“รบกวนคุณชายสามแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ ขณะที่หันตัวก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ เมื่อเห็นคนมาล้อมเรียกอีกคนว่าคุณชายใหญ่ ก็เดาออกว่าคนคนนี้คือฮูเหยียนไท่เป่า เขาจึงก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “เหมียวอี้คารวะคุณชายใหญ่!”
อันที่จริงหลังจากอันหรูอวี้กับฮูเหยียนไท่เป่าออกมา ทั้งสองก็ยืนอยู่ด้วยกันแล้ว การที่เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ ทำให้อันหรูอวี้วุ่นวายใจมาก ตอนนี้จะโมโหเหมียวอี้ก็ทำไม่ลง จะแค้นก็ทำไมลง จะด่าก็ไม่ได้ จะทำร้ายก็ไม่ได้ อยากจะลดตัวเข้าไปตีสนิท… แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังวางกับดักลอบสังหารเขาอยู่เลย หัวใจนางพัวพันกันอุตลุด
ฮูเหยียนไท่เป่ามองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าคือเหมียวอี้เหรอ?”
“ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบอย่างเคารพ แต่ในใจหงุดหงิด เขามีความแค้นกับคุณชายใหญ่ท่านนี้เหมือนกัน แต่พอนึกว่าอีกฝ่ายต้องยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกตัวหนึ่งหมื่นปี ภายนอกเขาจึงปล่อยผ่านไป หนึ่งหมื่นปีหลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะกลัวใครกันแน่
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าฮูเหยียนไท่กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร
ฮูเหยียนไท่เป่าพยักหน้าเล็กน้อย “อย่าให้ท่านปราชญ์รอนาน รีบไปเถอะ!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับแล้วรีบเดินไป
พอเข้ามาในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็เห็นมู่ฝานจวินนั่งอยู่บนบัลลังก์ เหมียวอี้ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าหญิงแต่งชายที่สีหน้าเรียบเฉยคนนี้มองตัวเองด้วยสายตาที่ค่อนข้างแปลก บอกไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร สรุปว่ารู้สึกแปลกนั่นแหละ
“ข้าน้อยคารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอย่างเคารพนบนอบ
มู่ฝานจวินขานรับ แล้วใช้สายตาแปลกๆ มองสำรวจเขาพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “เหมียวอี้ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจเอาชีวิตของท่านทูตแดนเซียนไปต่อรองแลกเปลี่ยน!”
เหมียวอี้พลันเงยหน้า สีหน้าเคารพเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าโศกในชั่วพริบตาเดียว “ท่านปราชญ์! ข้าน้อยโดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ในกลุ่มพวกเขามีคนสมคบกับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยง ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้วางแผนลอบทำร้ายข้าน้อย ข้าน้อย…”
ยังไม่ทันพูดจบ มู่ฝานจวินก็ตัดบทแล้ว “เจ้ากำลังบอกว่า กำลังทำความสะอาดบ้านเพื่อข้าเหรอ?”
“มิบังอาจ! ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ต้องการทำร้ายข้าน้อย ก็เลย…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็โดนตัดบทอีก มู่ฝานจวินถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่าใครต้องการทำร้ายเจ้า?”
“ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่
“ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองรอดตัวหรอกนะ?” มู่ฝานจวินถาม
เหมียวอี้เสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว จึงกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ ปฏิเสธด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อน “ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ!”
มู่ฝานจวินมองเขานิ่งๆ มองจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สงบใจ
เรื่องบางเรื่องมู่ฝานจวินก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว และนางก็รู้สึกนับถือชายที่อยู่อยู่เบื้องล่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์แบบนั้น จะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่แปลกใจที่สามารถผ่านอุปสรรคชีวิตตั้งแต่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรจนรอดมาถึงวันนี้ได้ ถ้าอันหรูอวี้มีความสามารถในการปรับตัวสักหน่อย เรื่องราวก็คงไม่บานปลายถึงขั้นนี้
แต่นางก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเหมียวอี้ เมื่ออยู่ในฐานะอย่างนาง เรื่องไหนที่ควรจะปิดตาข้างเดียว นางก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้าใช้วิธีการโหดเหี้ยมกับทุกเรื่อง ฮูเหยียนไท่เป่าคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ครั้งนี้อันหรูอวี้ก็ยากที่จะพ้นโทษตายเช่นกัน แต่ถ้าฆ่าคนทิ้งหมดก็จะไม่มีใครทำงานให้นาง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่วรยุทธ์อย่างนางจะควบคุมด้วยตัวคนเดียวไหว
ถ้านางเปิดโปงเหมียวอี้ ก็จะต้องลงโทษเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถให้คำอธิบายกับคนอื่นได้ นางถามเสียงเรียบว่า “คนที่ทำร้ายเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น อันหรูอวี้ทำคนเดียว นางยอมรับแล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษนางอย่างไร?”
