พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1179 โดนเมิน

ผู้บัญชาการทั้งสี่ติดตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้และกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองด้วยกัน

ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งก่อน คนกลุ่มนี้มุ่งตรงเข้าไปเลย ขึ้นไปอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ด้วยกัน นี่คือจุดที่อยู่กึ่งกลางที่สุดของทั้งตลาดสวรรค์ สามารถมองเห็นทั้งตลาดสวรรค์ได้ ความเจริญรุ่งเรืองอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ในสายตาทั้งหมด เมื่อทอดสายตามองไปสามารถทำให้รู้สึกองอาจผึ่งผาย

“ชมทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลยนะ!” เหมียวอี้โบกมือชี้ไปรอบๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อไม่มีปี้เยว่ฮูหยินคอยกดดัน อารมณ์เขาก็ดีใช้ได้เลย ในที่สุดก็ไม่ต้องไปเบียดอยู่กับพวกฝูงชิงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว แถมตำหนักคุ้มเมืองก็กว้างใหญ่ สภาพแวดล้อมก็ดี สุดท้ายเหมียวอี้ก็มีอำนาจตัดสินใจทั้งดาวเทียนหยวนแล้ว

“เหอะๆ!” พวกสวีถังหรานหัวเราะตาม แต่ในใจค่อนข้างเก็บกด อนาคตของเหมียวอี้ไม่แน่นอน พวกเขากังวลอนาคตของตัวเองเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นหมารับใช้ของเหมียวอี้ ร่วมกับเหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าหากเหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว จะไม่ให้กังวลใจก็คงยาก!

มู่หรงซิงหัวยังดีหน่อย ถึงอย่างไรนางก็ยังมีเฉาว่านเสียงคุ้มครอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็แค่ออกจากตลาดสวรรค์ไปปักหลักที่อื่น แต่พวกสวีถังหรานกลับไม่มีปัจจัยแบบนั้น ใครจะมาขัดใจผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์เพื่อพวกเขาสามคนล่ะ?

สวีถังหรานนึกเสียทีหลังแทบตาย ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่ควรจะล่วงเกินร้านค้าพวกนั้นแบบถึงตายเลย ตอนนี้ลงเรือลำเดียวกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ถ้าคิดจะปลีกตัวก็คงยาก

ที่จริงเขาอยากจะเอ่ยปากถามเหมียวอี้มาตลอดว่าเตรียมตัวไว้อย่างไรหลังจากนี้ แต่จนใจที่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้อย่างไร

ด้านบน กลุ่มพี่ใหญ่ของตลาดสวรรค์กำลังพูดคุยหัวเราะกัน

ด้านล่าง เป่าเหลียนกำลังบงการสั่งให้คนเก็บกวาดสถานที่ เอาเครื่องประดับตกแต่งแบบผู้หญิงบางส่วนที่ปี้เยว่ฮูหยินทิ้งไว้ออกไป จำเป็นต้องประดับตกแต่งใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้

เหมียวอี้ก็แค่มาสัมผัสความรู้สึกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้ยังเข้าอยู่ไม่ได้เพราะกำลังตกแต่งปรับปรุงใหม่ ผ่านไปสักพักก็นำคนออกไปแล้ว เหลือแค่เป่าเหลียนที่อยู่จัดการงานที่นี่

เมื่อกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็เปลี่ยนเส้นทางไปร้านโฉมเมฆา

เมื่อรู้ว่าปี้เยว่ฮูหยินจากที่นี่ไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็โล่งใจ ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง นางรู้สึกได้รางๆ ว่าปี้เยว่ฮูหยินอยากจะยั่วผู้ชายของนาง

เหมียวอี้กำลังจะย้ายออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว อวิ๋นจือชิวเรียกผีจวินจื่อมา แล้วกำชับว่า “ทำลายทางใต้ดินจองจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกได้แล้ว ถมทิ้งไปเลย แล้วขุดเส้นทางใต้ดินใหม่ใต้ตำหนักคุ้มเมืองให้เชื่อมต่อกับร้านของพวกเรา”

