ฝ่าอินก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร เจ้าเพิ่งจะเข้าสู่ทางโลกไม่ใช่เหรอ? อวิ๋นจือชิวเขียน ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ฉบับหนึ่งด้วยตัวเองแล้วโยนให้ฝ่าอิน ให้นางเริ่มต้นจากสิ่งนี้ ให้นางท่องจำให้ขึ้นใจ จะได้เข้าใจว่าหลังจากแต่งงานแล้วมีอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นฝ่าอินที่พูดจาเหลวไหลจึงถือ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ คุกเข่าอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์อย่างน่าสงสารสามวัน ภายใต้การอบอรมสั่งสอนที่ลึกซึ้ง ในที่สุดก็ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระ อะไรลงไป
และแน่นอน อนุภรรยาคนอื่นๆ ก็หยิบ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ไปคนละฉบับเช่นกัน ในนั้นเขียนไว้แล้วว่าทำผิดดข้อไหนจะโดนลงโทษอะไร ให้พวกจีเหม่ยลี่เปรียบเทียบกันเอง เป็นกฎระเบียบหลังบ้านของตระกูลเหมียว กฎของบ้านนับว่าถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ยิ่งผู้ชายของบ้านไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งคิดว่าต้องควบคุมดูแลให้เข้มงวดกว่าเดิม
และตอนนี้ในที่สุดจีเหม่ยลี่ก็เอ่ยปากถามก่อน “ไม่ทราบว่าฮูหยินได้ยินข่าวอะไรมาบ้างหรือเปล่าคะ พวกเราได้ยินว่าหลังจากนายท่านเข้าไปในนรกแล้ว ก็บุกเดี่ยวสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?”
หงเฉินที่โผล่หน้ามาไม่บ่อยก็งุนงงเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามแบบนี้ นางยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ก็ได้ยินมาบ้าง” อวิ๋นจือชิวถาม
“ฮูหยินเคยถามยืนยันความจริงจากนายท่านหรือเปล่าคะ?” จีเหม่ยลี่ถามอีก
หลังจากพวกนางได้ยินข่าว ก็ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ต่างก็อยากจะติดต่อกับเหมียวอี้เพื่อยืนยันความจริง แต่จนใจที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวตั้งกฎขึ้นมาแล้ว และทุกคนก็ตอบตกลงว่าจะไม่ไปรบกวนเหมียวอี้ ไม่ทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ แต่ตอนนี้อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้โดนอวิ๋นจือชิวจัดการจนหมอบราบคาบแก้วมาตั้งแต่แรก ไม่กล้ามาหาอวิ๋นจือชิวคนเดียว ถึงได้นัดมาหาพร้อมกัน
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะกลายมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อเวลานานไปก็มีความห่วงใยบ้างไม่มากก็น้ย ภายใต้การซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว พวกนางก็ยอมรับตั้งนานแล้วว่าเหมียวอี้คืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเอง ในจุดนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
ต่อให้ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ แต่บรรยากาศเชิงรักใคร่ของท่านขุนนางเหมียวกับจีเหม่ยลี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ตรงไหนที่ควรจะลวนลาม เหมียวอี้ก็ลวนลามหมดแล้ว การที่จีเหม่ยลี่ไม่ขัดขืนกับการที่เหมียวอี้โอบกอดนางก็อธิบายสิ่งนี้ได้แล้ว เหลือแค่เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นสุดท้ายก็เท่านั้นเอง อวี้หนูเจียวก็ยิ่งสุดจะทน โดนเหมียวอี้เปลื้องผ้าหลายครั้ง เวลาเหมียวอี้ว่างงานก็จะชอบมาหยอกล้อนางเล่นที่สุด อวี้หนูเจียวก็แค่ปากแข็งเท่านั้นเอง หัวใจที่ไม่นึกเสียใจทีหลังได้ไปอยู่ที่ตัวเหมียวอีตั้งนานแล้ว เพียงแต่น่าแค้นที่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเกินไปจนไม่เข้าใจความรัก
