เหมียวอี้มองนางอย่างตะลึงค้าง
อวิ๋นจือชิวก็สบตาเขาตรงๆ เช่นกัน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ถ้าเจ้ากล้าปล่อยนางออกมา ข้าก็กล้าที่จะเรียนรู้จากเจ้า ข้าจะหาผู้ชายมานอนด้วยสักคน ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติที่หัวใจของข้าทนรับ! ข้าได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว เจ้าจะเลือกยังไง ก็จัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ!”
ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด ในเรื่องนี้เขาไม่มีเหตุผลที่จะเถียงได้เลย สุดท้ายเขาก็ยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเองก็รู้ชัดอยู่แก่ใจเช่นกันว่าจูเก๋อชิงมีแผนการในใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นอนกับนางเสร็จแล้วหนีไปเลยหรอก เขาไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรผู้หญิงคนนี้เลย กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่ออกคำสั่งกักบริเวณจูเก๋อชิงไว้ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง ทำให้เขารู้สึกผิดกับจูเก๋อชิง ถึงอย่างไรเรื่องนี้เขาก็มีความผิดเหมือนกัน
เมื่อเห็นเขายอมถอยให้กับเรื่องนี้แล้ว แววตาเย็นเยียบของอวิ๋นจือชิวก็เปลี่ยนเป็นสดใสทันที นางยิ้มหวานหยาดเยิ้ม แล้วเป็นฝ่ายคล้องแขนเขาไว้ “ไป! ผู้หญิงประเภทนั้นไม่มีค่าพอให้พวกเราสองสามีภรรยาไม่สบายใจ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องผ่านไปแล้วหรือยัง เพราะในใจเหมียวอี้ยังรู้สึกผิดอยู่ หลังจากหาเวลาว่างปลีกตัวได้ ก็ดึงเหยียนซิวมากำชับว่า “จับตาดูทางตำหนักประมุขถิ่นกลางให้ข้าหน่อย อย่าให้ใครทำซี้ซั้วกับนาง หลังจากข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องส่งทรัพยากรฝึกตนให้นางตามกำหนดเวลา ส่วนเรื่องการกินอยู่ของนาง อย่าให้ทางทะเลดาวนักษัตรปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ยุติธรรม ฝากเจ้าไปบอกนางด้วย ว่าถ้าข้าว่างข้าจะไปหานาง ให้นางอยู่ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางอย่างสงบใจ คิดเสียว่าเก็บตัวฝึกตน ตอนหลังรอให้ฮูหยินหายโกรธแล้ว ข้าจะหาทางช่วยนางออกมา ถ้ามีเรื่องอะไรเจ้าก็ติดต่อข้าได้ตลอดเวลา”
“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ แต่ในใจกลับปลงอนิจจัง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจะทำแบบนี้ทำไม เจ้าก็มีผู้หญิงเยอะอยู่แล้ว
วันต่อมาตอนที่ออกจากที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็สั่งเยารั่วเซียนอย่างจริงจังอีกครั้ง ว่าให้เขาใส่ใจเรื่องหลอมของวิเศษให้เหมียวอี้ เพราะเรื่องนี้สำคัญกับส่วนรวม!
เวลาสองเดือนผ่านไปเร็วมาก เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ตอนนี้ที่ดาวเทียนหยวนไม่มีปี้เยว่ฮูหยินคุมแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็คงจะไม่ดีถ้าเขาไม่ได้อยู่ด้วย ก่อนที่จะถึงการทดสอบครั้งต่อไป สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทุ่มเทร่างกายและจิตใจทั้งหมดไปกับการฝึกตน
ก่อนออกเดินทาง อวิ๋นจือชิวต้องการจะส่งอวิ๋นรั่วซวงกลับไปที่นภาจอมมาร จะได้ไม่อยู่ก่อเรื่องที่นี่จนพวกหยางชิ่งปวดหัว เหยียนซิวเรียกได้ว่าไม่พอใจอวิ๋นรั่วซวงเป็นอย่างมาก
“พี่หญิงใหญ่! ข้าไม่กลับนภาจอมมาร ท่านพาข้าไปพิภพใหญ่ด้วยเถอะนะ ดีมั้ย?”
