ประมุขขุนพลหกท่านค่อยๆ หันหน้ากลับมา ส่งสายตาสื่อสารระหว่างกัน
จากนั้นชายชุดขาวก็ถามว่า “แน่ใจนะว่าถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว?”
“ขอรับ!” เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า แล้วบอกว่า “ในตอนนี้แม้แต่ประมุขไป๋ก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว ถ้าประมุขไป๋ไม่ออกมา ในใต้หล้าจะมีใครสู้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้? ถ้าพูดถึงกำลังพลพวกเราก็สู้โจรกบฏไม่ได้ ถ้าพูดถึงศักยภาพพวกเราก็เทียบโจรกบฏไม่ติด ถ้าไม่มีประมุขไป๋ค่อยข่มประมุขชิงกับประมุขพุทธะไว้ แล้วพวกเราจะเงยหน้าอ้าปากอีกครั้งได้อย่างไร? พี่น้องแปดล้านชีวิตรอคอยมาหลายปีขนาดนี้ คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า มีหรือที่จะรอต่อไปอย่างมีความหวังได้ตลอด ถ้าไม่มีคำอธิบายสักหน่อย ใจคนจะไปอยู่ที่ไหนหมด?”
หนึ่งในประมุขขุนพล ชายชราชุดดำที่หน้าตาเหมือนโจรกล่าวว่า “อย่าพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ประมุขไป๋จะโดนสยบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประมุขไป๋ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า ตอนนี้พวกเราหกคนได้ออกมาดูโลกอีกครั้ง ก็อธิบายได้แล้วว่าประมุขไป๋จะอยู่หรือไม่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเรา ในเมื่อพวกเราหกคนออกมาได้แล้ว ก็ต้องให้คำอธิบายกับพี่น้องที่ยังอยู่หรือว่าตายไปสักหน่อย! ในปีนั้นข้าอยู่ในที่แจ้งแต่ศัตรูอยู่ที่ในที่ลับ ตอนนี้ข้าอยู่ในที่ลับศัตรูออยู่ในที่แจ้ง ขอเพียงมีความอดทน สุดท้ายแล้วใต้หล้านี้จะเป็นของใครก็ยังไม่แน่หรอก กวางจะตายในมือใคร[1] ขอแค่ดูว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย!”
ขุนพลใหญ่ทั้งหกสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเมิ่งหรูก็ถามว่า “เหตุใดประมุขขุนพลหกท่านจึงไม่เดือดร้อนกับการที่ประมุขไป๋ถูกขังเลย? ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง โจรกบฏมีอำนาจมาก พวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับโจรกบฏ?”
ชายชุดขาวหนึ่งในหกประมุขขุนพลถามว่า “พวกเราจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง?”
“ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอยู่ที่ไหน?” ตานฉิงยกมือสองข้าง
หนึ่งในหกประมุขขุนพล ชายชราคิ้วเชิดที่หน้าตาดูเผด็จการตอบเสียงต่ำว่า “จังไม่ถึงจังหวะนั้น เมื่อจังหวะนั้นมาถึงก็ย่อมมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งปรากฏตัว ถ้าไม่มีความหวัง พวกเราหกคนจะสมัครใจโดนขังหนึ่งแสนกว่าปีได้ยังไง? ทุกคนไม่จำเป็นต้องถามมาก เรื่องบางเรื่องเหมาะจะเก็บเป็นความลับเท่านั้น พูดมากไปกลับไม่มีประโยชน์ ขอเพียงอดทนรอก็พอแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ย่อมให้คำอธิบายกับทุกคนเอง ตอนนี้อย่าพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ฝั่งโจรกบฏมีสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ขุนพลใหญ่ทั้งหกมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกได้ว่าประมุขขุนพลหกท่านมีเรื่องบางอย่างปิดบังพวกเขาอยู่
“ประมุขชิงกำลังจัดการทดสอบ ส่งกำลังพลมาหนึ่งล้านแปดแสน…”
ตานฉิงเล่าที่มาที่ไปของการทดสอบครั้งนี้ให้ฟัง สาเหตุที่พวกเหมียวอี้มาโผล่อยู่ที่นี่ก็ต้องอธิบายให้ละเอียอย่างเลี่ยงไม่ได้
หนึ่งในหกประมุขขุนพล พระชราที่สวมจีวรหรูหราถามว่า “คนหลักที่ทำลายค่ายกลชื่อเหมียวอี้เหรอ?”
“ใช่แล้ว!” กุยอู๋พระที่ผิวสีทองแดงพยักหน้าตอบ
ชายชุดขาวหันไปมองถ้ำใต้ดินไกลๆ ที่เกิดขึ้นตอนหลุดพ้นออกมาทันที แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังว่า “พวกเจ้าหกคนเตรียมจะหลบอยู่ในรูนั่นอีกนานแค่ไหน?”
