์เดือดดาบจนอยากปรับปรุงตลาดสวรรค์”
“ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าไปทดสอบในนรก เพียงแต่ขอให้เป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ที่มีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทอง ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีฐานะสูงหรือต่ำก็สามารถลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้หมด”
“เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้ไม่นานแล้ว ถ้าไม่ถอนตัวแล้วโดนลดขั้น ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นรก พวกเจ้าลองคิดดูสิ เขาล่วงเกินผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ถ้าต้องไปนรกจริงๆ เกรงว่าจะตายสถานเดียว”
“ใครใช้ให้เขาทำตัวเด่นล่ะ ตัดหัวคนจนเสพติดบารมี ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ถึงคราวของเขาแล้ว เขาคงจะนึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะตามทันเร็วขนาดนี้”
“พวกเจ้าก็อย่าพูดไป หนิวโหย่วเต๋อนั่นจีบผู้หญิงมีสามีแล้วที่ร้านโฉมเมฆามาตลอด พวกเจ้าเคยเห็นรึเปล่า? ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างของนางเลย นอกจากจะมีเรือนร่างยั่วราคะแบบต้นตำหรับ หน้าตาก็ยังดี เสน่ห์ก็มีด้วย อยู่ที่ตลาดสวรรค์นับว่าถูกหนิวโหย่วเต๋อนั่นทำให้โด่งดังแล้ว ไม่รู้ว่าดึงดูดให้คนตั้งมากมายเท่าไรจับตามอง ถ้าไม่มีหนิวโหย่วเต๋อคอยคุ้มครอง พวกเจ้าคอยดูเถอะ สักวันก็ต้องโดนคนเก็บไปเป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองคนเดียว”
ข่าวที่เผยแพร่ในตลาดสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ถึงหูของร้านโฉมเมฆา
ช่างไม้รีบร้อนวิ่งเข้ามาในร้านค้า มุ่งตรงสู่ลานบ้านด้านหลัง ตะโกนเรียกอวิ๋นจือชิวที่กำลังสั่งงานลูกน้อง “เถ้าแก่เนี้ย!”
อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องเขา หลังจากสั่งงานเสร็จแล้วโบกมือให้ลูกน้องถอยออกไป นางถึงได้หันกลับมาถามว่า “มีเรื่องอะไรต้องรีบร้อนขนาดนี้?”
“เถ้าแก่เนี้ย แย่แล้ว การปรับปรุงตลาดสวรรค์ครั้งนี้ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ไปทดสอบที่นรก…”
หลังจากช่างไม้เล่าข่าวที่ตัวเองไปสืบมาได้อย่างตรงไปตรงมา อวิ๋นจือชิวก็หน้าเขียวแล้ว ไม่รอให้ช่างไม้พูดจบ นางยกกระโปรงวิ่งออกไปแล้ว ขึ้นตึกแล้วเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์นั่งอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ แต่ไม่เห็นเหมียวอี้ นางก็ถามทันทีว่า “นายท่านไปไหน?”
เชียนเอ๋อร์ลุกขึ้นตอบ “นายท่านอยู่ในห้องค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวรีบเร่งฝีเท้าเดินไป พอผลักประตูเดินเข้าไปในห้องแล้วมองเข้าไป นางก็ตกใจมาก เห็นเหมียวอี้นอนตัวสั่นเทิ้มอยู่บนเตียง บนพื้นมีรอยกระอักเลือดที่ยังไม่แห้ง
เชียนเอ๋อร์ที่เดินตามเข้ามาตกใจแทบแย่แล้ว
อวิ๋นจือชิวที่หน้าซีดเผือดรีบนั่งบนเตียงแล้วประคองศีรษะเหมียวอี้ไว้บนขาตัวเอง นางกวาดสายตาไปเห็นแผ่นหยกที่อยู่ข้างๆ จึงหยิบขึ้นมาดู พอพบว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคน นางก็เข้าใจทันทีว่าช่วงนี้เหมียวอี้กำลังศึกษามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาตลอด
“ไม่เป็นไรหรอก พักประเดี๋ยวเดียวก็ดีขึ้นแล้ว” เหมียวอี้เผยรอยยิ้มที่อ่อนแรงน่าสงสาร
อวิ๋นจือชิวเอามือลูบใบหน้าหน้า กัดริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำ หยดน้ำตาที่เหมือนผลึกใสไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่า
มาจนป่านนี้แล้ว ถ้านางยังไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าเป็นคนโง่แล้ว จู่ๆ เจ้าหมอนี่ก็ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังจากบาดเจ็บไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เปลี่ยนไปฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอย่างอดในรอไม่ไหว เมื่อจับมาประสมกับข่าวที่เพิ่งฟังมา ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่รู้เรื่องไปทดสอบที่นรกตั้งนานแล้ว เขากำลังคิดจะเพิ่มความสามารถให้ตัวเอง นี่เป็นการเตรียมตัวเพื่อไปทดสอบในนรก!
ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว เข้าใจว่าทำไมเหมียวอี้ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังจากที่รู้ว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนปล้นเสร็จแล้วหนีไปที่นรก
“ร้องไห้ทำไม ข้าไม่เป็นอะไร!” เหมียวอี้ออกแรงยกมือขึ้นมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง
อวิ๋นจือชิวเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น จับเขานอนลงบนเตียง แล้วลุกขึ้นสั่งเชียนเอ๋อร์อย่างใจเย็นว่า “เก็บกวาดที่พื้นสักหน่อย”
…………………………