“ขอรับ!” ผีจวินจื่อเอ่ยรับ แต่พอคิดไปคิดมาก็บอกอีกว่า “เถ้าแก่เนี้ย ตามที่ข้าสำรวจใต้ดินมา พบว่าข้างล่างของตำหนักคุ้มเมืองมีแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่งพอดี ข้าแนะนำให้ขุดทางใต้ดินของร้านค้าพวกนั้นผ่านไปถึงแม่น้ำใต้ดินโดยตรง แบบนี้ไม่เพียงแค่ประหยัดแรงงาน สาเหตุสำคัญที่สุดคือสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพบได้ด้วย ในภายหลังหากถูกจับได้ว่ามีทางใต้ดินตรงไหน ก็จะไม่เกี่ยวโยงไปถึงตำหนักคุ้มเมือง ส่วนทางตำหนักคุ้มเมืองก็ขุดทางที่เชื่อมกับแม่น้ำใต้ดินทางเดียวก็พอขอรับ”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ แบบนี้ก็สามารถทำให้แม่น้ำใต้ดินเป็นเส้นทางที่ใช้งานร่วมกันได้แล้ว ไม่ต้องขุดหลายเส้นทางให้คนสังเกตเห็นได้ง่าย อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขา การไปมาผ่านแม่น้ำใต้ดินไม่ใช่เรื่องยากอะไร “ได้! เอาตามนี้แล้วกัน รีบทำงานแข่งกับเวลา”

ผีจวินจื่อกำลังจะเริ่มถมทางใต้ดินเดิม เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นจากไปเช่นกัน ก่อนที่จะขุดทางใต้ดิน เขาจะไม่มีที่นี่อีกเป็นการชั่วคราว

หลังจากเข้ามาในทางใต้ดินกับผีจวินจื่อแล้วเดินไปข้างหน้าได้สักระยะ เหมียวอี้ก็ดึงผีจวินจื่อมาแล้วแอบกระซิบบอกว่า “ผีจวินจื่อ ขุดทางเชื่อมต่อระหว่างร้านค้าสมาคมวีรชนกับแม่น้ำใต้ดินให้ข้าอีกทาง…”

หลังจากฟังคำสั่งจบ ผีจวินจื่อก็กล่าวอย่างแปลกใจว่า “นายท่าน ขุดทางให้ร้านค้าสมาคมวีรชนทำไม ข้าได้ยินว่าท่านกับสมาคมวีรชนไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ”

เหมียวอี้ถลึงตาบอกว่า “จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าให้เจ้าขุดเจ้าก็ขุดไปสิ ข้าย่อมมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอยู่แล้ว”

“เกรงว่าจะทำได้ยาก ร้านค้าสมาคมวีรชนจะต้องวางค่ายกลป้องกันเอาไว้ใหญ่โตแน่นอน ตอนที่ขุดไปถึงตรงนั้น ถ้าค่ายกลป้องกันไม่ปิดใช้งาน ข้าก็ไม่มีทางขุดเข้าไปได้เลย” ผีจวินจื่อตอบอย่างกลุ้มใจ

เหมียวอี้ตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง รอจนเจ้าขุดไปถึงตรงนั้นแล้ว ข้าค่อยหาทางให้ร้านสมาคมวีรชนปิดใช้งานค่ายกลป้องกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ผีจวินจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ตราบใดที่สามารถปิดค่ายกลได้ งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

“จำไว้นะ เรื่องนี้มีเจ้ากับข้าที่รู้กันสองคน ห้ามบอกคนอื่น โดยเฉพาะเถ้าแก่เนี้ย เข้าใจมั้ย?”

“ไม่บอกเถ้าแก่เนี้ย? แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”

“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ? ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเถ้าแก่เนี้ย ไม่จำเป็นต้องทำให้เถ้าแก่เนี้ยกังวลเรื่องงานราชการของตำหนักสวรรค์ เข้าใจมั้ย?”

