อีกฝ่ายไม่ได้กังวลเลยว่าพวกเขาจะหนีไปได้ เหมียวอี้และอีกห้าคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่กล้าหนีเหมือนกัน เป็นเพราะหนีไม่พ้นเลยจริงๆ
ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เมื่อเผชิญกับพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เจ้าก็ไม่มีทางขัดขืนต่อต้านได้เลย ทำได้เพียงเรียกสัตว์พาหนะออกมาขึ้นขี่และตามไปแต่โดยดี
กวนหลงซานมองส่งขบวนค่อยๆ จากไปไกล
ณ อาณาเขตดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับน้ำพุหลากสีที่สวยวิจิตรตระการตา แล้วก็เหมือนฝูงหิ่งห้อยโบยบิน ดวงดาวขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนรวมตัวกันพรั่งพรูไม่หยุดด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จากนั้นเคลื่อนกระจายออกไปรอบทิศเป็นเส้นโค้งกลับมารวมตัวกันแล้วพรั่งพรูอีกครั้ง เหมือนกับผีเสื้อขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่มีลายหลากสี
พวกเหมียวอี้ยังไม่เคยเห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นพลังงานอะไรที่สามารถควบคุมดวงดาวนับไม่ถ้วนให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้พร้อมๆ กันได้ ช่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ
หลังจากเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว เหมียวอี้และอีกห้าคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ร่างกายแต่ละคนเอนเอียงสูญเสียสมดุล สัตว์พาหนะหลายตัวรวมทั้งเฮยทั่นตัวสั่นง่อนแง่นอย่างตระหนกพักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็สูญเสียการควบคุมไปแล้ว พวกเขาลอยออกจากร่างกายของสัตว์พาหนะอย่าควบคุมไม่ได้
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายจะสูญเสียการควบคุมแล้วเช่นกัน ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้เลย พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียประสิทธิภาพเมื่ออยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้
ร่างกายที่ง่อนแง่นของทั้งหกลอยต่อไปในจุดลึกของอาณาเขตดาวผืนนี้โดยอาศัยแรงเฉื่อยของการเหาะ ทำให้ทั้งหกตกใจจนเหงื่อแตกเต็มตัวอย่างแท้จริง ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องหน้ามีขึ้นมีลง ถ้าเข้าไปแบบนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่โดนชน ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดพลังอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าถ้าโดนดาวที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงชนแล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากฟาดพวกเขาจนตายก็ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว
ในทางกลับกัน ตูหยวนฮ่าวยังคงเหาะอยู่ข้างหน้าอย่างมั่นคง
ความคิดแรกของพวกเขาก็คือติดกับดักแล้ว แต่พอลองคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่ อาศัยวรยุทธ์ของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้เลย
ตูหยวนฮ่าวที่เหาะอยู่ข้างหน้าเหมือนจะยากแสดงอำนาจบารมีให้พวกเขาเห็น เหมือนกำลังบอกพวกเขาว่า นี่ก็คือผลลัพธ์ที่พวกเจ้าไม่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมนานเกินไป ตูหยวนฮ่าวที่หันกลับมามองแวบหนึ่งพลันโบกมือ ก้อนหินสีดำขลับสะท้อนแสงทั้งเล็กทั้งใหญ่ยิงไปทางทั้งหกคน พอหินหกก้อนเข้าใกล้ทั้งหกคน จู่ๆ ทั้งหกก็พบว่าควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้อีกครั้ง จิตใต้สำนึกราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ละคนรีบต่างคนต่างคว้าก้อนหินมาไว้ในมือ
วินาทีที่ก้อนหินมาอยู่ในมือ ทั้งหกก็รู้สึกเหงื่อแตกขนลุก บนก้อนหินนั่นมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่ไหลผ่านตัวพวกเขาราวกับกระแสไฟฟ้า กำจัดพลังงานลึกลึกอีกอย่างของดาราจักรผืนนี้ที่จำกัดพลังอิทธิฤทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว
หกคนที่ควบคุมตัวเองได้รีบพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตสัตว์พาหนะของตัวเอง พอเหยียบลงบนตัวของสัตว์พาหนะ เห็นได้ชัดว่าพลังงานลึกลับของก้อนหินในฝ่ามือก็นำทางสัตว์พาหนะแล้วเช่นกัน ทำให้สัตว์พาหนะที่ตื่นตระหนกตกใจเหาะอย่างสงบมั่นคงอีกครั้ง
ทั้งหกคนตามหลังตูหยวนฮ่าวอีกครั้ง ทุกคนต่างก็อยากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงออกไปไม่ได้เลย ถ่ายทอดเสียงออกไปนอกร่างกายได้ไกลแค่ช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทั้งหกจึงทำได้เพียงหุบปากเหมือนคนใบ้ มองดูก้อนหินหน้าตาอัปลักษณ์ในมือตัวเอง แล้วก็มองห้อนหินให้มืออีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ พบว่ามีขนาดทั้งเล็กทั้งใหญ่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษที่หลอมสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นวัตถุทางธรรมชาติที่รวบรวมไว้
อยู่ที่นี่ต่อให้สามารถเหาะได้ แต่ความเร็วในการเหาะก็ลดลงไม่ใช่น้อยๆ ใช้เวลาไปแล้วห้าวันเต็ม ทั้งหกถึงได้เหาะออกมาจากอาณาเขตดาวลี้ลับผืนนี้ได้
พอพุ่งตัวออกจากอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ เรื่องแรกที่ตูหยวนฮ่าวทำก็คือยื่นมือไปทางพวกเขา “ส่งก้อนหินมา”
ทั้งหกคนมองดูก้อนหินที่อยู่ในมือ วัตถุลึกลับที่สามารถช่วยให้ตัวเองผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ก็นับว่าเป็นของมีค่าเหมือนกัน พูดตามตรงก็คือทั้งหกไม่ค่อยอยากส่งคืน แต่สถานการณ์บีบบังคับ ไม่ส่งคืนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงโยนกลับไปแต่โดยดี
เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่อยากปล่อยให้ก้อนหินนี้ตกไปอยู่ด้านนอก เขาโบกมือเก็บหินหกก้อน แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป
ทั้งหกหันกลับไปมองอาณาเขตดาวลึกลับผืนนั้นอย่างพูดไม่ออก
เหมียวอี้แอบพึมพำในใจว่า ถ้าตัวเองใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายล่วงหน้า และไม่รอให้พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียการควบคุมแล้วค่อยบุกเข้าไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ไปได้หรือเปล่า
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขุนพลตู เหตุใดอาณาเขตดาวผืนนี้จึงแปลกประหลาดเช่นนี้ล่ะ?”
ตูหยวนฮ่าวตอบโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “อาณาเขตดาวผืนนี้ที่แดนอเวจีของพวกเราเรียกว่า ‘เขตเทพโกลาหล’ ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงลึกลับขนาดนี้ ใครก็อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ในดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้ มีสถานที่ลึกลับที่อธิบายไม่ได้เยอะเกินไป ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งนี้ ข้าจะบอกพวกท่านให้ก็ได้ ในปีนั้นประมุขชิงนำกำลังพลมาปราบด้วยตัวเองก็พลาดท่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะมังกรมาช่วยชีวิตไว้ ประมุขชิงก็คงจะตายด้วยน้ำมือพวกเราไปแล้ว เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาของประมุขชิง พวกท่านจะต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน”
ทั้งหกมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้ยินเรื่องนี้ และเคยได้ยินด้วยว่าสัตว์พาหนะของประมุขชิงราชันสวรรค์ก็คือสัตว์เทพตัวหนึ่ง มังกร!
เหมียวอี้ย่อมอดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “หรือว่ามังกรสามารถผ่าน ‘เขตเทพโกลาหล’ นี้ได้?” เขามองดูเฮยทั่นที่ตัวเองกำลังขี่อยู่
ปรากฏว่าโดนเมินเสียแล้ว ตูหยวนฮ่าวไม่ได้สนใจใยดีจะตอบ
พอออกจากเขตเทพโกลาหล ความเร็วในการเหาะของพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติ พวกเขาเร่งความเร็วเหาะไปข้างหน้าแล้ว
หายไปอย่างไรร่องรอย ในกระแสอันวุ่นวายของดาราจักรที่ผิดปกติจนสามารถฉีกเกราะรบผลึกแดงให้แหลกเป็นจุลได้มีช่องโหว่ ตูหยวนฮ่าวสามารถหาช่องโหว่พาทั้งหกเหาะผ่านไปได้
ฝุ่นตลบฟุ้งราวกับเมฆม้วนที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ในระหว่างกลุ่มเมฆที่มีแรงเสียดทานแอบซ่อนเสียงแสบแก้วหูที่สามารถฆ่าคนแบบล่องหนได้เอาไว้ ไม่มีทางป้องกันชนะ ตูหยวนฮ่าวมีวิชาที่สามารถใช้รับมือได้
อาณาเขตดาวที่ว่างเปล่าดูเหมือนจะสงบเงียบ แต่ความจริงแอบซ่อนแรงบดอัดมหาศาลเอาไว้ ตูหยวนฮ่าวพาพวกเขาอ้อมไปล่วงหน้า
อาณาเขตดาวที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ แต่ตูหยวนฮ่าวบอกให้ทั้งหกหลับตาสองข้าง ไม่อย่างนั้นดวงตาจะบอดมืด
ทั้งยังมีอาณาเขตดาวที่มีลำแสงหลากสีสัน สามารถได้ยินเสียงมายา ได้กลิ่นมายาที่ทำให้คนเหมือนตกอยู่ในภาพฝันมายา
ปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เจอมาตลอดทางทำให้ทั้งหกคนรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวมีวิธีพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง แต่มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวไม่สามารถพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง ต้องพาพวกเขาเลี้ยวอ้อมไปไกลมาก
ความผิดปกติลี้ลับต่างๆ นาๆ ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ เป็นภัยอันตรายไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง ทั้งหกไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทำไมสถานที่นี้จึงซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้ และไม่มีทางจินตนาการได้ด้วยว่าโจรกบฏที่โดนขังอยู่ในนรกกลุ่มนี้ศึกษาสภาพแวดล้อมได้อย่างไร แทบจะรู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าการทำความคุ้นเคยสถานที่นี้ต้องจ่ายไปหลายชีวิตกว่าจะแลกมาได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่จึงมีชื่อว่าแดนอเวจี
เหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมตำหนักสวรรค์จึงส่งคนมากมายขนาดนี้มาเข้าร่วมการทดสอบที่นรก สถานที่ที่แม้แต่ราชันสวรรค์มาปราบเองก็ยังปราบได้ยาก แล้วนักพรตบงกชทองกลุ่มหนึ่งจะทนไหวได้อย่างไร การถ่อมาที่นี่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้ง ต่อให้ส่งคนที่วรยุทธ์สูงกว่าบงกชทองมาก็ไม่มีประโยชน์ สถานที่นี้ไม่ใช่ว่าความสูงต่ำของวรยุทธ์จะสามารถเอาชนะได้ ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะมีใครที่วรยุทธ์สูงจนสามารถทำลายดาราจักรผืนนี้ได้ แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าใครที่มีพลังแบบนี้ คนที่มองข้ามการมีอยู่ของจักรวาล
นี่ตำหนักสวรรค์กำลังคิดจะเอาชีวิตคนมาวางกองไว้ชัดๆ!
หลังจากได้สัมผัสความประหลาดยากจะคาดเดาของที่นี่แล้ว เหมียวอี้ไม่เชื่อว่าอาศัยกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนแล้วจะสามารถสำรวจสถานการณ์ของที่นี่ได้ ตำหนักสวรรค์เคยยกทัพมาปราบแล้วจะต้องรู้ชัดอยู่แก่ใจแน่นอน ต่อให้สืบอะไรได้บ้างแต่ก็ได้ไม่เยอะอยู่ดี
ดังนั้นนี่คือการเอาชีวิตคนมาเพื่อสำรวจเส้นทางแท้ๆ เลย นี่คือการวางแผนผลักดันทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป!
ดังนั้นในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรแต่ก็แทบจะแน่ใจได้ ว่าการทดสอบที่แดนอเวจีจะไม่ได้จัดขึ้นแค่ครั้งเดียวแน่นอน ตอนหลังยังจะมีการทดสอบที่แดนอเวจีตามมาอย่างต่อเนื่อง จะเอาชีวิตคนมากองไว้ที่นี่ต่อไป ไม่อย่างนั้นการโยนกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนคนเข้ามาในนรกก็จะไม่มีความหมายใดๆ เลย
เหมียวอี้เดาว่าเมื่อก่อนตำหนักสวรรค์คงคิดว่าขังโจรกบฏไว้ในนรกได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรตอนหลัง ถึงอย่างไรการฝืนไปปราบนรกก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไป ผลปรากฏว่าพอพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก่อเรื่องแบบนั้นขึ้นมา หากราชันสวรรค์ไม่กำจัดโจรกบฏในนรกให้สิ้นซาก ก็เกรงว่าจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียงตัวเอง มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มโจรกบฏที่สู้กับราชันสวรรค์ด้วย!
พอคิดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังตูหยวนฮ่าวก็เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าสงสัยว่าพวกเจ้ารู้รึเปล่าว่าการที่ตัวเองปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้? รู้รึเปล่าว่ามีชีวิตคนตั้งเท่าไรจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือพวกเจ้า?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้โง่ แต่ละคนทำสีหน้าจริงจัง ถ้าไม่ได้มาสักรอบก็คงจะไม่รู้จริงๆ พอได้มาแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่โตมาก เพื่อที่จะปล้นทรัพย์สมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดฉากปะทะระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏอีกครั้ง สถานที่อันตรายแบบนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตคนอีกมากมายเท่าไรถึงจะสามารถสงบศึกได้!
พวกเขาเงียบงันไม่พูดอะไร ไม่มีใครตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เหมียวอี้พูดไม่ออก ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาต่อไป ครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองสามารถจดบันทึกเส้นทางที่ผ่านมาตลอดทางกลับไปด้วยได้ ก็จะได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแน่นอน
ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็แอบร้องว่าซวยแล้ว เป็นเพราะตัวเองมาในครั้งนี้ หากไม่สามารถผ่านด่านโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ แล้วตนจะรอดชีวิตออกไปเปิดเผยความลับได้อย่างไร ความลับเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่โจรกบฏในนรกก็คงจะไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน
เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงด่าทุกคนอีกว่า “ถ้าขาดเงินพวกเจ้าก็มาหาข้าสิ! ห้าปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยถ่อมาปล้นเนี่ยนะ ครั้งนี้ข้าโดนพวกเจ้าวางกับดักตายแล้ว!”
ซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เงินของไอ้เหมียวจัญไรจะขอยืมง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยไปยืมเจ้าเสียเมื่อไร เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองพูดอะไรเอาไว้บ้าง แล้วอีกอย่างนะ ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่าเข้ามาลึก แต่เจ้าดึงดันจะมาให้ได้ ถ้าจะบอกว่าวางกับดัก ข้าว่าเจ้ามากกว่าที่วางกับดักพวกเรา”
เหมียวอี้เถียงกลับทันทีว่า “เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ดึงดันจะตามข้ามาให้ได้ ตอนนี้มาโยนความผิดให้ข้าเหรอ?”
“ตอนนี้พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาเถียงปัดความรับผิดชอบกันเองอีกเหรอ? คิดหาทางเถอะว่าจะหนีเอาตัวรอดยังไง!” อวิ๋นอ้าวเทียนตะคอก
กลับเป็นจีฮวนที่แอบถ่ายทอดเสียงบอกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนโดยไม่ให้เหมียวอี้รู้ “บางทีอาจจะเป็นประต่ายตื่นตูมไปเอง อย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์สิ ต้องเชื่อมั่นในความแม่นของคำนายเทพพยากรณ์”
“ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เทพพยากรณ์ช่างรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ การที่พวกเราก่อเรื่องครั้งนี้ ระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏ ถ้าไม่ตายกันไปข้างก็ไม่เลิกรา สถานการณ์ช่างพลิกผันจริงๆ ไม่ผิดเลยสักนิด! แต่หลังจากที่สถานการณ์พลิกผันแล้วล่ะ? เทพพยากรณ์ไม่ได้บอกนะว่าพวกเราจะรอดหรือตาย!”
“ในเมื่อทำนายแม่นขนาดนี้แล้ว คงจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง ก่อนหน้านี้เขาบอกไว้ว่าชะตาพวกเราจะพลิกผัน แต่คงไม่ถึงขั้นชี้ทางตายให้พวกเราหรอก” จีฮวนกล่าว
“หวังว่าจะเป็นอย่างนี้แล้วกัน!” ฉางเหลยมองซ้ายมองขวา “แต่ทำไมอาตมารู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อาตมาไม่มีความมั่นใจเลย!”
“พวกเจ้าคุยอะไรกันโดยไม่ให้ข้ารู้?” เหมียวอี้ถามทั้งห้าด้วยสีหน้าระแวง เขาย่อมสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทั้งห้าถ่ายทอดเสียงคุยกัน มาจนป่านนี้แล้วยังมีอะไรที่ต้องคุยกันโดยไม่ให้เขารู้อีก? จึงกล่าวเตือนทันทีว่า “ข้าขอเตือนพวกเจ้านะ อย่าคิดอะไรไม่ซื่อกับข้า ถ้าเอาสถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ของข้าไปขาย พวกเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้อยู่ดีมีสุข ข้าเองก็จะเปิดโปงความลับของพวกเจ้าเหมือนกัน…” เหมือนคำขู่นี้จะไม่ได้ผลสักเท่าไร จึงพูดเสริมไปอีกว่า “ลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเจ้าเป็นอนุภรรยาของข้านะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ก็อย่าหวังเลยว่าพวกนางสบายดี ถ้าปกป้องข้าไว้ ข้าพอจะรู้จักทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่จัดการทดสอบครั้งนี้ บางทีอาจจะหาทางพาพวกเจ้าออกจากนรกก็ได้”
ทั้งห้าคนตกตะลึง เบิกตากว้างมองเขาพร้อมกัน มารดาเจ้าเถอะ ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ มาบอกสิ่งนี้กับพวกเราตอนนี้เนี่ยนะ?
…………………………