ต่อให้เป็นหงเฉิน ต่อให้นิสัยจะเย็นชากว่านี้ แต่คนเราไม่ใช่ต้นหญ้าตอไม้ที่จะไร้ความรู้สึก หลังจากนอนร่วมหมอนแล้วให้เกียรติกันเหมือนต้อนรับแขกที่มาเยือนได้ ก็นับว่าเป็นใตรีจิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน
สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนกับฉินเวยเวยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
กลับเป็นฝ่าอินที่เยือกเย็นจริงๆ ปฏิบัติต่อเหมียวอี้ด้วยท่าทีที่อยากตามหาสัจธรรมของชีวิตมาตลอด สิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างชายหญิงไม่ทำให้นางสะทกสะท้าน คุยกับนางเรื่องนี้เหมือนเป็นการดีดฉินให้ควายฟังแท้ๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็เรียกได้ว่าไร้พิษภัย
แต่ทางฉางเหลยได้กำชับมาแล้ว นางก็ยังเชื่อฟัง ดังนั้นจึงมากับทุกคนและให้ความสนใจเหมียวอี้อยู่ตลอด
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ติดต่อกับนายท่าน” เรื่องที่นางขอให้ทุกคนทำ ตัวเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน
เหล่าอนุภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ฮูหยินไม่ต้องยึดกฎตายตัวก็ได้ค่ะ ทำไมไม่ต้องติดต่อดูสักหน่อยคะ”
อวิ๋นจือชิวมองไปที่ผู้หญิงคนอื่นๆ พวกนางทยอยกันพยักหน้า ทุกคนทำสายตาขอร้อง
อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่โดนหวงฝู่จวินโหรวรบกวนและยังไม่ได้จัดการถามกลับมาว่า : ฮูหยินมีอะไรเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้สามารถตอบกลับได้ทันเวลาตามปกติ อวิ๋นจือชิวก็วางใจขึ้นหลายส่วน ถามว่า : หนิวเอ้อร์ ได้ยินว่าเจ้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมการทดสอบเหรอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : เจอกับพวกไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1] ข้าจะเป็นอะไรได้ยังไง วางใจได้ไม่เป็นอะไร
หัลงจากแน่ใจแล้วว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ อวิ๋นจือชิวกลับรู้สึกเหมือนหัวใจดิ่งวูบ ทัพใหญ่หนึ่งล้านใช่เรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน นางไม่คิดว่าอาศัยของวิเศษไม่กี่ชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้จะสามารถรับมือตรงๆ ได้ เจ้ามีของวิเศษ แต่คนอื่นจะไม่มีบ้างเชียวเหรอ? จากข่าวลือที่บอกว่าเหมียวอี้โดนธนูของต่งอิ้งเกาทีเดียวแล้วล้มก็แน่ใจแล้วว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
ยิ่งเขาพูดอย่างสบายใจเท่าไร อวิ๋นจือชิวกลับยิ่งแน่ใจว่าเหมียวอี้กำลังปลอบใจให้นางคลายกังวล ที่จริงไม่ได้สบายขนาดนั้นแน่นอน
แต่ตอนนี้นางก็ไม่ได้พัวพันกับเรื่องนี้อีก บอกเพียงว่า : พวกฉินเวยเวยได้ยินข่าวลือกันหมดแล้ว เป็นห่วงเจ้ามาก พวกนางมาถามต่อหน้าข้าแล้ว ถ้าเจ้าสะดวกก็บอกพวกนางตอนนี้เลย พวกนางจะได้ไม่เป็นกังวล
เหมียวอี้ตอบว่า : ได้!
ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราบนตัวพวกฉินเวยเวยก็มีปฏิกิริยา เหมียวอี้บอกพวกนางทีละคนว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยมาก ยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายดี บอกให้พวกนางไม่ต้องเป็นห่วง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้สบายดี พวกนางถึงได้ถอนหายใจ
รอจนกระทั่งพวกอนุภรรยาออกไปแล้ว หลังจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปส่งพวกนางแล้วกลับมา ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังยืนพิงรั้วและกักริมฝีปากแน่น บนใบหน้างามมีน้ำตาใสสองสาย สองสาวจึงถามอย่างตกใจมากว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรเจ้าคะ หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับนายท่าน?”
บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวเต็มไปด้วยความโกรธแค้นโศกเศร้า นางกัดฟันพูดอย่างแค้นใจว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านแค่ต้องการจะเล่นงานสามีของข้าคนเดียวให้ถึงตาย ทำไมถึงโหดร้ายน่ากลัวขนาดนี้ ไม่เหลือหนทางรอดให้กันเลย! คนในโลกนี้สมควรตายให้หมด ข้าแค้นมาก! ข้าแค้นมาก…”
หอกลิ่นสวรรค์ หลังขอบหน้าต่างบานหนึ่ง ผ้ามุ้งขาวกระเพื่อมเบาๆ ‘แม่และลูกสาว’ ที่ยืนอยู่หลังผ้าม่านสีขาวกำลังมองดูเกี้ยวหลังหนึ่งถูกยกขึ้นและจากไปตรงริมถนน หวงฝู่จวินโหรวที่มาหาเมื่อครู่นี้ออกไปแล้ว
ขณะมองส่งเกี้ยวหลังนั้นจากไป เสวี่ยหลิงหลงยังนึกถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่นี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คนหนึ่งคนสามารถสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะร้ายกาจขนาดนี้!”
ท่านแม่สวีถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! เด็กหนุ่มร้านข้างๆ ที่มักจะมาดื่มน้ำชากับพวกเราบ่อยๆ ตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้วจริงๆ! ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบครั้งนี้ได้ เกรงว่าคงจะมีอนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด มีชื่อเสียงกับความสามารถเป็นพื้นฐาน ผ่านไปสักระยะอาจจะได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ก็ได้”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นคนดี หวังว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
แต่ใครจะคาดคิด จู่ๆ ท่านแม่สวีก็ถามว่า “หลิงหลง เจ้าเคยพิจารณาผู้บัญชาการใหญ่หนิวบ้างรึเปล่า?”
เสวี่ยหลิงหลงไม่เข้าใจ ยังคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “พิจารณาอะไร?”
ท่านแม่สวีจ้องนางพลางบอกว่า “เจ้าเบื่อหน่ายอาชีพนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้อย่างปลอดภัย อนาคตก็น่าเฝ้าคอย ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าจะลองเป็นแม่สื่อให้ได้นะ แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถือว่าเป็นที่พักพิงที่ไม่แย่สำหรับเจ้าเลย”
ใบหน้างามของเสวี่ยหลิงหลงแดงเรื่อ “ข้าเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้าได้ยังไง ถ้าเขากลับมาได้จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแน่นอน แต่งงานกับคนเต้นกินรำกินอย่างข้าจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรอกเหรอ”
เห็นนางไม่ปฏิเสธ ชัดเจนว่ามีความรู้สึกดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ไม่มีความประทับใจที่ไม่ดี ไม่ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ท่านแม่สวีตาเป็นประกายทันที หัวเราะคิกคักพร้อมบอกว่า “นั่นก็ไม่แน่แล้ว ขนาดผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ถือสาอะไรเลย แล้วเขาจะถือสาพื้นเพของเจ้าได้ยังไง แล้วถ้าพูดถึงหน้าตาความสวย เจ้าก็ไม่มีตรงไหนด้อยกว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาเลย แถมเจ้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ แค่อาศัยแค่จุดนี้อย่างเดียว เจ้าก็เหนือกว่าอวิ๋นจือชิวนั่นเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว หลิงหลง ขอเพียงเจ้าตอบตกลงเรื่องนี้ เพื่อที่จะหาที่พักพิงที่ดีให้เจ้า ท่านแม่จะลองพยายามสุดความสามารถ ถ้าคำพูดข้ายังไม่มีน้ำหนักมากพอ ก็จะขอให้หวงฝู่จวินโหรวออกหน้าเป็นแม่สื่อให้ ยังไงก็จะหาทางช่วยให้เจ้าสมหวังให้ได้ เจ้าคิดว่ายังไง?”