ผ่านไปครู่เดียว พวกเหมียวอี้ที่ยังแบ่งของกันไม่ลงตัวก็ทยอยกันโผล่ขึ้นมาอย่างหน้าม่อยคอตก บอกไม่ถูกว่าแต่ละคนสีหน้าเป็นอย่างไร
ตอนนี้ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ถูกทำลายแล้ว ทั้งหกจึงไม่มีที่ให้ซ่อนตัวอีกแล้ว จะหนีก็หนีไม่พ้น ทำได้เพียงโผล่หน้าออกมาแต่โดยดี
แต่ตอนเพิ่งจะออกมาจากถ้ำ เหมียวอี้ก็โดนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนบ่นไปยกหนึ่งแล้ว บอกว่าหกประมุขขุนพลไม่ใช่ญาติเจ้าสักหน่อย ทำไมต้องช่วยชีวิตอีกฝ่ายด้วย ในเมื่อไม่มั่นใจว่าจะควบคุมหกประมุขขุนพลได้ ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในเขตหวงห้าม จนกระทั่งหกประมุขขุนพลหลุดจากที่คุมขังทั้งยังทำลาย ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่คอยกำบัง ตอนนี้กลายเป็นแพะที่รอเชือดแล้ว
ทว่าเหมียวอี้ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองมาเพื่อขุดสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหกประมุขขุนพลหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร จากประสบการณ์ที่เขาเคยหาสมบัติก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะเป็นแบบนี้!
เขาเองก็รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองประมาทเลิกเล่อแล้ว ประมาทเพราะประสบการณ์หาสมบัติในอดีต ไม่อย่างนั้นคงจะควบคุมหกประมุขขุนพลไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน รู้สึกเหมือนตกอยู่ในกับดักของประมุขไป๋ เหมือนทำรูรั่วไว้ให้ตัวเองก้าวพลาดอย่างช้าๆ
บนยอดเขามีคนเรียกพวกเขา ทั้งหกคนที่ไม่มีทางหนีทำได้เพียงเหาะขึ้นไปบนยอดเขา
ชายชุดขาวเห็นหน้าแล้วถามว่า “คนไหนคือเหมียวอี้?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนเหลือบมองเหมียวอี้ทันที ขายเหมียวอี้เสียตรงนั้นเลย
สายตาของสตรีวัยกลางคนชุดทองและสาวน้อยชุดชมพูพลันจ้องมาก คมกริบราวกับมีด
ความรู้สึกเวลาที่ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตัวเองนั้นแย่มาก ไม่รู้เลยว่าก้าวต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำให้คนใจหายใจคว่ำจริงๆ เหมียวอี้ฝืนทำตัวสงบนิ่ง ยิ้มแห้งพลางกุมหมัดคารวะ “เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว ไม่ทราบว่าประมุขขุนพลมีอะไรจะชี้แนะ?”
สายตาของประมุขขุนพลหกท่านมองประเมินเขาศีรษะจดเท้าซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายชุดขาวก็บอกว่า “ข้าคือจ่างซุนจู ประมุขขุนพลของปราชญ์เซียน คนไหนคือมู่ฝานจวินที่ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกเหมียวอี้ก็ขยับมุมปากเล็กน้อย มู่ฝานจวินก็เป็นปราชญ์เซียนของพิภพเล็กนะ ได้ตักตวงผลประโยชน์ของจ่างซุนจูท่านนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วจริงๆ
“เป็นข้าน้อยเอง” มู่ฝานจวินกุมหมัดตอบ
จ่างซุนจูมองเมิ่งหรูที่อยู่ข้างๆ หลังจากเห็นเมิ่งหรูพยักหน้ายืนยันแลว้ ถึงได้สั่งว่า “มู่ฝานจวิน เจ้าตามข้ามา” พูดจบก็เหาะขึ้นฟ้าไป
ส่วนเมิ่งหรูก็ยื่นมือทำท่าเชิญมู่ฝานจวิน
มู่ฝานจวินที่โดนเรียกออกไปคนเดียวเป็นกังวลอยู่บ้าง นางรีบหันไปมองพวกเหมียวอี้ แต่จนใจที่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน มู่ฝานจวินทำได้เพียงแข็งใจเหาะตามไป
พอเมิ่งหรูโบกมือเรียก กำลังพลหลายหมื่นจากจำนวนหลายแสนเหาะออกไปด้วยกันทันที
ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นแนะนำ รูปแบบความเป็นพระของฉางเหลยก็เห็นๆ กันอยู่ พระชราซูบผอมที่สวมจีวรหรูหราจ้องฉางเหลย “อาตมาคือซิงหลัว เจ้าคือฉางเหลยเหรอ?”
