พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1188 ยอมถอยเพื่อรุก

เวลาวันแล้ววันแล้ว เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วแล้วปีเล่า ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกยี่สิบปี

ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแทบจะสูญหายไปจากสายตาของฝูงชน แต่ลับหลังคำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อก็ยังมีแบบไม่หยุดหย่อน แต่ผ่านไปเกือบเจ็ดสิบปี คำพูดใส่ร้ายของฝูงชนก็ไม่ได้ครึกโครมเหมือนตอนแรกแล้ว แต่เป็นคำพูดตลกขบขันหลังกินอาหารดื่มน้ำชาก็เท่านั้นเอง

ตำหนักคุ้มเมืองที่อยู่ตรงกลางของตลาดสวรรค์ยังคงสูงส่ง ตั้งแต่ที่มันเริ่มมีอยู่ เจ้าของที่อยู่ในนั้นก็ไม่เคยถูกเหน็บแนมบารมีชื่อเสียงเหมือนหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เลย การที่ตำแหน่งสำคัญเบื้องล่างแทบจะเป็นคนของผู้บัญชาการใหญ่หนิวหมด ตอนนี้ข้อดีของมันได้แสดงออกมาแล้ว คำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่หนิวคำเดียวยังคงสามารถทำให้หัวคนร่วงลงพื้นได้เหมือนเดิม

ด้วยเหตุนี้พลังอำนาจความน่าหวาดกลัวของศีรษะคนนับพันในปีนั้นจึงยังคงอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะศีรษะคนนับพันครั้งนั้น เกรงว่าตลาดสวรรค์ในตอนนี้คงไม่มีใครหวาดเกรงผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้แล้ว แต่ถ้าไม่มีศีรษะนับพันในปีนั้น ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็คงไม่ถึงขั้นกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะเหมือนในวันนี้เช่นกัน

ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นผู้บัญชาการใหญ่หนิวอยู่ในสายตาอีก แต่ก็ไม่มีใครอยากกดดันให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพงในตอนนี้ ของแสดงความเคารพที่ร้านค้าใหญ่ๆ ควรจะนำมามอบให้ที่ตำหนักคุ้มเมืองก็ยังดำเนินต่อไป แต่ไม่มีของขวัญล้ำค่าราคาแพงแล้ว

ถ้าพูดโดยมองจากโดยรวม ของขวัญแสดงความเคารพที่เหมียวอี้ได้รับในแต่ละปีไม่ได้มากมายเหมือนในปีก่อนๆ แล้ว มีแนวโน้มลดลงทุกปี คนส่วนใหญ่แค่แสดงน้ำใจพอเป็นพิธี ไม่อยากสิ้นเปลืองกับผู้บัญชาการใหญ่ที่กำลังจะขาดแรงสนับสนุนอย่างเขาอีกต่อไป

เมื่อได้รายการของขวัญที่อวิ๋นจือชิวจัดระเบียบให้แล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมไม่พอใจ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวน

ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ว่าลับหลังร้านค้าพวกนั้นเป็นคนกระพือข่าวสาดโคลน ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานก็เดาออกว่าเป็นพวกขา แต่ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่อยากจัดการพวกเขา เขาอยากจะสังหารหมู่เจ้าพวกนั้นพร้อมกันทีเดียว ไม่มีใครอยากถูกเยาะเย้ยเสียดสีจากโลกภายนอก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ในปีนั้นมีคนในจวนแม่ทัพภาคตงหัวหวังให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา ภาพเหตุการณ์นั้นยังชัดเจนในความทรงจำ เขากังวลว่าพอตัวเองลงมือที่นี่แล้ว เบื้องบนก็จะหาข้ออ้างมาจัดการเขาก่อน

ต่อให้ตัวเองรอดชีวิตกลับมาหลังจากการทดสอบ ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว เขาก็ไม่สะดวกจะปั้นน้ำเป็นตัวยัดเยียดความผิดให้ร้านค้าพวกนั้นเหมือนครั้งก่อนอีก ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็จะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง พอคิดไปคิดมาก็พบว่า ไม่ว่าจะเป็นก่อนการทดสอบหรือหลังการทดสอบ ตัวเองก็ไม่สามารถทำอะไรร้านค้าพวกนั้นได้ ภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ อย่างมากเจ้าก็แค่ไปสร้างความยุ่งยากให้พวกเขานิดหน่อย ไม่มีทางระบายความโกรธแค้นแบบรุนแรงได้

แต่ถ้าไม่ระบายความโกรธนี้ เขาก็รู้สึกอึดอัดจริงๆ หลังจากเดินไปเดินมาในสวนดอกไม้พลางครุ่นคิดซ้ำๆ จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้า นึกถึงใครบางคนขึ้นมา หยางชิ่ง!

เขายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง ใต้บังคับบัญชาตัวเองยังมีคนแบบหยางชิ่ง ทำไมไม่ขอคำชี้แนะจากเขาล่ะ? เจ้าหมอนั่นเก่งเรื่องวางแผนเล่นงานคนที่สุดแล้ว

จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งทันที

พิภพเล็ก ในจวนผู้การใหญ่ของนภาอู๋เลี่ยง หลังจากได้รับข้อความจากเหมียวอี้ หยางชิ่งที่กำลังฝึกตนก็งงนิดหน่อย จากนั้นก็ถามรายละเอียดทันที

หลังจากถามแล้ว หยางชิ่งก็บอกว่า : ให้เวลาข้าน้อยครึ่งชั่วยาม ให้ข้าน้อยพิจารณาให้ดีสักหน่อย

สุดท้ายก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลังจากหลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในจวนผู้การใหญ่ประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม หยางชิ่งก็ส่งข้อความกลับไปอีกครั้ง : นายท่านอยากจะในภายหลังมีความยุ่งยากน้อยลง หรืออยากจะให้ภายหลังมีความยุ่งยากมากขึ้น?

เหมียวอี้ตอบ : ต้องอยากให้มีความยุ่งยากน้อยลงอยู่แล้ว

หยางชิ่ง : เช่นนั้นก็อดทนไว้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้านายท่านอยากจะกลับมาอย่างราบรื่นหลังจากการทดสอบ ยังคงครองตำแหน่งนั้นอยู่ ในภายหลังจะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกแสนนาน ในภายหลังพวกเขาย่อมต้องสำรวมมากขึ้น

เหมียวอี้ : ทนไม่ไหวแล้ว ที่ข้าติดต่อเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าคิดหาวิธีเด็ดหัวพวกเขาอย่างชอบด้วยเหตุผล ถ้าต้องอดทนไว้ข้าจะมาถามเจ้าทำไม?

หยางชิ่งรู้สึกจนใจ หลายปีมานี้เขารู้จักสถานการณ์ของพิภพใหญ่แล้วไม่น้อยผ่านฉินเวยเวย ครั้งนี้ได้ใช้ประโยชน์พอดี จึงบอกเหมียวอี้ไปเพียงว่า : เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย ยอมถอยเพื่อรุก คิดบัญชีย้อนหลัง!

ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่อยากคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ นึกไม่ออกว่าจะใช้วิธีการไหนคิดบัญชีย้อนหลังอย่างชอบธรรม จึงถามรายละเอียดทันทีว่าจะยอมถอยเพื่อรุก คิดบัญชีย้อนหลังอย่างไร หลังจากถามจนรู้ชัดแล้ว เขาก็หัวเราะลั่นสามครั้ง เรียบง่ายไม่ซับซ้อนจริงๆ ด้วย แต่กลับได้ประสิทธิภาพที่สุด!

หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จแล้ว เขาก็รีบเรียกรวมพวกฝูชิง

“เลิกคุมเข้มสมาคมร้านค้า?” สวีถังหรานถามอย่างงุนงง

หลัจากเข้ามาในสวนดอกไม้ด้านหลังตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็สบตากันแวบหนึ่ง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป

ครั้งนี้ไม่มีมู่หรงซิงหัว หลังจากครั้งก่อนโดนเฉาว่านเสียงดูถูกดูแคลน ในการประชุมครั้งนี้เหมียวอี้จึงกันมู่หรงซิงหัวไว้ข้างนอกแล้ว