“คุณชายรองหรือขอรับ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนตกใจมาก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยมิบังอาจตัดสินใจ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับท่านปราชญ์!”
“ข้าย่อมจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว!” มู่ฝานจวินกดเรื่องนี้เอาไว้ยังไม่พูดถึง เปลี่ยนเรื่องถาม “ข้าถามเจ้าหน่อย คืนที่เจ้าโดนลอบโจมตีที่สำนักงามวิจิตร ที่บอกว่ามีพระสงฆ์มาช่วยเจ้าไว้ เป็นใครกัน?”
บทพูดที่เหมียวอี้เตรียมมา ตอนนี้ถูกนางทำให้ยุ่งเหยิงหมดแล้ว ไม่ได้พูดตามจังหวะของตัวเอง อีกฝ่ายไม่ทันเปิดโอกาสให้เขาพูดว่าร้ายอันหรูอวี้ ก็ตัดสินใจไปเองเสียแล้ว ที่จริงเขาก็อยากรู้มากว่าจะลงโทษอันหรูอวี้อย่างไร แต่จนใจที่ถามมาไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ และไม่ใช่สิ่งที่ประมุขปราสาทเล็กๆ อย่างเขาควรถามด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอันหรูอวี้ เหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกว่ามู่ฝานจวินจะต้องถามเรื่องพระสงฆ์แน่นอน เขาตอบว่า “เป็นเทพพยากรณ์ขอรับ!”
เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ทำได้เพียงก้าวผ่านด่านต่อด่าน ตอนนี้ทำได้เพียงอ้างเทพพยากรณ์ที่ทำตัวลึกลับเหมือนเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยมีใครหาชายคนนั้นเจออยู่แล้ว
“เทพพยากรณ์?” มู่ฝานจวินแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า ยืนขึ้นถามซ้ำว่า “เทพพยากรณ์ช่วยชีวิตเจ้าไว้เหรอ? ทำไมเขาต้องช่วยเจ้าด้วย?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะว่าข้าน้อยกับเทพพยากรณ์รู้จักกันมานานแล้ว ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติภารกิจที่ทะเลทรายม่านเมฆาในปีนั้น ข้าน้อยก็ได้พบกับเขาแล้ว เป็นตอนที่หาเรือมังกรอเวจีพบ ตอนหลังข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาก็ได้พบเขาอีก จึงสนิทสนมกัน ครั้งนี้บังเอิญเจอที่เจ้าสำนักงามวิจิตรพอดี เขาเองก็ได้ข่าวการประลองของวิเศษ จึงจะมาดูเอาสนุกเหมือนกันขอรับ”
“เทพพยากรณ์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ เขาฆ่าท่านทูตเพื่อเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินทั้งตระหนกทั้งสงสัย
“ที่จริงเขาไม่ได้ฆ่าหรอก เป็นข้าน้อยที่ฉวยโอกาสลงมือตอนที่เขากำลังควบคุมคนพวกนั้น ข้าน้อยเป็นคนสังหารเอง… พวกเขาต้องการสังหารข้า ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องปล่อยพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงทำให้เทพพยากรณ์โกรธ ทั้งยังตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าน้อยด้วย!” เหมียวอี้ตอบด้วยท่าทางที่ซื่อสัตย์จริงใจ
“เป็นอย่างนี้เหรอ…” มู่ฝานจวินจมดิ่งอยู่ในความคิด แววตาที่ชำเลืองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะค่อนข้างหวาดระแวง ถามอีกว่า “เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”
เหมียวอี้ยกมือเช็ดตรงหว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นเก้า “บงกชม่วงขั้นเก้าขอรับ!”