“ก็ได้ละมั้ง” ผีจวินจื่อทำท่าทางฝืนใจ

“ก็ได้ละมั้งอะไรของเจ้า?” เหมียวอี้ชี้เขาพร้อมเตือนว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้ามีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้ แล้วทำให้ข้าเสียงานใหญ่ ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะลงโทษเจ้ายังไง”

“ข้าไม่บอกเถ้าแก้เนี้ยก็ได้แล้วมั้ง?”

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เจ้าต้องสาบานเพื่อรับประกัน!”

“ได้ ข้ารับประกัน ข้าสาบานว่าจะไม่มีบุคคลาที่สามรู้เรื่องนี้ รวมทั้งเถ้าแก่เนี้ยด้วย”

“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย จำไว้นะ ห้ามให้มีบุคคลที่สามรู้เด็ดขาด”

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวตงหัวไปสิบกว่าลี้ ที่นั่นคือจวนแม่ทัพภาค เป็นจวนขุนนางใหม่ของปี้เยว่ฮูหยิน

แม่ทัพภาคเดิมของดาวตงหัวย้ายออกจากระบบของตลาดสวรรค์ไปแล้ว ที่ย้ายออกไปไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่ย้ายไปทั้งหมดเก้าคน ตอนนี้อำนาจมหาศาลของตลาดสวรรค์สิบแห่งมารวมอยู่ในมือปี้เยว่ฮูหยินคนเดียว ตลาดสวรรค์สิบแห่งที่เหมียวอี้อยู่ก็ขึ้นตรงต่อจวนแม่ทัพภาคตงหัว ตลาดสวรรค์จัดระเบียบใหม่โดยกำหนดชื่ออย่างเป็นทางการตามที่อยู่ของจวนแม่ทัพภาค ถ้าปี้เยว่ฮูหยินยังอยู่ที่ดาวเทียนหยวน ก็เกรงว่าจะถูกกำหนดชื่อเป็นจวนแม่ทัพภาคเทียนหยวนแล้ว

ปี้เยว่ฮูหยินรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการครบหนึ่งเดือนเต็ม ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สิบคนพาผู้บัญชาการสี่คนของตัวเองทยอยกันมาแสดงความยินดี พวกเหมียวอี้ย่อมอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน เป็นเพราะท่านโหวเทียนหยวนมีหน้ามีตา ขุนนางน้อยใหญ่ของท่านโหวเทียนหยวนจึงมาร่วมแสดงความยินดีเป็นกลุ่มใหญ่ เฉาว่านเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ท่านโหวเทียนหยวนก็มาสรรเสริญเยินยอฮูหยินด้วยตัวเองเช่นกัน

มีผู้จัดการร้านอีกนับไม่ถ้วนที่นำของขวัญมายกยอปอปั้น คนที่มีภูมิหลังค่อนข้างใหญ่โตได้รับสิทธิ์จากท่านโหวเทียนหยวน ถึงได้มีสิทธิ์เข้ามาร่วมแสดงความยินดี ส่วนคนที่เหลือทำได้เพียงนำของขวัญที่ติดชื่อตัวเองมาแขวนไว้ด้านนอกเพื่อแสดงออกว่าตัวเองเคยมาแล้ว อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวนับว่าเป็นกึ่งๆ สหายของปี้เยว่ฮูหยิน ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้มาเข้าร่วม ส่วนผู้ติดตามก็ถูกกันไว้ด้านนอก

