เหมียวอี้เองก็รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป ยั่วยุคนแก่พวกนี้อีกแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ ตอนแรกเขาแค่อยากมาสืบดูสถานการณ์ให้ชัดเจนว่าจะสามารถนำสมบัติที่ซ่อนมาไว้ในมือได้หรือไม่ แต่ใครจะคิดว่าพอโผล่หน้ามาก็โดนจับแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสจะสำรวจด้วยซ้ำ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงจะไม่มาแน่นอน
แต่เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเถียงกลับ “พ่อคนนี้กำลังคิดหาทางช่วยพวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วอีก ถ้ารังเกียจข้าก็หาทางเอาเองได้ อย่ามาตามข้า”
“เจ้า…” จีฮวนโมโหจนแทบกระอักเลือด ใครเป็นพ่อใครกันแน่? ยกลูกสาวให้แต่งงานโดยสูญเปล่าแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนเองก็อยากจะตบเจ้าเวรตะไลนี่ให้ตายเหมือนกัน คนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงตามเหมียวอี้ไปทดลองสักครั้ง
“ถึงแม้หกคนนี้จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครธรรมดา พวกเขามีจิตใจที่โอหังอวดดี”
เมิ่งหรูที่ติดตามอยู่ข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกคนทางซ้ายและขวา
เหลิ่งจัวฉุนขานรับ แล้วบอกว่า “ดูไม่ค่อยปกติ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราก็มองไม่ออกถึงความตระหนกหวาดกลัวอะไร แต่ละคนข่มอารมณ์ได้ดี”
ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงกำลังโคจรรอบดาวรอง ส่วนเหมียวอี้ก็นำกลุ่มคนเหาะวนอ้อมดาวเคราะห์สิบสองดวงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือด
ขุนพลใหญ่หกลัทธิไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เตรียมจะทำลายค่ายกลอย่างไร พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้มีวิธีการอะไรที่จะหลบเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือดได้ ต้องทราบไว้ว่าถ้ากลุ่มคนที่กำลังจับตาดูตนอยู่รู้ตัวและลงมือขึ้นมา ความเร็วในการหลบหนีจะต้องช้ากว่าความเร็วที่พวกเขาลงมือแน่นอน
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปสำรวจดูก่อนสักหน่อย”
เหมียวอี้ที่วนอ้อมรอบหนึ่งหยุดอยู่กับที่ หลังจากสั่งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ก็เหาะไปที่ดาวเสริมดวงหนึ่งเพียงลำพัง
ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่อยู่ข้างหลังเข้ามาใกล้แล้ว หยุดยืนอยู่กลางอากาศกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ทุกคนกำลังจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้
ฝ่าเข้ามาในชั้นบรรยากาศของดาวเสริม ก็รู้สึกได้ถึงแรงถ่วงทันที ขณะมองดูหมอกสีเลือดด้านล่าง เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้ เขาไม่รู้ว่าหมอกสีเลือดนี้กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นของประเภทเดียวกันหรือเปล่า และไม่กล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย
เขาพลิกฝ่ามือหยิบปลาสองตัวที่ล้างสะอาดและปิ้งเสร็จแล้วออกมา ล้วนเป็นของกินที่อันหรูอวี้เตรียมไว้ให้ลูกเขยอย่างเขาตอนที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ เตรียมไว้ไม่น้อยเลย
พอปลาปิ้งตัวหนึ่งหลุดมือออกไป ก็ย่อมตกลงไปในหมอกสีเลือดที่พัดม้วนเปลี่ยนแปลงตามแรงถ่วง เห็นเพียงชั่วพริบตาที่มันตกลงในหมอกสีเลือด ปลาปิ้งตัวนั้นก็ไหม้เกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นสัตว์เป็นๆ ที่ยังไม่ได้ย่าง คาดว่าคงจะกลายเป็นน้ำสีดำเหมือนที่โจรกบฏพวกนั้นบอกแล้ว พอได้เห็นอานุภาพของหมอกสีเลือดนี้คร่าวๆ ชั่วพริบตาเดียวก็กระโดดหายลงไปในจุดลึกของหมอกหนาแล้ว
เหมียวอี้หันกลับไปมองกลุ่มคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ที่ด้านนอกท้องฟ้า แล้วโยนปลาปิ้งอีกตัวที่อยู่ในมือออกไปอีก แต่ครั้งนี้กลับแอบปล่อยเพลิงดาราให้ครอบไว้บนปลาปิ้งเงียบๆ ลดความเร็วเวลาตกลงข้างล่างให้ช้าลงเล็กน้อย
พอวัตถุเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือด ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ พิสูจน์แล้วว่าเพลิงดาราของตนสามารถปกป้องการกัดกร่อนจากหมอกเลือดนี้ได้จริงๆ เหมียวอี้แอบดีใจ แล้วคลายเพลิงดาราออกจากปลาปิ้งตัวทันที แอบเก็บเพลิงดาราเงียบๆ จะได้ไม่ทำให้กลุ่มโจรกบฏสงสัย ทำให้ปลาย่างที่ตกลงไปในหมอกไหม้กลายเป็นถ่านทันที ตกหายไปในจุดลึกของหมอกหนา
หลังจากสำรวจทดสอบเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็มีความมั่นใจแล้วว่าจะเข้าไปหลบซ่อนในหมอกหนานี้ได้ เพียงแต่รู้สึกว่าประมุขไป๋อาจจะวางค่ายกลนี้อย่างเกินความจำเป็นไปหน่อย วางค่ายกลไว้บนดาวรองโดยตรงก็พอแล้ว ตรงนี้มีคนมากมายเฝ้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่วางค่ายกลไว้บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก็ได้
พอครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว การที่ประมุขไป๋วางค่ายกลใหญ่นี้ไว้ อาจจะไม่ใช่เพื่อป้องกันใคร ดีไม่ดีอาจจะทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏในนรกกลุ่มนี้ระงับอารมณ์ไม่ได้และมุทะลุช่วยประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขังออกมา ถึงอย่างไรโจรกบฏกลุ่มนี้ก็ไม่ธรรมอยู่แล้ว เป็นไปได้สูงว่าวางค่ายกลนี้ไว้เพื่อเพิ่มระดับความยากในการช่วยชีวิต
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้วหันตัวพุ่งออกไปที่ด้านนอกท้องฟ้า ทอดสายตามองไปที่ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนั้น แกนค่ายกลซ่อนอยู่ในดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนี้ ตัวเองสามารถเข้าไปสำรวจได้ แต่ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนั้นตั้งสิบเอ็ดดวง ถ้าเข้าไปสำรวจเพียงลำพังก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
สายตาเขาไปหยุดอยู่บนดาวรองที่อยู่ตรงกลาง สมบัติซ่อนอยู่ตรงนั้น…
คนกลุ่มหนึ่งเหาะอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ตานฉิงถามว่า “อืดอาดเชื่องช้านานขนาดนี้ หรือคิดจะอาศัยวิธีการแบบนี้ถ่วงเวลาต่อไป?”
เหมียวอี้กวาดสายตามองที่ดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงนั้น พร้อมตอบโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา “วรยุทธ์ของข้าไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา”
ตานฉิงแสยะยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าเจ้ากำลังถ่วงเวลา ข้าว่า…” เสียงเงียบลงกะทันหัน สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างกันรีบเอามือมาป้องปากเขา บอกใบ้ให้เขาหุบปาก และเขาก็หุบปากแล้วจริงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ให้ความรู้สึกเหมือนตกใจจนค้างไป
ตอนนี้สายตาของทุกคนจ้องอยู่ที่เหมียวอี้แล้ว
เห็นเพียงรอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้พลันเปิดออก เบิกดวงตาที่สามขึ้นมาแล้ว เผยให้เห็นลูกตาใสสีรุ้งดวงหนึ่ง เห็นเพียงเสาแสงรูปใบพัดที่ยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งพลันยิงออกมา เสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งลอยวนเวียนดูแวววาว สง่างามและวิจิตรตระการตา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกระทึกขวัญ
ดวงตาที่สามของเหมียวอี้กำลังจ้องที่ดาวเสริมดวงนั้น ทำสีหน้าเหมือนกำลังพุ่งสมาธิไปที่จุดเดียว
สิ่งที่หว่างคิ้วของเขายิงออกไป รัศมีสีรุ้งที่เปลี่ยนแปลงและเสาแสงที่หดขยายไม่หยุดหย่อนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขากำลังตรวจดูโดยปรับระยะการมองเห็นและขอบเขตสายตา
ในดวงตาของเขา สายตามองทะลุผ่านหมอกสีเลือดอย่างรวดเร็ว เห็นภูเขาแม่น้ำและพื้นดินที่ซ่อนอยู่ข้างล่างทุกอย่าง
แผ่นดินใหญ่เป็นสีดำมืด สภาพที่เหมือนถ่านเหมือนกับสภาพที่เห็นในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กทุกอย่าง ทั้งยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวที่พลิ้วไหวอยู่ในโลกอันดำมืดด้วย บางครั้งก็จะเห็นสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุสิบปีเต็มถึงขั้นออกผลแล้วด้วย จะเห็นได้ว่าไม่มีใครมาเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวที่นี่เลย
เหมียวอี้แอบตกใจ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาแทบจะแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเป็นสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่เขามองไปมองมาแต่ก็ยังไม่เห็นตั๊กแตนทมิฬสักตัวเลย
“ตาทิพย์?”