“อามิตาพุทธ ใช่แล้ว” ฉางเหลยประนมมือตอบ
“ตามข้ามา” พระชราซิงหลัวก็เหาะขึ้นฟ้าไปเช่นกัน
กุยอู๋พระผิวสีทองแดงยื่นมือเชิญฉางเหลย แล้วพาพระจำนวนหลายพันเหาะออกไปด้วยกัน
จีฮวนก็เช่นเดียวกัน คนที่มีความรู้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นนักพรตปีศาจ สาวน้อยชุดชมพูถามเสียงดังว่า “ข้าชื่อลวี่เกอ เจ้าคือจีฮวนเหรอ?”
จีฮวนมองสหายที่เหลือ แล้วแข็งใจพยักหน้า “ใช่!”
“ตามข้ามา!” ลวี่เกอพูดทิ้งท้ายแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป
จ่างหงเรียกกำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ตรงตีนเขา แล้วพาจีฮวนออกไป
“งั้นเจ้าก็คงเป็นซือถูเซี่ยวสินะ ข้าคือหลีเซิง ประมุขขุนพลของปราชญ์ผี ตามข้าไปเถอะ” ชายชราที่หน้าตาเหมือนโจรเรียกแล้วเหาะออกไป
เหลิ่งจัวฉุนเชิญให้ซือถูเซี่ยวออกไปด้วยกัน และมีกำลังพลของตัวเองหลายหมื่นตามไปด้วย
“ข้าคือเย่สิงคงประมุขขุนพลของปราชญ์มาร อวิ๋นอ้าวเทียนตามข้าไป” ชายชราที่คิ้วหนาเชิดหน้าตาเผด็จการจ้องอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมตะคอกสั่ง
“ไปเถอะ!” ตานฉิงเรียกอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วโบกมือเรียกกำลังพลที่อยู่ตรงตีนเขาให้ออกไปด้วยกัน
ก่อนที่จะไป อวิ๋นอ้าวเทียนเหมียวอี้อย่างอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
ชั่วพริบตาเดียว เพื่อร่วมทางหกคนก็เหลือเหมียวอี้ที่โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว เหมียวอี้เงยหน้ามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่หายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ตาปริบๆ แล้วก็หันกลับมามองสตรีวัยกลางคนชุดทองที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจพูดไม่ออกมาก อย่าบอกนะว่าท่านนี้คือประมุขขุนพลของปราชญ์เต๋า? คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?
“จินม่าน ประมุขขุนพลของปราชญ์เต๋าก็คือข้าเอง ทำไมเจ้าไม่ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?” สตรีวัยกลางคนชุดทองขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม
เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “กำลังเตรียมจะฝึกอยู่ กำลังเตรียมจะฝึก”
จินม่านถามอีกว่า “ได้ยินว่าเจ้าท่องสูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่ได้ ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าในมือเจ้ามีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?”
เหมียวอี้รีบบอกว่า “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเลย มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงถูกข้าซ่อนไว้แล้ว ข้าเป็นคนเก็บรักษาด้วยตัวเอง ถ้าผู้อาวุโสอยากฟังข้าท่องจริงๆ ข้าก็สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อกับคนสนิทของข้าได้ทุกเมื่อ สามารถสูตรท่องมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไดทุกเมื่อ”
“งั้นก็ติดต่อเดี๋ยวนี้ ถ้าท่องออกมาไม่ได้ ข้ารับรองว่าเจ้าได้ตายอย่างอนาถแน่!” จินม่านกล่าวย่างแค้นใจ
สือวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างกันแปลกใจนิดหน่อย รู้สึกว่าประมุขขุนพลเหมือนจะมีความแค้นที่รุนแรงกับเหมียวอี้ท่านนี้ เหมือนอยากจะฆ่าเหมียวอี้ให้ได้
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาทันที แล้วทดสองติดต่อกับอวิ๋นจือชิว เขายังกังวลนิดหน่อยว่าจะติดต่อไม่ได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยติดต่อมาแล้ว ใครจะคิดว่าครั้งนี้จะติดต่อได้ เขารู้สึกประหลาดใจ หรือว่าที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้สามารถกั้นระฆังดาราไม่ให้ติดต่อกับภายนอก?
ทางด้านอวิ๋นจือชิวตอบอย่างรวดเร็ว : หนิวเอ้อร์ ทางเจ้ายังสบายดีอยู่มั้ย?
เหมียวอี้ : สบายดี! น้องชิว เร็วเข้า สูตรของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคน พวกเรารอใช้งานอยู่
อวิ๋นจือชิว : เจ้าจะเอาอันนั้นไปทำไม? เจ้าฝึกวิชานี้ไม่ได้นี่?
เหมียวอี้ : ข้าเจอโจรกบฏที่นรก ตอนนี้ต้องใช้สูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกู้วิกฤต
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ฝั่งนั้นย่อมถามอย่างแปลกใจ : มันเรื่องอะไรกัน?
เหมียวอี้ : ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าฟัง กลับไปค่อยว่ากัน รีบท่องให้ข้าฟัง ต้องการใช้ด่วน
อวิ๋นจือชิวย่อมไม่กล้าชักช้า นำสูตรมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคนถ่ายทอดออกมาทันที
อวิ๋นจือชิวท่องมาประโยคหนึ่ง เหมียวอี้ก็อ่านถ่ายทอดประโยคหนึ่ง อ่านให้สองคนที่อยู่ตรงหน้าฟัง
ทำแบบนี้ไปเกือบครึ่งวัน ถึงได้ท่องมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคคนได้จนจบ ประมุขขุนพลจินม่านถึงได้ถามสือวิ๋นเปียนว่า “สอดคล้องกันมั้ย?”
นางไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ที่สือวิ๋นเปียนฝึกได้ก็เพราะประมุขไป๋ทิ้งไว้ให้ฝึก จะได้ต้อนรับและนำทางพวกเขาได้สะดวก
“ไม่ผิดพลาด!” สือวิ๋นเปียนพยักหน้าตอบ
จินม่านไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว บอกคำเดียวว่า “ไป!”
ดังนั้นนางจึงพากำลังพลที่เหลือตรงตีนเขารวมทั้งเหมียวอี้ไปด้วยกันทั้งหมด
พอไปถึงดาราจักร กลุ่มคนก็เหาะไปทางดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่โดนจูงจมูกให้ตามไป รสชาติยามขาดอิสระและไม่รู้อนาคตความเป็นความตายมันช่างขื่นขมจริงๆ แต่ใครใช้ให้เขาขโมยไก่ไม่ได้ แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมื[2]อล่ะ หาเรื่องใส่ตัวเอง
กลุ่มคนเข้ามายังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา บนทะเลมีเกาะอยู่จำนวนหร็อมแหรม มองไม่เห็นแผ่นดินที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้แต่เกาะพวกนั้นเองก็เถอะ ก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดันขึ้นมาจากผิวทะเล ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยตามปกติทั่วไป
แต่ถ้ามองจากโดยรวม สภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตของที่นี่ก็ยังนับว่าดี ตั้งแต่เหมียวอี้เข้ามาในนรก ก็ยังไม่เคยเห็นดาวเคราะห์ดวงไหนที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์เลย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีแสงอาทิตย์สดใส สาหร่ายทะเลในทะเลก็ยังสร้างอากาศที่เหมาะสมจะให้คนหายใจ สำหรับนักพรตแล้ว การดำรงชีวิตไม่นับว่ายากลำบากอะไร
ภายใต้การบอกใบ้ของสือวิ๋นเปียน กำลังพลกลุ่มใหญ่กระจายตัวกันออกไป แยกย้ายกันไปเหยียบลงบนเกาะพวกนั้น
บนภูเขาหินที่สูงที่สุดลูกหนึ่งที่ถูกดันขึ้นมาจากผิวทะเล มีตำหนักที่ใหญ่โตและโบราณหลังหนึ่ง ใช้หินสลักก่อเป็นกำแพง ชายคาโค้งสูงตระหง่าน บันไดสูงมีท่วงทำนองโบราณเรียบง่าย
จินม่านไม่สนใจเหมียวอี้ นางเดินตรงเข้าไปในตำหนักใหญ่ หลังจากสือวิ๋นเปียนเตรียมที่พักให้เหมียวอี้แล้ว ก็กำชับเหมียวอี้ว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว ทั้งยังส่งคนมาจับตาดูเขาด้วย จากนั้นสือวิ๋นเปียนก็ออกไป
“อะไรกัน? จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ในตำหนักใหญ่ที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย หลังจากพูดคุยกันแล้ว สือวิ๋นเปียนก็มีอารมณ์ฮึกเหิมทันที โต้เถียงกับจินม่านที่นั่งอยู่เบื้องบนแล้ว
สุดท้ายจินม่านก็ก้าวเดินเนิบนาบลงมาจากบันได มายืนตรงหน้าสือวิ๋นเปียน แล้วถอนหายใจบอกว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน นี่คือการแปลกเปลี่ยน ราคาที่พวกเราต้องจ่ายก็คือมอบอำนาจทางทหารให้พวกเขา! ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่ต้องมอบอำนาจทางทหารของทัพใหญ่หกลัทธิออกไปทั้งหมด!”
…………………………
[1] กวางจะตายในมือใคร 鹿死谁手 อุปมาถึงการชิงอำนาจศึกชิงบังลังก์ว่าใครจะได้ไป
[2] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 อุปมาว่า นอกจากจะตักตวงผลประโยชน์ไม่ได้แล้วยังขาดทุนด้วย