ระหว่างผู้หญิงทั้งสองนับว่าสนิทกันแล้ว และนับว่าเป็น ‘เพื่อน’ กันด้วย หลังจากเข้ามาในงาน ทั้งสองก็จะไปเยี่ยมคำนับปี้เยว่ฮูหยิน แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับบอกว่ามีธุระ พวกนางจึงยังไม่ได้เข้าพบ ทำได้เพียงไปเยี่ยมคำนับตรงที่พักของเหมียวอี้แทน ถึงอย่างไรร้านค้าของทั้งสองก็อยู่ในอาณาเขตของเหมียวอี้ การไปเยี่ยมคำนับผู้บัญชาการใหญ่นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และนับว่าเป็นการอาศัยงานราชการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเช่นกัน

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ก็ไม่อยู่เหมือนกัน พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเขากำลังอยู่กับปี้เยว่ฮูหยิน จึงทำได้เพียงยกเลิกไปก่อน

เหยียนซู่ จางฮั่นฟาง หลิ่วกุ้ยผิง เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซางหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน รวมทั้งเหมียวอี้ ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสิบคนที่ปกติไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้ากัน ตอนนี้กลับได้รวมตัวกันแล้ว ในจำนวนนั้นมีผู้หญิงสามคนคือเหยียนซู่ ซางหรูเยว่และเหลียนฟางอวี้

ตอนนี้พวกเขานำผู้บัญชาการสี่คนของตัวเองไปรวมตัวกันในตำหนักประชุมของจวนแม่ทัพภาคแล้ว หลังจากปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งอยู่เบื้องสูงกล่าวให้โอวาทพอเป็นพิธีแล้ว ก็ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ต่อไปนี้ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัว ตอนนี้พบหน้ากันแล้ว เดี๋ยวทุกคนไปทำความคุ้นเคยกันสักหน่อยเถอะ”

พอเสร็จเรื่องตรงนี้แล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็ออกมาจากตำหนักใหญ่ แล้วเริ่มกล่าวทักทายปราศัยกันทันที

“พี่จาง”

“พี่เหยา”

“พี่ติง!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม

ใครจะคิดว่าจะไม่ได้รับเสียงตอบรับเลย แต่ละคนใช้หาทางตามองเขาหัวจดเท้า แค่มองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง ถึงขั้นขี้เกียจจะมองหน้าด้วยซ้ำ ทำเอาเหมียวอี้อึดอัดเก้อเขิน แม้แต่ผู้บัญชาการทั้งสี่ของเหมียวอี้ก็โดนเมินตามไปด้วยเช่นกัน มีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ยังดีหน่อย จะดีจะร้ายทุกคนก็ตอบกลับนางอย่างเกรงใจ เห็นได้ชัดว่าเห็นแก่หน้าเฉาว่านเสียงสามีของนาง

มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน เหมียวอี้นำคนยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กำลังใช้สายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนที่ทักทายปราศัยกัน เห็นได้ชัดว่าวงสังคมนี้กำลังกันเขาออกไป

พอลองคิดดูนิดหน่อยก็รู้เหตุผลแล้ว คนทีสามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลัง แต่เหมียวอี้กลับเป็นคนที่ไปล่วงเกินคนที่มีภูมิหลังมาแล้วเกือบหมด ผู้บัญชาการใหญ่พวกนี้ไม่ใช่ร้านค้าในสังกัดของเหมียวอี้ จึงไม่กลัวว่าจะถูกเขาลงโทษ ย่อมไม่ไว้หน้าเหมียวอี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะให้บทเรียนกับเหมียวอี้เสียตรงนั้นเลย ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เป็นคนของปี้เยว่ฮูหยิน ทุกคนยังไว้หน้าอยู่บ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาทำตัวสนิทสนมอย่างจริงใจ

ขณะที่ทุกคนตรงนี้กำลังพูดคุยทักทายกันอยู่ จู่ๆ ในสวนก็มีคนกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกมา มีประมาณสามร้อยกว่าคน มีทั้งหญิงทั้งชาย ในจำนวนนั้นมีหลายคนที่เหมียวอี้เคยเจอในงานแต่งงานของเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัว ทั้งหมดเป็นหัวหน้าภาคใต้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวน ส่วนใหญ่ลูกน้องของหัวหน้าภาคพวกนั้นก็มากันครบ มาสรรเสริญเยินยอปี้เยว่ฮูหยินด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งไปพบท่านโหวเทียนหยวนในสวนมา

เฉาว่านเสียงย่อมรวมอยู่ในนั้นด้วย หลังจากเห็นมู่หรงซิงหัวที่อยู่ทางนี้แล้ว เขาก็ปลีกตัวเดินออกมาจากกลุ่มคน

เหมียวอี้และคนอื่นๆ คำนับทันที “คำนับหัวหน้าภาคเฉา!”