เสวี่ยหลิงหลงกล่าวอย่างขวยอายว่า “ท่านแม่พูดเรื่องตลกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้า อาศัยฐานะตำแหน่งอย่างเขาอยากจะหาผู้หญิงยังไงก็ได้” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป
ท่านแม่สวียื่นมือไปคว้าแขนนางเอาไว้ “หลิงหลง จะพลาดโอกาสไม่ได้นะ ผ่านแล้วผ่านเลย! ท่านแม่ต้อนรับขับสู้อยู่ระหว่างพวกที่มีอำนาจมาหลายปี เชื่อสายตาท่านแม่เถอะ ต่อให้คะแนนการทดสอบครั้งนี้จะสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ก็จะมีคนมองเห็นความสำคัญของเขาอยู่ดี จะมีบุคคลสำคัญเบื้องบนนิยมชมชอบเขา พวกคนชั่วขัดขวางอนาคตของเขาไม่ได้หรอก อนาคตถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว หลิงหลง เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ ถ้าอยากจะเดิมพันก็ต้องฉวยโอกาสแต่เนิ่นๆ ถ้ารอให้เปิดกระดาน รอให้เขาโบยบินขึ้นสูงแล้วค่อยลงมือ แบบนั้นอาจจะทำให้คนดูถูก ดีไม่ดีอาจจะกลับตาลปัตร ฉวยโอกาสตอนที่เขามีศัตรูเยอะและไม่มีใครชอบเขา เริ่มลงมือตอนที่ยังไม่ได้กางปีกบินสูง แบบนี้ต่างหากที่เป็นหลักการที่ถูกต้อง จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เสวี่ยหลิงหลงไม่แม้แต่จะชักมือกลับด้วยซ้ำ กล่าสอย่างจนใจว่า “ท่านแม่ มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้เร็วไปหน่อยหรือเปล่าคะ นรกอันตรายมาก ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้การทดสอบจบก่อนแล้วค่อบว่ากัน”
ท่านแม่สวีกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “งันก็แปลวว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว! ดี! พวกเรามารอให้การทดสอบจบ ตราบใดที่เขารอดชีวิตกลับมาได้ ท่านแม่จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ทันที ท่านแม่ไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยความสวยอย่างหลิงหลงของเราแล้วจะมีผู้ชายคนไหนอดทนไม่หวั่นไหวได้ นิสัยของผู้ชายตัวเหม็นพวกนั้น ท่านแม่รู้จักดีจะตาย ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายรุกไปหาก่อน โอกาสสำเร็จก็มีเก้าในสิบ เจ้ารอเป็นหนิวฮูหยินก็แล้วกัน”
“ท่านแม่!” เสวี่ยหลิงหลงสะดีดสะดิ้ง ชักมือกลับออกมา แล้วลนลานหนีไปด้วยสีหน้าเขินอาย
ส่วนท่านแม่สวีก็ทำสีหน้าร่าเริง ถ้าเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ นางไม่มีทางตอบตกลงให้เสวี่ยหลิงหลงแต่งงานกับเหมียวอี้แน่นอน ตอนนั้นตำแหน่งของเหมียวอี้ยังไม่มันคง ทั้งยังมีอนาคตไม่แน่นอนเพราะล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะ แถมนางยังคบค้ากับพวกชนชั้นสูงมาหลายปี แค่ผู้บัญชาการใหญ่กระจอกๆ คนเดียวนางไม่ชายตาแลเลยจริงๆ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ต่อสู้ศึกเดียวจนโด่งดัง อนาคตน่าจับตามอง กลายเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับการขายของตอนราคาขึ้น กอปรกับภาพลักษณ์ของของเหมียวอี้ที่ไม่สนใจพื้นเพภูมิหลังของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ขอเพียงสามารถดันเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเป็นภรรยาเอกของเหมียวอี้ได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสวี่ยหลิงหลง ชีวิตในครึ่งหลังของนางก็นับว่ามีที่พึ่งพิงแล้ว ถ้าทำได้แค่ส่งเสวี่ยหลิงหลงไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น นางก็ไม่ค่อยสมัครใจสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นเสวี่ยหลิงหลงคงไม่โสดมาถึงทุกวันนี้หรอก
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ถ้าเหมียวอี้ไม่ประสบความสำเร็จ ท่านแม่สวีก็ไม่มีทางพิจารณาเรื่องนี้เลย เมื่อได้เห็นอนาคตของเหมียวอี้ ถึงได้เป็นฝ่ายเสนอให้ก่อน ที่จริงนางก็ไม่ใช่คนเลว แต่ว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจคนมาจนชินแล้ว โลกนี้ไร้ซึ่งน้ำใจต่อกัน เวลาที่ควรจะประจบเอาใจผู้มีอำนาจ นางก็จะเลอะเลือนไม่ได้เหมือนกัน
“เด็กดี! สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวแต่ฆ่าได้หลายพันคน ความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยทำให้ข้าน้อยผิดหวัง! จ้านหรูอี้นั่นก็ไม่หัดส่องกระจกดูซะบ้าง ช่างกล้าท้าทายผู้บัญชาการใหญ่ นับว่านางดวงแข็ง…”
ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สวีถังหรานที่แน่ใจข่าวลือแล้วกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่ในโถงหลัก ข่าวนี้ทำให้เขาดีใจสุดๆ อนาคตของเขาขึ้นอยู่กับเหมียวอี้ ย่อมหวังให้เหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว การแสดงความสามารถอันน่าตกตะลึงของเหมียวอี้ได้ให้ความมั่นใจกับเขาเยอะมาก
“ไป! มีข่าวอะไรอีกก็รีบมาบอกข้าให้ทันเวลา”
พอโบกมือไล่หวงเสี้ยวเทียนที่ช่วยสืบข่าวออกไปแล้ว สวีถังหรานก็รีบออกไปเช่นกัน เตรียมจะไปคุยกับฝูชิงสักหน่อย แต่เพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของลานบ้านไป เขาก็หยุดฝีเท้าอีก ขณะที่ครุ่นคิดก็ส่ายหน้าเบาๆ พักหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขามักจะไปหาพวกฝูชิงบ่อยๆ เพราะอยากจะดูว่าทางนั้นเตรียมทางหนีทีไล่อะไรไว้รึเปล่า ตัวเองจะได้จัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความองอาจห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกลับมา ถ้าไปถามอีกว่ามีทางหนีทีไล่อะไร หากข่าวแพร่ออกไปคงจะไม่ใช่เรื่องดี ดูแนวโน้มการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว ถึงได้เอามือไขว้หลังเดินเลี้ยวกลับไป วันนี้อารมณ์ดีไม่เบา
ส่วนทางด้านฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ช่วงนี้ก็กดดันไม่น้อยเช่นกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะพวกลูกน้องทยอยกันมาโน้มน้าวให้คุณชายรองและคุณชายสามเตรียมวางแผนเพื่อระยะยาว แต่ทั้งสองก็ไม่สะดวกจะบอกพวกลูกน้องว่าเหมียวอี้เตรียมแผนอีกอย่างหนึ่งไว้ เหมือนมีความั่นใจมากว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กลัวว่าพูดมากไปจะทำให้เสียเรื่อง ตอนนี้ข่าวที่เหมียวอี้โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไปอย่างครึกโครม ทำให้พวกลูกน้องสงบลงทันที ต่างก็คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ อย่างมีความอดทน
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น บนแท่นสังเกตการณ์ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่สามารถมองเห็นชีวิตมนุษย์อันเจริญรุ่งเรืองได้ มู่หรงซิงหัวเอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพัง นางพิงระเบียงพลางทอดสายตามอง กระโปรงยาวที่ปลิวอยู่ท่ามกลางสายลมเผยให้เห็นเรื่องร่างอ่อนช้อยงดงาม ใบหน้างามพริ้งถูกอาบด้วยแสงแดดสีทอง แต่ก็ยากที่จะปิดบังอารมณ์สับสนบนใบหน้านางได้ แพขนตายาวขยับเล็กน้อย จู่ๆ ก็ใช้มืออันเรียวงามตบที่ระเบียงพลางถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม เหมือนในใจมีจุดวกวนนับร้อยพันที่พูดออกมาไม่หมด…
…………………………
[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา 土鸡瓦狗 อุปมาว่าอ่อนแอแตกหักง่าย