ฝูชิงกุมหมัดถาม “นายท่าน ครั้งก่อนฆ่าคนไปเยอะขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างธรรมเนียมธรรมเนียมการควบคุมสมาคมร้านค้าได้ ถ้าเลิกคุมเข้ม เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเอง สมาคมร้านค้าพวกนั้นไม่เกรงใจแน่ จะต้องได้คืบจะเอาศอกแน่นอน”

อิงอู๋ตี๋ถามทันที “นายท่านไม่อยากล่วงเกินคนพวกนั้นเหรอ? ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรงๆ นะ แต่นายท่านได้ล่วงเกินพวกเขาไปแล้ว มาทำดีด้วยจวนตัวแบบนี้อาจจะไม่มีประโยชน์  กลับจะทำให้พวกเขาแอบเยาะเย้ยแดดดันด้วยซ้ำ จะนึกว่านายท่านกลัวพวกเขา จะยิ่งจัดการสถานการณ์ได้ยากกว่าเดิม”

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ พร้อมตอบว่า “ต้องให้พวกเขาคิดว่าข้ากลัวพวกเขาสิ ถึงจะทำให้พวกเขาได้คืบจะเอาศอก ถ้าพวกเขาไม่ได้คืบจะเอาศอก หลังจากกลับมาจากการทดสอบข้าจะเด็ดหัวพวกเขายังไงล่ะ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา กลิ่นอายสังหารที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ทำให้ทั้งสามอกสั่นขวัญแขวน อย่าบอกนะว่าจะตัดหัวอีกครั้ง?

“อย่าบอกนะว่านายท่านจะเข้าร่วมการทดสอบที่นรก?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิง

“ถ้าข้าไม่เข้าร่วม แล้วจะยังมีทางให้ถอยอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

หลังจากแน่ใจท่าทีของเขาแล้ว สวีถังหรานก็ว้าวุ่นในใจ คิดว่าเหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับมาได้เหรอ? จึงโน้มน้าวทันที  “นายท่าน การไปครั้งนี้เกรงว่าจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค นายท่านได้โปรดไตร่ตรอง”

เป็นคำพูดประจบสอพลอล้วนๆ เลย เขารู้ว่าต่อให้เหมียวอี้ไม่ไปก็มีเคราะห์มากกว่าโชคอยู่ดี นี่ก็คือสิ่งที่เขาคิดวนเวียนไม่หยุด

“ก็เพราะมีเคราะห์มากกว่ามีโชคนี่แหละ ข้าถึงให้พวกเจ้าทำแบบนี้” เหมียวอี้เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งไว้ในมือ หยิบมาจ่อจมูกดมพร้อมพูดต่อว่า “ที่ให้พวกเจ้าเลิกคุมเข้มร้านค้าในตอนนี้ ก็เพราะอยากจะให้พวกเจ้าล่วงเกินคนพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย ถ้าข้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ พวกเจ้าจะได้มีแรงกดดันน้อยลง และการที่พวกเจ้าถอยให้ ถึงจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าข้ากลัวพวกเขา ถ้าไม่ทำให้พวกเขามีความกล้าขึ้นสักหน่อย แล้วจะทำให้พวกเขาฝ่าฝืนกฎที่ควบคุมสมาคมร้านค้าได้ยังไง? เมื่อไม่มีการผูกมัดแล้ว ลูกท่านหลานเธอพวกนั้นที่อาศัยภูมิหลังย่อมต้องเหยียบย่ำกฎของสมาคมร้านค้าที่ข้าตั้งขึ้น หลังจากที่ข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็ลดฐานะตัวเองลงหน่อย ปิดตาข้างเดียวให้พวกเข้าบ้าง ให้พวกเขาควบคุมสมาคมร้านค้าไว้ในมืออีกครั้ง พวกเจ้าแค่ต้องจดจำพฤติกรรมทุกอย่างของพวกเขาเอาไว้ รอให้ข้ากลับมาก่อน ค่อยคิดทั้งบัญชีเก่าทั้งบัญชีใหม่พร้อมกัน!”