ในห้องโถงใหญ่ อวิ๋นรั่วซวงนั่งยองๆ อยู่บนพื้น กอดต้นขาของอวิ๋นจือชิวพลางร้องโวยวาย โดนอวิ๋นจือชิวบิดหูให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
เหมียวอี้ทำตัวไม่สะกสะท้านอยู่ข้างๆ เอามือไขว้หลังมองออกไปนอกประตู มาดูเอาสนุกแท้ๆ เลย
อวิ๋นจือชิวก้มหน้ามอง รู้สึกอับอายจนกลายเป็นความโมโห “เจ้าจะปล่อยหรือจะไม่ปล่อย? ขอขอเตือนเจ้านะ อย่าบังคับให้ข้าใช้กำลัง เจ้าจะให้ข้ามัดเจ้ากลับไปมั้ย?” พูดจบพลังอิทธิฤทธิ์ก็ลอยออกมารอบกาย
อวิ๋นรั่วซวงสู้นางไว้เสียที่ไหนกัน ปล่อยมือออกทันที แต่กลับหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น เอามือปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจากโลกนี้เร็วเกินไป พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ท่านปู่ก็ไม่ต้องการข้าเหมือนกัน ตอนนี้แม้แต่พี่หญิงใหญ่ก็ไม่ต้องการข้าแล้ว ทุกคนจะไปกันหมดแล้ว ทิ้งข้าไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ ทุกคนมองเห็นข้าเป็นภาระ ท่านพ่อ ท่านแม่ ซวงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน…”
เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างน่าเวทนา
คำว่า ‘ท่านพ่อท่านแม่’ ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดสุดขีดทำให้อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอทันที ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กสาวคนนี้กำลังขอความเห็นใจ แต่นางก็ยังควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โดนอุบายนี้ของอวิ๋นรั่วซวงสะกิดปมด้อยในใจ หรือจะเรียกว่าสะเทือนใจเหมือนเจอกับตัวเองก็ได้ เวลาไม่ได้รับความยุติธรรมนางก็คิดถึงพ่อแม่ตัวเองเหมือนกัน
ตายางแดงก่ำแล้ว แต่ปากก็ยังกล่าวอย่างไม่ปรานี “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ใครบอกว่าเจ้าเป็นภาระ?”
“พวกท่านไม่ต้องการข้าแล้ว เป็นเพราะเห็นข้าเป็นภาระไม่ใช่เหรอ” อวิ๋นรั่วซวงปาดน้ำตาพลางกล่าวเสียงสะอื้น
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด แล้วพี่น้องคนอื่นๆ ของตระกูลอวิ๋นล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม
อวิ๋นรั่วซวงคิดในใจว่า ก็พวกเขาไม่รู้เรื่องพิภพใหญ่ไม่ใหญ่เหรอ…นางร้องไห้ต่อไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวช่างน่าสงสาร ลูกสาวโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่ง คิดถึงพวกท่านเหลือเกิน…”
คำพูดแต่ละอย่างพวกนั้น แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังน้ำตาคลอตามไปด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ทำสีหน้าพูดไม่ออก
“เด็กนี่ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้ที่นี่ก็ไม่มีใครคุมนางได้เหมือนกัน!” พออ้างเหตุผลให้ตัวเองได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินไปดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ เจรจากับเขาว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่สู้พานางไปด้วยดีมั้ย ข้าจะได้ดูนางได้สะดวก”
เหมียวอี้เหล่ตามองมา “ไม่ได้! ข้ากำลังจะเผชิญกับเรื่องอะไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”
อวิ๋นรั่วซวงที่ปาดน้ำตาพลางแอบมองกล่าวอย่างเจ็บปวดทันที “พี่เขย รังเกียจข้าใช่มั้ย? กลัวว่าข้าจะกินจะใช้ของท่านใช่มั้ย ท่านไม่ต้องกังวล ถ้าไปแล้วข้าไม่เอาเปรียบท่านหรอก ข้าจะออกไปหาอะไรทำ ข้าจะเลี้ยงตัวเอง ต่อให้ลำบากกว่านี้เหนื่อยกว่านี้ข้าก็ทนได้”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวยิ่งฟังยิ่งปวดใจ
แม่งเอ๊ย! เหมียวอี้กลอกตามองบน พูดซะข้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว
“อย่าพูดเหลวไหล พี่เขยเจ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดเหรอ?” หลังจากอวิ๋นจือชิวตำหนิ ก็หันกลับมาเจรจาต่อว่า “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวนางจะก่อเรื่องหลังจากไปที่นั่น ไม่เข้าวางใจเถอะ ข้าจะจับตาดูนางไว้อย่างดีเลย”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ “ถ้าเจ้าจะพานางไปด้วย ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไรหรอก แต่จะให้ไปก่อนการทดสอบจบไม่ได้ นี่คือเส้นตายของข้า ตอนนี้ต่อให้นางร้องไห้จนดอกไม้บานออกมา ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี!”
อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง กับเรื่องประเภทนี้ ตราบใดที่เหมียวอี้มีเหตุผล นางก็จะไม่คัดค้าน นางหันตัวมาบอกอวิ๋นรั่วซวงว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว! พี่เขยเจ้ายอมถอยให้แล้ว หลังจากนี้สองปีถึงจะพาเจ้าไปด้วยได้ แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ยังไงเจ้าก็ต้องตอบตกลง ถ้าไม่ตกลงก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้ไป!”
อวิ๋นรั่วซวงโวยวายทันที “ข้าไม่เอาตอนหลัง ข้าจะไปตอนนี้!”
“งั้นชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเลย!” อวิ๋นจือชิวโมโหแล้ว ตะคอกว่า “ใครก็ได้ มัดนางให้ข้าหน่อย ส่งกลับนภาจอมมารไป ต่อไปนี้ถ้านางกล้าหนีมาอีก ก็ตัดขานางให้ข้าได้เลย!”
“เดี๋ยวก่อน!” อวิ๋นรั่วซวงลุกพรวดขึ้นจากพื้น แล้วปาดน้ำตากล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าตอบตกลง ข้ารับปากว่าจะรอให้ผ่านไปสองร้อยปีแล้วค่อยไป ตกลงมั้ย? พี่หญิงใหญ่ พี่เขย พวกท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะตายให้พวกท่านดู”
เหมียวอี้เงยหน้ามองหลังคา ไม่พูดอะไรแล้ว
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ ตะคอกว่า “เรื่องในภายหลังเอาไว้คุยกันตอนหลัง ตอนนี้เจ้าไสหัวกลับนภาจอมมารไปก่อน อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้าที่นี่ เหยียนซิว เจาชิง พวกเจ้าสองคนคุมตัวนางกลับนภาจอมมารด้วยตัวเอง ให้ตาเฒ่าเฉียวดูไว้ก็พอ!”
“ไม่เอา…” อวิ๋นรั่วซวงร้องอย่างเศร้าโศก แต่กำลังแขนจะไปสู้กำลังขาได้อย่างไร นางถูกคุมตัวไปอย่างนี้แล้ว
ส่วนเหมียวอี้กับฮูหยินก็กลับพิภพใหญ่เช่นกัน
พอกลับถึงตำหนักคุ้มเมือง หลังจากเหมียวอี้จัดการงานที่ตลาดสวรรค์เสร็จแล้ว ก็เรียกอิงอู๋ตี๋ ชิงเฟิง โพ่เทียน ราชาปีศาจทะเลคราม เลี่ยหวนและหูเฟยให้ออกจากเมืองไปกับเขา ไปฝึกฝนตรงจุดลึกของมหาสมุทรใหญ่อีกครั้ง
ในระหว่างนั้น นอกจากจะกลับมาเป็นครั้งคราวยามมีธุระ โดยทั่วไปเขาก็พาพวกผู้ช่วยในการฝึกฝนเก็บตัวอยู่บนเกาะในระยะยาว ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ในถ้ำภูขา ทุกสามวันห้าวันจะดำน้ำลงทะเลลึกไปสู้กับราชาปีศาจทะเลคราม หรือไม่ก็ประลองกับอิงอู๋ตี๋อยู่ในพายุหมุน บางครั้งก็ต้านทานดาบเพลิงนับไม่ถ้วนในค่ายกลเพลิงอัคคีที่เลี่ยหวนและหูเฟยวางไว้ ต่อสู้กันอย่างดุเดือดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้บอก แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าเขากำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ แต่ละคนเกิดความกังวลในใจ
การฝึกตนเหมือนจะผ่านไปอย่างช้าๆ แต่เวลาไม่กี่สิบปีนั้นผ่านไปเร็วเหมือนชั่วดีดนิ้ว
อวิ๋นจือชิวที่กลับจากพิภพเล็กเหาะลงมาจากฟ้า นางเหยียบลงบนเกาะกลางทะเล ตรงหน้าถ้ำภูเขาที่เหมียวอี้ใช้ฝึกตน
เมื่อคนที่เฝ้าเวรยามเห็นว่าเป็นนาง ก็ไม่มีการขัดขวางใดๆ
เมื่ออวิ๋นจือชิวเดินเข้ามาในถ้ำภูเขา เหมียวอี้ที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงหินก็ลืมตาขึ้น แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ามาได้ยังไง?”
อวิ๋นจือชิวมองซ้ายมองขวาดูสภาพแวดล้อมในถ้ำ เมื่อเห็นว่ายังสะอาด นางถึงได้พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “ในที่สุดเยารั่วเซียนก็ไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวัง หลังจากรวบรวมทรัพยากรและนักหลอมของวิเศษทั้งสำนักงามวิจิตรและพิภพเล็ก ใช้เวลาเพียงสี่สิบกว่าปีก็หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรกับเกราะรบของเฮยทั่นได้แล้ว ข้านำของมาแล้วด้วย”
เหมียวอี้ดีใจมาก หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง “ข้าดูหน่อย”
อวิ๋นจือชิวพลิกฝ่ามือข้างซ้ายและขวาเผยของที่นำมา
ฝ่ามือข้างหนึ่งรองเจดีย์สีแดงที่สูงเพียงหนึ่งฉื่อ[1] หลังคาเจดีย์โค้งขึ้น มีลวดลายงดงามประณีต
บนมืออีกข้างถือห่วงเหล็กสีแดงวงหนึ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยลวดลายรูปมุมเหลี่ยมสี่ด้าน
เหมียวอี้ไม่แปลกตากับเจดีย์งามวิจิตร แต่ห่วงเหล็กในมืออวิ๋นจือชิวทำให้เขาสงสัย จึงชี้พร้อมถามว่า “นี่คือเกราะรบของเฮยทั่นเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้ม “ใช่แล้ว! เดี๋ยวข้าลองใช้ให้เจ้าดูสักหน่อย เจ้าก็จะเข้าใจแล้ว เฮยทั่นล่ะ?”
“พอกินยาเจี๋ยตันเสร็จก็หลับอยู่ข้างนอกตลอด!” เหมียวอี้บอกพร้อมนำนางออกไป พอออกนอกถ้ำแล้วถึงได้พบว่าไม่เห็นเงาของเฮยทั่นตรงจุดที่นอนแล้ว จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียกเสียงดังทันที “โจรอ้วน!”
เสียงดังก้องไปไกล ทำให้ทุกคนบนเกาะโผล่หน้าออกมา
จ๋อม! ตรงผิวทะเลไกลๆ มีเสาน้ำต้นหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า เฮยทั่นฝ่าคลื่นขึ้นมา เหาะขึ้นฟ้าแฉลบเข้ามา พอเหยียบลงนอกถ้ำก็สั่นหัวส่ายหางร้อง “อูอู” เหมือนกำลังถามอะไรสักอย่าง
“ทำเกราะรบให้เจ้าชุดหนึ่ง มาลองหน่อยสิ!” เหมียวอี้พูดจบแล้วพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว
ห่วงเหล็กในมืออวิ๋นจือชิวพลันระเบิดแสงสีทองออกมา มันลอยขึ้นพลางขยายใหญ่อย่างช้าๆ ตามที่อวิ๋นจือชิวใช้มือชี้ ห่วงเหล็กก็แวบไปสวมบนคอของเฮยทั่น แล้วหดเล็กลงเท่าเดิมอย่างรวดเร็ว กลายเป็นห่วงคอบนคอของเฮยทั่น
แสงสีทองยังไม่หายไป พออวิ๋นจือชิวพลิกฝ่ามือ ห่วงคอก็ปรากฏเป็นรอยแยก ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนน้ำพุทะลัก โลหะสีแดงพลิกขึ้นมาเสียงดังเปาะแปะ แล้วครอบคลุมทั้งตัวของเฮยทั่นอย่างรวดเร็ว
ชั่วอึดใจเดียว เฮยทั่นเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสัตว์ประหลาดสีแดงที่หน้าตาดุร้ายน่ากลัวตัวหนึ่ง
บนเขาของมันมีหนามแหลม ส่วนหัวตรงจุดที่ชนกระแทกได้ง่ายก็มีกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่สิบกว่าแท่งเช่นกัน บนหางที่ยาวครึ่งจั้งกลายเป็นกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ที่ปลายหางก็มีลูกกลมที่มีกรวยแหลมงอกมาหกแท่ง มันสั่นไหวตามหางที่สะบัดของเฮยทั่น
ที่ข้างซ้ายและขวาของร่างกายมัน ตรงจุดที่สัมผัสโดนก่อนยามชนกระแทกล้วนมีกรวยแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมตามรูปร่างของมัน กรงเล็บของขาทั้งสี่ก็ยาวขึ้นหลายส่วน กรงเล็บสีแดงสดของทุกนิ้วแหลมคมจนน่าตกใจ
เฮยทั่นที่มีดวงตาสิงโตสีแดงเลือด พอสวมเกราะรบสีแดงเลือดทั้งตัวเข้าไปอีก ก็เรียกได้ว่าเหมือนมารปีศาจจริงๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าเฮยทั่นไม่ค่อยคุ้นชิน มันสั่นหัวส่ายหางมองดูตัวเอง เดินวนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด หลังจากอวิ๋นจือชิวตะคอกให้มันหยุด ก็เอามือลูบเกราะเกล็ดสีแดงของมันพร้อมบอกว่า “เยารั่วเซียนบอกว่าเกราะรบบนตัวมันเหมือนกับเกราะรบบนตัวเจ้า สามารถลดพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้สองส่วนเหมือนกัน เพียงแต่เกราะรบบนตัวมันราคาแพงกว่าของเจ้า แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ปาเข้าไปสามสิบสามเม็ดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลึกแดงที่สิ้นเปลืองไปเพราะรูปร่างของมัน”
…………………………
[1] 1ฉื่อ尺 เท่ากับ 33.33 เซนติเมตร