เฉาว่านเสียงตอบเพียง “อื้ม” ไม่มองเหมียวอี้ตรงๆ ด้วยซ้ำ ท่าทีที่มีต่อเหมียวอี้ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ท่าทีหยิ่งยโสมาก ยิ้มให้มู่หรงซิงหัวคนเดียว “ซิงหัว ได้พบฮูหยินหรือยัง?”

เมื่อเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็มองไปที่เหมียวอี้อย่างลำบากใจแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “เพิ่งไปพบมาค่ะ”

“เราสองสามีภรรยาไม่ได้เจอกันนาน ไปหาที่นั่งคุยกันเถอะ” เฉาว่านเสียงจูงมือที่เรียวสวยของมู่หรงซิงหัวเดินไป

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่หรงซิงหัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่เฉาว่านเสียงพาตัวไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ แบบนี้มองข้ามหัวกันเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเจ้าแล้วนะ

มู่หรงซิงหัวรีบสลัดมือออก แล้วถลึงตาจ้องเฉาว่านเสียงแวบหนึ่ง

เฉาว่านเสียงเข้าใจ จึงเอียงหน้ามองเหมียวอี้พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ภรรยาข้ามีธุระนิดหน่อย จะพาออกไปชั่วคราว เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เชิญตามสะดวก!”

มู่หรงซิงหัวก็เลยถูกเฉาว่านเสียงจูงมือออกไป ส่วนสวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้แอบสบตากันแวบหนึ่ง

ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์คนอื่นๆ ที่มองมาทางนี้ ถ้าไม่หัวเราะเยาะก็ทำสีหน้าเยาะเย้ย

ในบรรดาผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สิบคน เหยียนซู่ ซางหรูเยว่ เหลียนฟางอวี้ ผู้หญิงทั้งสามคนถูกหัวหน้าภาคสามคนทยอยกันจูงมือออกไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงสามคนนี้เป็นฮูหยินของหัวหน้าภาค ทางนี้คงจะมีมู่หรงซิงหัวที่ตำแหน่งต่ำไปหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ มู่หรงซิงหัวแต่งงานกับเฉาว่านเสียงช้าไป

หลังจากเดินไปไกลแล้ว มู่หรงซิงหัวก็เริ่มถ่ายทอดเสียงบ่นเฉาว่านเสียง “เมื่อครู่นี้ท่านทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?”

เฉาว่านเสียงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นหัวหน้าภาคที่ยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่กระจอกๆ อย่างเขาเชียวหรือ?”

“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บังคับบัญชาของข้า” มู่หรงซิงหัวกล่าว

“ผู้บังคับบัญชาเหรอ?” เฉาว่านเสียงพ่นเสียงทางจมูก “สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ เขาก็ต้องตายอยู่ดี ถ้าไปที่นรกแล้ว คนที่ต้องการเล่นงานเขาให้ตายมีเป็นโขยง เจ้าคิดว่าเขาจะยังรอดชีวิตกลับมาได้อีกเหรอ? ดังนั้นตอนนี้เจ้ารักษาระยะห่างกับเขาหน่อยดีกว่า เมื่อครู่ที่ข้าเมินเขาก็เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็น เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ปี้เยว่ฮูหยินเห็นแก่ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านโหว นางไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องเจ้าซี้ซั้วหรอก จะกลัวเขาทำไม!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset