ถ้าหากจำไม่ผิด มีใครบางคนบอกมาตลอดว่าตอนเข้ามาทดสอบในนรกจะต้องโดนตรวจค้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าตอนการทดสอบจบและได้ออกจากนรกก็จะโดนค้นตัวเช่นกัน ไม่มีทางพาคนเข้าออกจากนรกได้เลย เวรตะไลเอ๊ย! ตอนนี้กลับมาเปิดเผยว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนแห่งตำหนักสวรรค์ที่จัดการทดสอบนี้ สามารถพาพวกเขาออกจากนรกได้ หมายความว่ายังไงกัน?
หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้เห็นพวกเขาห้าคนวางแผนลับกันโดยหลบเลี่ยงเขา เขาจึงค่อนข้างสงสัยว่าห้าคนนี้จะเปิดโปงสถานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของเขาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า โจรกบฏนรกพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์ ถ้ารู้ความจริงแล้วจะปล่อยเขาไปได้เหรอ เลยจำเป็นต้องให้ความหวังห้าคนนี้ล่วงหน้าสักหน่อย หวังว่าหลังจากพยายามทำให้ห้าคนนี้สงบลงแล้วอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต
ยามเขาเผชิญหน้ากับวิกฤต เขาใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการทดสอบครั้งนี้เวลาเข้าออกนรกจะโดนค้นตัว ไม่มีทางพาพวกเราออกไปได้?” มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้ตอบอย่างมีเหตุผลของตัวเองว่า “ข้าเคยพูดอย่างนั้น แต่ข้าไม่พูดอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ? พวกเจ้าห้าคนกล้าบอกมั้ยว่าไม่มีเรื่องปิดบังข้า? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะกล้าวางใจพึ่งพาพวกเจ้า?”
แบบนี้เรียกว่าเหตุผลได้เหรอ? แต่เหตุผลนี้ก็อุดปากให้ทั้งห้าคนเถียงไม่ออกแล้ว
“เจ้าบอกว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์ที่รับผิดชอบการทดสอบนี้เหรอ พวกเราจะอาศัยอะไรมาเชื่อเจ้าล่ะ? เจ้าพูดว่าอะไรก็แปลว่าเป็นอย่างนั้นเหรอ เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ให้พวกเราเชื่อ?” จีฮวนถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเองก็ได้ยินเรื่องที่ข้ามีเรื่องเข่นฆ่าในการทดสอบครั้งนี้มาแล้ว พอเปิดสนามทดสอบข้าก็ทำลายกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จักเกาก้วนอยู่บ้างนิดหน่อย ข้าจะกล้าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร ทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์แล้วจะยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้เหรอ?”
ทั้งห้าแน่ใจว่าเขาพูดแบบนี้ออกมาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง อยากจะเพิ่มแต้มต่อในการปกป้องชีวิตตัวเอง จะได้ทำให้พวกเขาชั่งน้ำหนักสักหน่อย ว่าถ้าเปิดโปงเหมียวอี้พวกเขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ออกจากนรก ต่อให้โจรกบฏในนรกในฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็จะต้องโดนขังอยู่ในนี้ตลอดไปเหมือนโจรกบฏพวกนั้นโดยไม่ได้ทำอะไร ได้แต่รอให้ดาบของตำหนักสวรรค์มาจ่อคอในสักวันหนึ่ง แต่เหมียวอี้เป็นความหวังเดียวที่จะพาพวกเขาให้รอดออกไปได้
ถึงแม้ทั้งห้าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการวางแผนของเหมียวอี้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้นั้น ชื่อเสียงอันโด่งดังของทูตขวาหน้าตายของตำหนักสวรรค์ พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างไร้ความปรานีมาตลอด และดูจากข่าวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เจ้าเวรนี่ก็เคยคุยกับเกาก้วนแบบต่อหน้าแล้วจริงๆ จึงไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องที่ทั้งสองมีการสร้างความสัมพันธ์กัน
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ทั้งห้าหน้าดำคร่ำเครียดพร้อมกันแล้ว เจ้าเวรนี่มีทางพาพวกเขาออกไปก็ไม่รีบบอกก่อน ดึงดันจะพาพวกเขามาประสบพบเจอเรื่องแบบนี้ให้ได้ ครั้งนี้โดนวางกับดักจนแย่แล้ว
เพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักของเรื่องนี้ เหมียวอี้บอกอีกว่า “ไม่ปิดบังพวกเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะการทดสอบครั้งนี้ราชินีสวรรค์เป็นคนจัด ข้าคงได้ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นลูกน้องเกาก้วนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์แล้ว เกาก้วนรับปากข้าแล้ว ขอเพียงหลังจากการทดสอบข้ารอดชีวิตกลับไปได้ ถ้าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้อีกต่อไป เขาก็จะหาทางย้ายข้าไปเป็นลูกน้องเขา”
“เจ้ามาพูดตอนนี้ยังจะมีความหมายบ้าอะไรล่ะ? ถ้าอยากจะขู่พวกเราก็ต้องดูด้วยว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้รึเปล่า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ท่าทางจัญไรแบบนั้น ทำให้ห้าคนที่เหลือบมองเขาแค้นจนอยากจะเล่นงานเขาให้ตาย
ตูหยวนฮ่าวเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าเขาสังเกตได้ว่าหกคนนี้กำลังถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน แต่ระหว่างทางที่มาก็ได้เตือนทั้งหกแล้วว่าห้ามใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอก นอกจากสิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดอะไรพวกเขาแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรที่ล่วงเกินด้วย
เหมียวอี้เผชิญหน้ากับสายตาเคียดแค้นของทั้งห้าคนด้วยความอับอายเล็กน้อย เขาหยิบแผนที่ดาวออกมา อยากจะดูว่าตูหยวนฮ่าวต้องการจะพาพวกเขาไปที่ไหนกันแน่
เป็นเพราะสถานการณ์ในนรกแปลกเกินไป มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวเองก็ไม่สามารถผ่านไปได้โดยตรงเช่นกัน พาพวกเขาอ้อมทางนั้นทีทางนี้ที ตอนนี้อ้อมจนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าตัวกำลังอยู่ตรงทิศไหนแล้ว
ผลก็คือตอนที่ยังไม่ได้ดูก็ยังไม่รู้ แต่หลังจากได้รู้แล้ว เหมียวอี้ก็อึ้งทันที
พอทั้งห้าคนเห็นปฏิกิริยาของเขาตอนหยิบแผนที่ดาว ก็รีบหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูบ้างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลังจากอ่านแล้วก็อึ้งเช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเรากำลังเข้าใกล้บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าว เหมือนใกล้จะถึงแล้ว”
“บังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ?” ซือถูเซี่ยวก็แปลกใจเช่นกัน
เดิมทีพวกเขาก็ต้องการมาที่บริเวณนี้อยู่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าตูหยวนฮ่าวจะเป็นฝ่ายพาพวกเขามาส่งเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณนี้ หรือว่าแค่ผ่านมาทางนี้เฉยๆ ถ้าดูจากขอบเขตแดนอเวจีที่แผนที่ดาวในปัจจุบันครอบคลุมไปถึง บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของแดนอเวจีแล้ว
ทั้งห้าแทบจะมองไปทางเหมียวอี้อย่างตะลึงงันพร้อมกัน เมื่อนึกเชื่อมโยงกับปฏิกิริยาของเขา มู่ฝานจวินก็ถามว่า “เหมียวอี้ เจ้าคิดจะไปทำอะไรที่บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวกันแน่?”
เหมียวอี้เก็บแผนที่ดาว แล้วถามกลับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตามติดข้าไม่ปล่อยเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อถามมาแบบนี้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังสร้างเงื่อนไขมาแปลกเปลี่ยนกัน
ทั้งห้าก็อยากจะบอกให้เขารู้อยู่หรอก แต่เป็นเพราะกังวลในอานุภาพแห่งคำทำนายของเทพพยากรณ์อยู่นิดหน่อย กลัวว่าถ้าไม่เคารพคำทำนายแล้วจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ตามมา ความหวังเดียวในการรอดชีวิตตอนนี้ ก็แทบจะฝากไว้ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์หมดแล้ว
พวกเขาไม่บอก ก็ย่อมต้องให้เหตุผลกับเหมียวอี้เช่นกันว่าทำไมไม่บอก ทุกคนต่างก็รักษาความลับ ต่างก็ไม่ถามแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็ปรากฏอยู่ในขอบเขตที่ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาสามารถมองถึง เป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง!
มีดาวรองสิบกว่าดวงอยู่ทั้งใกล้และไกลในระยะที่ไม่เท่ากัน กำลังหมุนรอบดวงอาทิตย์
ตูหยวนฮ่าวที่เป็นผู้นำขบวนนี้เบี่ยงทิศทางเล็กน้อย พุ่งไปหาดาวรองดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดซึ่งมืดเย็นและห่างไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุด หลังจากเข้าใกล้แล้วก็เหาะวน เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมจะหาจุดเหาะลง
การกระทำนี้ทำให้เหมียวอี้กึ่งดีใจกึ่งกลุ้มใจ
ดีใจที่จุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวที่เขาต้องการจะไปจริงๆ เขาได้เห็นสภาพอันตรายตลอดทางด้วยตาตัวเองแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีตูหยวนฮ่าวนำทาง ความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นก็แทบจะเป็นศูนย์ จะไม่พูดว่าตัวเองดวงดีก็คงไม่ได้ ที่ซ่อนสมบัติที่ประมุขไป๋เตรียมไว้จะต้องมีไว้ให้คนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นแน่นอน และคงไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นเชลยศึกอย่างเขาจะบังเอิญพบ
ที่กลุ้มใจก็คือจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ สมบัติที่ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว
ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็พากันประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าแอบคาดคะเนอย่างสงสัยประหลาดใจ ดูจากตำแหน่งที่อยู่บนแผนที่ดาว ก็พบว่าอยู่ที่ใจกลางของแดนอเวจี ดีไม่ดีอาจจะเป็นฐานใหญ่ของโจรกบฏก็ได้ เหมียวอี้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาที่ฐานใหญ่โจรกบฏเหรอ?
เหยียบลงพื้นแล้ว!
ไม่ได้ผ่านประตูดวงดาวใดๆ ใช้เวลาเหาะอันยาวนานเกือบหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็ได้เหยียบลงพื้นแล้ว
ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่สีของท้องฟ้าขมุกขมัวเพราะถูกเมฆครึ้มปกคลุม ภูเขาสูงลาดชัน ทุกที่ล้วนเป็นแบบนี้ พืชพรรณสีดำมืดแย้มบานจุดแสงหลากสีสันอยู่ในอากาศหนาวชื้น ไม่ใช่พืชพรรณประเภทที่เติบโตด้วยการอาบแสงอาทิตย์
บนหน้าผาสูงชะโงกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรดำทะมึน ด้านบนหน้าผามีตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง แกะสลักเป็นภาพกระดูกคนหรือไม่ก็สัตว์ป่าและนกชนิดต่างๆ
บนพื้นราบนอกตำหนัก มีคนยืนอยู่สามสิบกว่าคน หกคนที่อยู่ข้างหน้ายืนเรียงแถวหน้ากระดาน นอกจากพระชราที่สวมชุดคลุมสีเทา อีกห้าคนที่เหลือก็นอกจากสีชุดจะไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละคนก็ล้วนเป็นชายชราที่เครายาวและผมเผ้ายุ่งสยาย
ข้างหลังหกคนนี้มีคนยืนอยู่ด้วยอีกหลายคน ทุกคนเงยหน้ามองตูหยวนฮ่าวนำคนหกคนเหาะลงมาเหยียบบนหน้าผา
พอพวกเหมียวอี้เห็นหกคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ ในใจก็ร่ำร้องทันที มองจากสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ของจริงตรงหว่างคิ้วก็สามารถรู้ได้ ว่าทั้งมดเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าต้องการจะทำให้พวกเขาตาย ก็เกรงว่าจะง่ายจนไม่จำเป็นต้องยกนิ้วขึ้นมาด้วยซ้ำ
ตูหยวนฮ่าวทิ้งพวกเขาไว้แล้ว เดินก้าวยาวไปหาชายชราชุดดำหนึ่งในนั้น แล้วกุมหมัดคารวะ “รายงานท่านขุนพลใหญ่ ข้าน้อยพาพวกเขามาแล้ว”
สายตาเร่าร้อน! ชั่วพริบตาเดียวคนหลายสิบคนนั่นก็มองพวกเหมียวอี้ด้วยสายตาเร่าร้อนไร้ที่เปรียบ ในสายตาเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย
พวกเหมียวอี้โดนสายตาแบบนั้นมองจนรับไม่ได้นิดหน่อย เหมือนกับตัวเองเป็นยอดหญิงงามที่แก้ผ้าหมดแล้วบังเอิญเจอฝูงชายหื่น รู้สึกว่าคนพวกนี้ตามันแผล็บจนแทบจะเป็นสีเขียวแล้ว
ชายชราชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่สวมหน้ากากผี แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?”
“ข้าน้อยทดสอบมาแล้ว เขาฝึกเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์จริงๆ” ตูหยวนฮ่าวตอบ
ทันใดนั้นชายชราชุดดำก็ยกมือขยุ้มนิ้ว พวกเหมียวอี้รูสึกทันทีว่าอากาศรอบข้างหนักยิ่งกว่าภูเขา กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานแต่ก็ยากที่จะต้านทานได้ ชายชราขยุ้มนิ้วอีกครั้ง เกิดเสียงดังแคว่ก หน้ากากผีบนใบหน้าซือถูเซี่ยวปลิวออกไปทันที ผ้าสีดำที่คลุมศีรษะก็ขาดกระจายเช่นกัน ผมยาวเด้งสยายออกมา
หน้ากากผีของซือถูเซี่ยวเลี้ยวมาอยู่บนมือชายชราชุดดำในชั่วพริบตาเดียว ชายชราชุดดำตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เป็นผู้หญิง!”
ชั่วพริบตานี้แรงกดดันมหาศาลบนตัวของทุกคนได้หายไปแล้ว พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วยื่นหัวไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงซือถูเซี่ยวที่ถูกกำจัดหน้ากากผีทิ้งปล่อยผมยาวสยาย กำลังเม้มริมฝากแน่น หน้าตาเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่งามล่มเมือง
เหมียวอี้และคนอื่นๆ ตะลึงตาค้าง โดยเฉพาะพวกอวิ๋นอ้าวเทียน คลุกคลีอยู่กับซือถูเซี่ยวมาหลายปีขนาดนี้ วันนี้ถึงได้พบว่าซือถูเซี่ยวเป็นผู้หญิง
ฉางเหลยที่ยืนอยู่ข้างกายซือถูเซี่ยวถามอย่างประหลาดใจว่า “ผีเฒ่า เจ้าเป็นผู้หญิงเหรอ?”
ซือถูเซี่ยวหันกลับมาอย่างเดือดดาล แล้วกล่าวเสียงเย็นเยือกว่า “พระเถระ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”
เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดสิ่งนี้ให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามฟัง
“อามิตตาพุทธ เป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไรหรอก” ฉางเหลยประนมมือส่ายหน้า
ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงดุว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”
จีฮวนที่อยู่อีกด้านพลันยื่นมือไปลูบหน้าอกเขา ซือถูเซี่ยวไหวตัวเร็ว รีบเอาแขนป้องเงื้อมมือมารของอีกฝ่ายที่กำลังยื่นมาถึงหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างโมโหว่า “ปีศาจเฒ่า เจ้ารนหาที่ตายใช่มั้ย?”
ชายชราชุดดำพลันกางนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของซือถูเซี่ยวนิ่งชะงัก ทั้งตัวขยับเขยื้อนไม่ได้ แล้วถลันตัวเข้าไปหา
พอเข้ามาใกล้ตรงหน้า ชายชราชุดดำก็ใช้มือกดที่บ่าของเขา หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็ปล่อยเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นผู้ชายจริงๆ ผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิงขนาดนี้หาพบได้น้อยมาก ถ้าจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก”
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พอเป็นแบบนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซือถูเซี่ยวถึงใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดและไม่ยอมใช้หน้าจริงพบคนอื่น
ซือถูเซี่ยวเหมือนจะไม่พอใจมากที่มีคนบอกว่าเขาเป็นผู้หญิง ต่อให้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ข้ากับพวกท่านไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พาพวกเรามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชายชราชุดดำคืนหน้ากากผีให้เขา แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าก็ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเหมือนกัน ท่องเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกให้ข้าฟังสักส่วนหนึ่ง ถ้าแน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันจะได้คุยกันง่าย ไม่อย่างนั้นจะฆ่าไม่ปราณี!”
…………………………