“อย่าบอกนะว่าเป็นตาทิพย์?”
ในบรรดาโจรกบฏ มีคนไม่น้อยที่อุทานออกมา จากนั้นขุนพลใหญ่หกลัทธิก็รีบโบกมือใส่พวกเขา บอกใบ้ให้ทุกคนเงียบเสียงอย่ารบกวนเหมียวอี้
เอาเป็นว่ากลุ่มโจรกบฏต่างก็ทำสีหน้าเฝ้าคอยและตื่นเต้นฮึกเหิม เป็นสีหน้าประเภท ‘ในที่สุดก็มองเห็นความหวังแล้ว’ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของตาทิพย์ประเภทนี้ ย่อมเข้าใจว่าหมอกเล็กน้อยพวกนี้ขัดขวางการสำรวจของตาทิพย์ไม่ได้
ตอนนี้ตานฉิงไม่คิดอีกแล้วว่าเหมียวอี้กำลังถ่วงเวลา เหมียวอี้ใช้ความจริงทำให้เขาหุบปาก ทำให้โจรกบฏกลุ่มนี้หุบปากแต่โดยดี
ขุนพลใหญ่หกลัทธิแอบถ่ายทอดเสียงคุยกันแล้ว
“นี่คงจะเป็นตาทิพย์ใช่มั้ย?”
“อาศัยวรยุทธ์บงกชทองของเขา จะมีของประเภทตาทิพย์ได้ยังไง?”
“เจ้าหนุ่มนี่เป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่? บนตัวมนุษย์จะมีตาทิพย์ได้ยังไง?”
“ไม่ว่าจะยังไง ดูท่าแล้วเจ้าหกคนนี้คงจะเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาทำลายค่ายกลจริงๆ”
“หวังว่าประมุขขุนพลจะออกมาได้นะ หวังว่าสิ่งที่ประมุขขุนพลพูดไว้ในปีนั้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าพวกเขาสามารถหลุดพ้นออกมาได้ ก็แสดงว่าเวลาที่จะพ้นจากนรกไปโค่นล้มประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
ในชั่วขณะนั้น ภายใต้การใช้ตาทิพย์แสดงพลังปฏิหาริย์ ก็ทำให้ความสงสัยเคลือบแคลงของโจรกบฏหายไปหมดแล้ว
ตาทิพย์? พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับมองเหมียวอี้ที่เบิกดวงตาประหลาดอย่างตกตะลึงไม่หาย สิ่งนี้คืออะไรกัน? บนตัวเจ้าหมอนี่มีของสิ่งนี้ด้วยเหรอ บนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะเกินไปแล้ว?
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าการที่เหมียวอี้ดึงดันจะมาที่นี่เป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่การทำลายค่ายกลหรือเปล่า
หลังจากผ่านไปสักพัก เสาแสงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันถูกเก็บ เขาปิดตาทิพย์แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง? หาแกนค่ายกลเจอรึเปล่า?” ขุนพลใหญ่หกลัทธิรีบก้าวขึ้นมาถามทันที
เหมียวอี้ยืนยันอีกครั้งอย่างค่อนข้างอ่อนแรงว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา” จากนั้นก็หยิบยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก หลับตาสองข้าง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศอย่างนั้น
ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่าเหมียวอี้หน้าซีด อาศัยสายตาของพวกเขาก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเหมียวอี้อยู่ในสภาวะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก
เมิ่งหรูโบกมือไปที่คนอื่นๆ ทันที บอกใบ้ว่าอย่ารบกวน
คนที่เหลือพยักหน้าเบาๆ ต่างก็เข้าใจแล้วว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงพอ การควบคุมตาทิพย์นี้ค่อนข้างเปลืองแรง และอย่าหวังเลยว่าพอเปิดตาทิพย์แล้วจะบังเอิญหาแกนค่ายกลเจอในทันที จะต้องใช้เวลาจริงๆ
หารู้ไม่ นี่ยังเป็นตอนที่เหมียวอี้บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นห้าแล้ว ถึงขยายเวลาในการใช้ตาทิพย์ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานขนาดนี้เลย
แต่สำหรับโจรกบฏกลุ่มนี้ เวลาในการใช้ตาทิพย์จะยาวหรือสั้นก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเหมียวอี้มีวิธีการทำลายค่ายกลจริงๆ และไม่ได้กำลังตบตาพวกเขา พวกเขาโดนขังอยู่ในนรกมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถือสากับเวลาเล็กน้อยเท่านี้เหมือนกัน
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว จะทำลายค่ายกลแล้วช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้หรือเปล่าก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องทำให้คนพวกนี้สงบลงและไม่รีบร้อนลงมือกับเขาก่อน ทำให้คนพวกนี้ลดความระวังตัวก่อน เขาถึงจะหนีได้สะดวก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของคนพวก เลือกใครสักคนมาโจมตีระยะไกลเขาก็ทนไม่ไหวเลย วินาทีที่หนีเข้า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ อีกฝ่ายก็สามารถทำให้เจ้าตายได้แล้ว
ตั้งแต่นั้นมา พอเหมียวอี้ฟื้นตัวแล้วก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เปิดตาทิพย์สำรวจอีก หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดไปเยอะแล้วก็ฟื้นฟูตัวเองอีก
ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่ในดาราจักรเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า
ส่วนขุนพลใหญ่หกลัทธินั่นก็อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขาตลอด ไม่มีใครเร่งรัดเขาอีก ถ้าขออะไรที่มีเหตุผลก็จะตอบตกลงทุกอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนขออะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นอยากกินอะไรสักหน่อย ขอแค่ที่นรกมีสิ่งนั้น สามารถหามาได้ ฝ่ายนั้นก็จะสั่งให้คนหามาให้ทันที
เพียงแต่ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนจนใจนิดหน่อย พวกเขาก็เสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย ภายใต้การใช้ตาทิพย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งสามารถควบคุมตาทิพย์ได้อย่างผ่อนคลายและอิสระกว่าเดิม
หลังจากนั้นหนึ่งปี ตอนที่สำรวจดาวเสริมดวงที่ห้า เสาแสงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันหยุดนิ่ง
การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงดูดความสนใจของขุนพลใหญ่หกลัทธิทันที ทุกคนกลั้นหายใจมองไปที่เขา
สายตาของตาทิพย์หยุดอยู่บนสายน้ำและภูเขาใต้หมอกสีเลือด บนสายน้ำและภูเขานั้นแตกต่างจากสถานที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด รูปแบบการวางตัวของสายน้ำและภูเขาเคยถูกคนแก้ไขอย่างชัดเจน ราวกับเป็นใยแมงมุมที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาด ยอดเขาลูกหนึ่งกลางใยแมงมุมนั้นถูกคนตัดจนราบเรียบ กลางยอดเขาแกะสลักเป็นลวดลายจานกลมที่เป็นร่องลึก ตรงกลางมีเสาผลึกแดงต้นหนึ่งปักอยู่
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าแกนค่ายกลหรือเปล่า เป็นเพราะแกนค่ายกลนี้มีขอบเขตที่ใหญ่เกินไปจริงๆ
พอเก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์ เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง สั่งให้คนจับตาดูดาวเสริมดวงนี้และตำแหน่งนี้ไว้ อย่าให้ดาวเสริมพวกนี้โคจรจนปนกันมั่ว” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปยังตำแหน่งเมื่อครู่นี้
เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วโบกมือสั่งคนที่อยู่ข้างหลังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “รีบไป”
มีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งถลันตัวไปทันที ไปหยุดที่ตำแหน่งนั้นเพื่อระบุพิกัด
…………………………