มู่ฝานจวินตกใจอีกครั้ง ดวงตาหงส์ทั้งคู่พลันหรี่ลงและฉายแววดุดัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนลุกว่า “ฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ดูท่าทางแล้ว เจ้ากับเยียนเป่ยหงคงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
เหมียวอี้รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารที่แผ่มาจากตัวนาง จึงรีบตอบว่า “ตอบท่านปราชญ์ ถึงแม้จะน้อยจะเป็นสหายของเยียนเป่ยหง แต่สาเหตุที่เยียนเป่ยหงฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน ที่ข้ากับอวิ๋นจือชิวฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะบุญคุณของเทพพยากรณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาให้ยาแก่นเซียนมาจำนวนหนึ่ง พวกเราสองสามีภรรยาคงไม่อาจฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ขอรับ”
“ยาแก่นเซียน?” มู่ฝานจวินอุทานถาม เรื่องประหลาดอัศจรรย์ที่ทยอยโผล่มาไม่ขาดสาย ทำให้นางรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ รีบถามว่า “เทพพยากรณ์มียาแก่นเซียนเหรอ?”
เหมียวอี้อธิบายว่า “มีบางอย่างที่ท่านปราชญ์ไม่ทราบ ครั้งแรกที่ข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาแล้วเจอเทพพยากรณ์ ตอนนั้นก็เจอเรือมังกรอเวจีแล้วเช่นกัน เป็นครั้งที่ท่านปราชญ์มาด้วยตัวเอง และตอนที่พบเทพพยากรณ์ที่ทะเลทรายม่านเมฆาอีกครั้ง ข้าน้อยก็เจอเขากำลังไล่ตามเรือมังกรอเวจี พอได้คุยถึงทราบว่าเขาก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด และเป็นครั้งนั้นเช่นกัน ข้าน้อยเห็นกับตาว่าเทพพยากรณ์กับเรือมังกรอเวจีปะทะกัน เขาโจมตีจนได้ของบางอย่างมาจากตัวผีดิบพวกนั้น ในจำนวนนั้นมียาแก่นเซียนจำนวนมหาศาล แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจมันเท่าไร เหมือนสนใจเรือมังกรอเวจีมากกว่า จึงมอบยาแก่นเซียนให้ข้าน้อยทั้งหมด หลังจากข้าน้อยได้เลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ก็เก็บตัวฝึกฝนหลายร้อยปีเพื่อใช้ยาแก่นเซียนพวกนั้นเพิ่มวรยุทธ์ อวิ๋นจือชิวก็อาศัยยาแก่นเซียนพวกนี้เพิ่มวรยุทธ์จนถึงระดับบงกชทองแล้วเช่นกัน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าน้อยวรยุทธ์ต่ำเกินไป ใช้ยาแก่นเซียนจนหมดก็หยุดแค่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้า ไม่สามารถบรรลุระดับบงกชทองได้”
ตอนนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต ดีไม่ดีตอนหลังอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เขารู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่อาจปิดบังวรยุทธ์ไปตลอด จึงถือโอกาสอธิบายรวดเดียวไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง
มู่ฝานจวินกลับแววตาวูบไหว กำลังไตร่ตรองคำพูดของเขา มีอยู่จุดหนึ่งที่นางมั่นใจได้ นั่นก็คือครั้งแรกที่เหมียวอี้เจอเรือมังกรอเวจี นางเองก็เจอเทพพยากรณ์เช่นกัน ที่แท้เทพพยากรณ์ก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด
ส่วนคำพูดในตอนท้ายของเหมียวอี้ เรื่องที่นางไม่สามารถยืนยันได้ นางก็ไม่มีทางเชื่อได้ง่ายๆ เลย
หลังจากหายเหม่อลอย นางก็ตะคอกถามเสียงเข้ม “ทำไมไม่รายงานเรื่องนี้ให้เร็วว่านี้?”
เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ยาแก่นเซียนก็เป็นของดีมากจริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาอยากจะเพิ่มวรยุทธ์ใหสูงขึ้นไว ก็เลย…” ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว
มู่ฝานจวินหมั่นไส้นิดหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้ยาแก่นจำนวนมากขนาดนั้น ก็คงจะไม่มีใครเปิดเผยเช่นกัน นางค่อยๆ ข่มความโมโหเอาไว้ แล้วถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเองก็ปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองมาตลอด ไม่กล้าเปิดเผย
“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้า
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเหมียวอี้ไม่ได้ฮุบยาแก่นเซียนเอาไว้คนเดียว และไม่ปฏิบัติต่อเมียตัวเองอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ชายที่เต็มใจให้วรยุทธ์ของเมียสูงกว่าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รักเมีย เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความโมโหของมู่ฝานจวินก็คลายลงแล้วไม่น้อย เพียงพึมพำเบาๆ ว่า “บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว…”
ขณะที่นางพูดคำนี้ ในดวงตาก็ฉายแววปลื้มใจเล็กน้อย
เหมียวอี้ที่กำลังแอบมองนางสังเกตได้ว่าดวงตานางฉายแววปลื้มใจแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัยทันที ข้ามองผิดไปรึเปล่า?
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วนั่งลงอย่างช้าๆ วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน นางทำสีหน้าเย็นชาพร้อมบอกว่า “ประมุขปราสาทเล็กๆ คนเดียว บังอาจนำชีวิตของท่านทูตไปแลกเปลี่ยนต่อรอง เดิมทีมีโทษถึงตาย! แต่เห็นว่าเรื่องนี้มีสาเหตุ และเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่โทษ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้รึเปล่า!”
เหมียวอี้หงุดหงิดใจทันที ยังกัดไม่ปล่อยอีกเหรอ? เจ้าไม่อยากใช้ประโยชน์จากประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรแล้วเหรอ?
เป็นเพราะเขาสามารถดึงประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรมาเป็นพวกได้ เขาถึงได้มั่นใจว่าเรื่องในครั้งนี้จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นบ้าอะไรอีก จึงกล่าวหยั่งเชิงว่า “ข้าน้อยจะตั้งใจฟังขอรับ!”
มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็มีความแค้นกับแดนมารอยู่บ้าง เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้ว ถ้าเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินของเจ้าประกาศต่อสาธารณะ ให้นางเต็มใจเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนได้ แบบนี้ก็นับว่าช่วยให้ข้าได้ระบายความโกรธ ข้าก็จะพิจารณาเรื่องผ่อนโทษให้เจ้า!”
เรื่องแค่นี้เองเหรอ? เหมียวอี้ถอยหายใจหนักๆ ยังนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ถ้าเจ้าอยากจะตบหน้านภาจอมมาร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก จึงกล่าวรับประกันทันที “ข้าน้อยต้องเกลี้ยกล่อมให้นางตอบตกลงได้แน่นอน!”
“เจ้าอย่ารับปากเร็วเกินไปนักเลย!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นประมุขปราสาทต่อไปได้อีกเหรอ?”
“…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดอีกที พวกเราต้องการแค่ชีวิตที่สงบสุข จะได้เป็นประมุขปราสาทหรือไม่ เขาก็ไม่แยแสเลยจริงๆ จะโดนลดขั้นกลับไปเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพาก็ไม่เป็นไร จึงกุมหมัดตอบทันทีว่า “ข้าน้อยยินดีรับการลงโทษจากท่านปราชญ์!”
มู่ฝานจวินกล่าวอย่างคล่องปากว่า “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ การลงโทษตักเตือนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพื่อเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก ตำแหน่งประมุขปราสาทนั่น ยกให้ฮูหยินของเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็ลดขั้นไปเป็นที่ปรึกษาของนาง ผลประโยชน์ที่ควรได้ก็ยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้อง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ใช่มั้ยล่ะ?”
“อะไรนะ?” เหมียวอี้อุทานถาม มึนงงนิดหน่อย
“ทำไมล่ะ? เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?” มู่ฝานจวินทำหน้าเข้ม