ตอนนี้ทั้งสามถึงได้เข้าใจเจตนาของเขา ขณะที่กำลังพูดไม่ออก พวกเขาก็ครุ่นคิดว่า ท่านนี้เปลี่ยนเป็นคนมีแผนการแยบยลล้ำลึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะเริ่มวางแผนล้างแค้นหลังจากกลับมาจากการทสอบหนึ่งร้อยปีแล้ว ดูไม่เหมือนลักษณะการทำงานของผู้บัญชาการใหญ่เลย!

แต่พอได้ยินแบบนี้ ก็เหมือนผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะมีความมั่นใจมากว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้

ที่จริงนี่ก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่หยางชิ่งแนะนำให้เหมียวอี้ทำอย่างนี้ เพราะสามารถทำให้ลูกน้องหวั่นเกรงได้บ้าง หลังจากเหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว พวกลูกน้องจะได้ไม่ถึงขั้นคิดว่าเหมียวอี้ต้องตายแน่นอน แล้วสั่งให้แยกย้ายกันไปตามทางตัวเองทันที ต้องสร้างเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็นไว้บนตัวลูกน้อง ถึงจะผูกมัดลูกน้องไม่ให้กล้าทำอะไรกำเริบเสิบสานเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกน้องวิ่งไปไกลเกิน ต่อให้เจ้ากลับมาได้ ทุกคนก็ไม่มีทางหันกลับมาอีกแล้ว

หยางชิ่งถึงขั้นเสนอแนะขั้นตอนให้เหมียวอี้อย่างละเอียด แนะนำเหมียวอี้ว่าถ้าหากเป็นไปได้ ถ้าสามารถเคลื่อนไหวได้สักหน่อยก่อนจะไปเข้าร่วมทดสอบ ทางที่ดีก็อย่าพลาดโอกาสนี้ ให้ข่าวที่แพร่ออกไปกลับมาทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคง ให้ทุกคนคิดว่าเหมียวอี้ยังมีหวังที่จะรอดชีวิตกลับมา ขณะเดียวกันก็ให้เบื้องบนมองเห็นคุณค่าในตัวเหมียวอี้ ถึงอย่างไรสภาพตกอับของเหมียวอี้ในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ มีเพียงการสร้างคุณค่าให้ตัวเองเท่านั้น ถึงจะทำให้เบื้องบนมองเห็นความสำคัญ เบื้องบนถึงจะเหลือทางหนีทีไล่ให้เขา ไม่ถึงขั้นแทรกแซงทำให้การวางหมากที่ตลาดสวรรค์ของเขาวุ่นวายทันทีที่เขาไป เมื่อเขามีคุณค่า เบื้องบนถึงจะไว้หน้าเขาบ้าง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ให้พวกฝูชิงเลิกวางมาดต่อไป ให้พวกร้านค้าที่ตลาดสวรรค์นึกว่าเป็นความประสงค์ของเหมียวอี้ ต่อให้ไม่เหยียบเส้นแต่ก็ต้องให้ท้ายจนร้านค้าพวกนั้นก้าวล้ำเส้น เพื่อสร้างโอกาสลงมือในตอนหลัง

นอกจากนั้นก็คือให้ลูกน้องสูญเสียการควบคุมที่มีต่อสมาคมร้านค้า สูญเสียโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ เมื่อลูกน้องที่คุ้นชินกับการตักตวงผลประโยชน์สูญเสียผลประโยชน์ไปอย่างกะทันหัน ภายใต้จิตใจที่ไม่สมดุลแบบนี้ จะต้องสะสมความแค้นต่อสมาคมร้านค้าแน่นอน รอให้เขากลับมาจุดระเบิด พอสั่งคำเดียวจะต้องเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลงานมากแน่นอน จะสามารถกวาดฝุ่นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด!

เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝูชิงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ถ้ามีอำนาจในการควบคุมก็จะมีอำนาจในการฉกกวยผลประโยชน์ ถ้าผ่อนปรนอำนาจในการควบคุมสมาคมร้านค้า เกรงว่าพวกลูกน้องที่ได้ผลประโยชน์น้อยลงจะต้องบ่นแน่นอน”

“ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ไหวหรอก จัดการตามนี้แล้วกัน” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

สวีถังหรานมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นขาดไปคนหนึ่ง จึงถามว่า “นายท่าน แล้วทางผู้บัญชาการมู่หรงจะทำอย่างไร? ต้องแจ้งให้นางรู้สักหน่อยมั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “นางไม่ได้โง่ เมื่อพวกเจ้าสามคนผ่อนปรนการคุมเข้มสมาคมร้านค้า นางไม่มีทางที่จะแบกรับความโกรธแค้นอยู่คนเดียว ย่อมต้องไหลไปตามกระแสน้ำอยู่แล้ว ครั้งก่อนพวกเจ้าก็เห็นท่าทีของเฉาว่านเสียงแล้วนี่ ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่ามู่หรงมีท่าทีอย่างไร ถ้านางเปิดโปงแผนนี้ออกไปก็ไม่ได้ผลแล้ว ให้นางตามกระแสทำตามพวกเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเรื่องนี้จะเป็นความคิดของข้าหรือไม่ พวกเจ้าก็อย่าให้นางรู้ รอให้การเวลาพิสูจน์คนแล้วกัน!” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ

ซูลี่  ผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ เป็นชายวัยกลางคน

เมื่อออกจากตลาดสวรรค์ดาวตงหัว ก็เหาะไปเหยียบลงที่ตีนเขาแห่งหนึ่ง เมือ่เงยหน้ามองจวนแม่ทัพภาคตงหัวที่กว้างใหญ่บนยอดเขา ก็รู้สึกเครียดกังวลเล็กน้อย จวนแม่ทัพภาคของแต่ละพื้นที่คือจุดรับสมัครเข้าร่วมการทดสอบในนรก

มาถึงที่นี่แล้ว จะลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบที่นรกหรือไม่ กลับรู้สึกกลัวเมื่อใกล้จะถึงเวลา รู้สึกลังเลอยู่บ้าง

เขามีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม ในปีนั้นโค่วเหวินหลานปราบเฮยหวังจนทำให้นักพรตบงกชทองของตลาดสวรรค์ตายเกือบหมด ทำให้สวีถังหรานดึงตัวเขามาจากข้างนอก ตอนแรกสวีถังหรานรับปากแล้วว่ารอให้เขามีคุณสมบัติและประสบการสักหน่อย ก็จะให้เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ก็จับผู้บังคับการกองร้อยของตัวเองซึ่งเป็นราชาปีศาจไปเติมไว้ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมือง สวีถังหรานจะกล้าขัดใจเหมียวอี้ได้อย่างไร ย่อมต้องระงับอนาคตของซูลี่เอาไว้

ให้คนที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเชื่อฟังคำสั่งของนักพรตบงกชทองขั้นสอง ซูลี่ย่อมอารมณ์เสียอยู่แล้ว ตำแหน่งของคนเบื้องบนใช่ว่าเป็นแค่ปีสองปีแล้วจะเปลี่ยนได้ บางทีอาจจะอยู่ในตำแหน่งเป็นพันปีหมื่นปีด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าอนาคตสิ้นหวัง แล้วบังเอิญมีการทดสอบที่นรกพอดี หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ก็ตัดสินใจมาลงสมัครเข้าร่วมช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์!

ตอนนี้เมื่อมาถึงจุดรับสมัครแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองอีกครั้ง ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์ก็เป็นแหล่งที่มีทรัพยากรมั่งคั่ง หลังจากผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ถูกกดดันจนหมดทางเลือก โดยทั่วไปคนที่พอจะมีตำแหน่งฐานะที่ตลาดสวรรค์สักหน่อย ก็ไม่มีใครมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ แล้วอีกอย่าง ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อตกม้า ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อจะถูกกวาดล้าง ใช่ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสขึ้นนั่งตำแหน่งสูงเสียเมื่อไร

ลังเลแล้วลังเลอีก ครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ในที่สุดซูลี่ที่กำลังจ้องจวนแม่ทัพภาคบนยอดเขาก็ทำสายตาเด็ดเดี่ยว ถ้าทำสำเร็จแล้วก็จะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ต่อไปนี้ก็จะไม่ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนแล้ว ถ้าจะเป็นคนไม่เอาถ่านไปทั้งชีวิต ไม่สู้ไปฝ่าฟันเพื่ออนาคตสักหน่อยดีกว่า!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset