พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1236 สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง

พวกเขาห้าคนไม่ได้มีความกังวลเหมือนเหมียวอี้ สถานะคนตำหนักสวรรค์ของเหมียวอี้ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกับโจรกบฏ ดังนั้นเหมียวอี้จึงระมัดระวังไม่กล้าเปิดเผย นอกจากหนีก็ไม่คิดจะทำอย่างอื่นแล้ว ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลองดูสักครั้งภายใต้ความที่ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน หวังจะแหวกหมอกหนาดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ เพราะอะไรถึงให้พวกเขาเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิ

ดังนั้นทั้งห้าคนจึงเข้าสู่บทบาทประมุขปราชญ์ของตัวเองเร็วมาก ทดลองควบคุมกำลังพลที่รับช่วงต่อมา

ดาวอู๋เลี่ยง รังของลัทธิอู๋เลี่ยงที่โดนขังอยู่ในนรก และเป็นรังของท่านปราชญ์อู๋เลี่ยงอย่างเหมียวอี้เช่นกัน

ในปีนั้นตอนที่เพิ่งถูกบังคับให้มาทำลายค่ายล เหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าที่นี่เรียกว่าดาวอู๋เลี่ยง แต่ตอนนี้ย่อมรู้แล้ว

สำหรับคนทั่วไป ดาวอู๋เลี่ยงไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่อาศัย แต่ดาวดเคราะห์ที่ถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทรแบบนี้กลับทำให้เฮยทั่นเหมือนปลาได้น้ำ สุขสันต์หรรษามาก

คลื่นกระทบฝั่งดังครั่นครืน หมู่เกาะสูงเสียดฟ้า เหลียงหรงกับหมี่หลิงยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังมองเหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังยืนฟังเสียงคลื่นทะเลอยู่ริมหน้าผา

เหมียวอี้ที่สวมชุดสีทองหรูหรากำลังทอดสายตามองมหาสมุทรกว้าง หรี่ตามองเฮยทั่นที่กำลังเล่นคลื่นอย่างมีความสุขอยู่กลางทะเล ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ภายใต้แสงแดดที่สดใส ชุดคลุมสีทองทำให้ทั้งตัวเขามีประกายระยิบระยับ ด้านล่างมีคลื่นซักกระทบฝั่ง คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขายามตกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้

สถานการณ์นัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าคือเรื่องอะไรกันแน่ ข้างกายก็ไม่มีคนของตัวเองสักคน มีแค่เฮยทั่นที่กินเที่ยวเล่นสนุก อยากจะสืบข่าวรอบข้างก็ไม่มีที่ให้สืบข่าว ด้านนอกไม่มีใครรู้สถานการณ์ในนรกชัดเจน สำหรับเขา ถ้าไม่ระวังตัวขึ้นมาก็อาจจะกู้สถานการณ์คืนไม่ได้อีกต่อไป

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายสิบปี เหลือเพียงสิบปีการทดสอบของตำหนักสวรรค์ก็จะจบลงแล้ว…

“จ้าวหยวน อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี ลูกน้องข้าแห็นคนของเจ้าเอาไป”

“เหลวไหล! หลิ่วจงกุ้ย เป็นคนของเจ้าเอาไปแท้ๆ ยังกล้าย้อนโยนความผิดใส่คนอื่นอีก!”

“เจ้ากล้าเรียกรวมคนของเจ้ามาให้พวกเราค้นตัวมั้ยล่ะ?”

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาค้นตัวพี่น้องของข้า? ถ้าจะค้นก็ต้องเป็นพวกเราที่ค้นตัวเจ้า!”

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสันเขาขึ้นๆ ลงๆ ราวกับเหล็กดำ ศพของกำลังพลตำหนักสวรรค์นับพันกองอยู่ด้วยกัน แต่ตรงจุดที่อยู่ไม่ไกลกลับมีโจรกบฏสองกลุ่มคุมเชิงกันอยู่ ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายกำลังเถียงกันจนคอแห้งหน้าแดง

“ผู้บัญชาการ พวกเขาไม่กล้าให้พวกเราค้น ก็แสดงว่าในใจพวกเขาคิดไม่ซื่อแล้ว!”

เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเถียงกันไม่รู้แพ้รู้ชนะ พวกพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างก็ย่อมแสดงอานุภาพ ด้านหลังผู้บัญชาการที่ชื่อจ้าวหยวนมีคนส่งเสียงช่วย ทำให้ข้างหลังมีเสียงขานรับดังเป็นแถบใหญ่ พอพลังอำนาจของฝ่ายตรงข้ามเพิ่มขึ้น ฝ่ายนี้ก็ย่อมไม่กล้าแสดงความอ่อนแอ กำลังพลหลายพันของสองฝ่ายเบียดผลักและด่ากันทันที

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุด ถ้ามีใครสักคนผลักแรงเกินไป ก็จะเกิดการต่อสู้นองเลือดทันที

ท่ามกลางเสียงถกเถียงและการออกท่าทาง สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าฟืนแห้งกำลังจะติดไฟ การถกเถียงจะกลายเป็นการลงไม้ลงมือ เงาคนหลายคนก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า เงาคนหลายคนก็เหาะลงมาจากท้องฟ้า มาเหยีบบลงบนยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ

อารมณ์ของกลุ่มคนข้างล่างกำลังเดือดพลุ่งพล่าน มู่ฝานจวินสวมชุดขาวดุจหิมะ นางมีมีลักษณะของชายหญิงผสมกันอย่างละครึ่งจนโดดเด่นสะดุดตา ตอนนี้กำลังกวาดสายตาเย็นเยียบมองด้านล่าง นางเหลือบมองขุนพลของตัวเองที่เพิ่งเข้ามาต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ แล้วถามเสียงเรียบว่า “พวกเดียวกันจะสู้กันเองแล้ว ขุนพลฝาน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

คนที่มาด้วยกัน ประมุขขุนพลจ่างซุนจูและขุนพลใหญ่เมิ่งหรูที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของมู่ฝานจวินส่งสายตาสอบถามขุนพลฝานเช่นเดียวกัน

มู่ฝานจวินในตอนนี้กำลังกระตือรือร้นกับอำนาจทางทหารของลัทธิเซียนที่เป็นหนึ่งในโจรกบฏหกลัทธิแล้ว เพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของกำลังพลเบื้องล่าง และเพื่อทำให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ว่าประมุขปราชญ์ลัทธิเซียนในตอนนี้คือมู่ฝานจวิน ยามปกตินางก็จะออกไปลาดตระเวน ทุกครั้งที่ออกมาล้วนถึงตัวประมุขขุนพลจ่างซุนจูออกไปด้วย

นางรู้อย่างชัดเจน ว่าอาศัยศักยภาพของนางไม่สามารถออกคำสั่งต่อใครในโจรกบฏได้ มีเพียงการดึงตัวประมุขขุนพลจ่างซุนจูมาเป็นธงใหญ่ข้างหลังตัวเองเท่านั้น การออกคำสั่งถึงจะได้ผล นางอาศัยบารมีความน่าเชื่อถือของจ่างซุนจูเพื่อให้กำลังพลเบื้องล่างค่อยๆ คุ้นชินกับการฟังคำสั่งของประมุขปราชญ์อย่างนาง

ส่วนจ่างซุนจูก็ให้ความร่วมมืออย่างดีสุดๆ

“ข้าน้อยไม่ทราบ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่ รอข้าน้อยไปถามก่อน” ขุนพลฝานกุมหมัดตอบอย่างอับอาย จากนั้นก็รีบหันตัวมา ตะคอกบอกข้างล่างว่า “หุบปากให้หมด จ้าวหยวน หลิ่วจงกุ้ย โผล่หัวออกมานี่ซิ!”

พอเสียงตะคอกตำหนิอันดังก้องของเขาดังขึ้น กำลังพลข้างล่างที่จ้องจะปะทะกันถึงได้พบว่าบุคคลสำคัญมาแล้ว พวกเขาหยุดชะงักทันที แต่ท่าทางโกรธเคืองกันยังคงไม่หายไป กำลังพลของทั้งสองฝ่ายมองกันอย่างไม่เป็นมิตร

ผู้บัญชาการระดับบงกชรุ้งสองคนเหาะมาเหยียบบนยอดเขา ขุนพลฝานได้รับสายตาขู่เตือนจากจ่างซุนจู รีบแนะนำมู่ฝานจวินที่อยู่ในกลุ่มนั้น “ยังไม่รีบคารวะประมุขปราชญ์อีก!”

ผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เคยได้ยินว่ามีประมุขปราชญ์คนใหม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกันทันที “จ้าวหยวน หลิ่วจงกุ้ยคารวะประมุขปราชญ์!”

มู่ฝานจวินพยักหน้าเบาๆ พร้อมขานรับ “อืม” วางมาดอันสูงส่งให้เห็น

ขุนพลฝานตำหนิทั้งสองคนทันที “เอะอะเถียงกันเรื่องอะไร?”

“ตอบขุนพล ลูกน้องของจ้าวหยวนแอบฮุบของที่ได้จากการรบขอรับ”

“คนของเจ้าฮุบไปแท้ๆ…”

ผู้บัญชาการทั้งสองคนเริ่มเถียงกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอีกแล้ว ต่างคนต่างอ้างเหตุผลมาเถียงกันอย่างไม่ยอมถอย เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลสำคัญก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่รู้ว่าทำเรื่องผิดอะไรไว้

พวกมู่ฝานจวินไม่ได้รีบร้อน ค่อยๆ ฟังพวกเขาอธิบาย พอฟังถึงตอนหลังก็นับว่าเข้าใจแล้ว กำลังพลสองกลุ่มร่วมแรงกันไล่ฆ่ากวาดล้างกำลังพลกลุ่มหนึ่งของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบ หลังจากปราบและเก็บกวาดข้าวของเสร็จแล้วกลับเกิดปัญหา ของที่ได้จากการปล้นมีไม่เยอะ เมื่อเทียบกับจำนวนของที่ได้จากการล้อมปราบในหลายปีมานี้ ก็พบว่าจำนวนไม่สอดคล้องกัน ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าไม่ควรจะมีของแค่เท่านี้ จำนวนของพวกนี้เกี่ยวข้องกับรางวัลส่วนแบ่งของทุกคน ฝ่ายนี้คิดว่าฝ่ายนั้นฮุบไป ส่วนฝ่ายนั้นก็คิดว่าฝ่ายนี้ฮุบไป ดังนั้นเมื่อไม่ระวังก็วุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว

แต่การที่ทั้งสองฝ่ายสงสัยกันก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ของจากการปล้นมอบให้เบื้องบนส่วนหนึ่ง หักไว้เองส่วนหนึ่งเพื่อแจกจ่ายให้กำลังพลของตัวเองในภายหลัง ต้องได้เยอะกว่านี้สักหน่อย ออกมาสู้สุดชีวิตหนึ่งสนาม แถมแดนอเวจีก็ขลาดแคลนทรัพยากรฝึกตน ทุกคนใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงปกติมาก

ขุนพลฝานกลับฟังแล้วแอบปวดหัว พอได้ฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไร ครั้งนี้ต้องมีบางฝ่ายที่หักของไว้กับตัวเยอะเกินไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติเขาก็จะค้นตัวทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน พอค้นแล้วก็นำส่วนที่ควรจะเป็นของเบื้องบนให้เบื้องบน ส่วนที่เหลือก็ให้ทุกคนแบ่งเฉลี่ยเท่าๆ กัน แล้วก็ทำโทษฝ่ายที่ทำเสียงเรื่องทีหลัง แต่ก็ไม่ทำโทษรุนแรงเกินไป

เอาเป็นว่าทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ล้วนลำบาก การที่เขาต้องรักษาหัวใจกองทัพและขวัญกำลังใจทหารก็ไม่ง่ายเช่นกัน ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าลงโทษหนักเกินไปก็จะทำให้พี่น้องกำลังพลเบื้องล่างท้อใจผิดหวัง ทุกคนผ่านวันคืนที่ขื่นขมมามากพอแล้ว ถ้าลงโทษอาจจะเกิดเรื่องได้

แต่ดันบังเอิญเจอประมุขปราชญ์คนใหม่กับประมุขขุนพลที่มาเยือนด้วยตัวเอง เจอแบบคาหนังคาเขา เขาจะทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนหรือจะตบตาไปก่อนดี?

เขาแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ส่งสายตาให้จ่างซุนจูกับเมิ่งหรู ประมุขปราชญ์ที่มาใหม่ไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่สองคนนี้เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน เรียกได้ว่าแอบร้องขอความช่วยเหลือ ทางที่ดีที่สุดคือรีบพาประมุขปราชญ์หนีไป

แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินเสียงมู่ฝานจวินกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ในเมื่อต่างก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเอาเปรียบ ขุนพลฝาน สับเปลี่ยนตำแหน่งของพวกเขาสองคนสักหน่อย ให้บัญชาการกำลังพลฝ่ายตรงข้าม ให้พวกเขาไปตรวจสอบเอง!”

จ้าวหยวนกับหลิ่วจงกุ้ยตกตะลึงอ้าปากค้างทันที

ขุนพลฝานโล่งอก กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที “ขอรับ!”

มู่ฝานจวินกล่าวว่า “ยังกำจัดศัตรูที่บุกมาไม่หมด แค้นใหญ่ยังไม่ชำระ แต่คนฝ่ายตัวเองใกล้จะเป็นศัตรูกันเองแล้ว พวกเจ้าช่างมีความสามารถจริงๆ นะ ขุนพลฝาน ถ้าไม่รู้ระเบียบวินัยกองทัพ แล้วจะปราบข้าศึกได้อย่างไร? ฮุบของที่ได้จากการรบไว้ส่วนตัว ทำให้จิตใจคนในกองทัพปั่นป่วน แบบนี้เอาไว้ไม่ได้ ถ้าตรวจเจอจะมีโทษหนัก!”

“ขอรับ!” ขุนพลฝานเอ่ยรับอีกครั้ง

มู่ฝานจวินไม่ได้พูดอะไรมาก เหาะขึ้นไปบนฟ้าโดยตรง ไม่ได้อยู่ต่ออีก และไม่ได้อยู่ดูขั้นตอนการจัดการของกำลังพลเบื้องล่างด้วย,

จ่างซุนจูกับเมิ่งหรูสบตากันแวบหนึ่ง จกานั้นก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมแววตาอมยิ้ม พอใจกับวิธีการจัดการของมู่ฝานจวินมาก

ถ้ามู่ฝานจวินเป็นประมุขปราชญ์คนก่อน ถ้าเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ถามอะไร คงจะให้กำลังพลเบื้องล่างจัดการ แล้วตัวเองก็ออกไปจากตรงนั้นโดยตรง แต่ด้วยสถานการณ์ของมู่ฝานจวินในตอนนี้ ถ้านางหลบเลี่ยงก็จะทำให้คนเข้าใจผิดว่านางกลัวการเผชิญหน้าปัญหา จะทำให้คนดูถูก ไม่เป็นผลดีกับการสร้างบารมีและความน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่สะดวกจะสั่งให้คนตรวจสอบต่อหน้าคนจำนวนมาก ถ้าตรวจค้นเจออะไรขึ้นมาจริงๆ จะไม่ลงโทษคนที่ฮุบของจากการปล้นก็ไม่ได้ นี่คือระเบียบของกองทัพ ถ้าไปเปิดโปงก็จะทำให้ทุกคนอับอายเสียหน้า

คำสั่งสลับตำแหน่งที่ฟังดูเบาไร้น้ำหนัก แต่มันสามารถอุดปากผู้บัญชาการทั้งสองคนให้เงียบได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ประลองกันต่อหน้านางจนนางเองจัดการลำบาก แถมนางยังได้แสดงวิธีการที่ทำให้ข้อพิพาทระหว่างกำลังพลสองฝ่ายสงบลงเพียงชั่วดีดนิ้ว เมื่อผู้บัญชาการสองคนสลับตำแหน่งกัน กำลังพลสองฝ่ายก็ไม่มีทางผูกความแค้นกันได้อีก พวกคงไม่นำกำลังพลกลุ่มใหม่ไปกดดันกำลังพลเก่าของตัวเองหรอกใช่มั้ย? เรียกได้ว่าแก้ไขความโกรธแค้นของทั้งสองฝ่ายในชั่วพริบตาเดียว

ถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างตรวจสอบกันเองก็ย่อมตรวจไม่เจออะไรอยู่แล้ว เรียกได้ว่าจัดการลงโทษพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่คำพูดที่สั่งสอนขุนพลฝานในตอนสุดท้าย ก็ได้แสดงออกชัดเจนว่านางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเข้มงวดกับลูกน้อง เรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกฎระเบียบในการจัดการเรื่องอื่นๆ ของนางในภายหลัง ทั้งยังทำให้ขุนพลฝานที่ผ่านด่านน่าอับอายนี้เชื่อฟังนางโดยไม่ลังเลต่อหน้าฝูงชนด้วย ในสายตากำลังพลเบื้องล่างที่มองมา การที่นางสั่งผู้บังคับบัญชาของพวกเขาได้ก็แสดงว่านางมีอำนาจบารมี

เข้มงวดและผ่อนผันลูกน้องได้อย่างอิสระ ทั้งลดหย่อนและคุมเข้มอย่างมีระดับ นี่ก็คือจุดที่แสดงความสามารถของผู้ที่อยู่ตำแหน่งระดับบน

“ดูจากหลายปีที่ผ่านมานี้…จุจุ ประมุขปราชญ์ท่านนี้ของพวกเราช่างไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดายที่วรยุทธ์แย่ไปหน่อย สงสัยประมุขไป๋จะไม่ได้จัดคนมาแบบมั่วๆ” เมิ่งหรูถ่ายทอดเสียงชม ความหมายในคำพูดก็คือยอมรับในความสามารถของมู่ฝานจวินแล้ว

“ไปกันเถอะ!” จ่างซุนจูยิ้มพลางเอ่ยเรียก แล้วทั้งสองก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน

ไม่ใช่แค่มู่ฝานจวินเท่านั้น ในหลายปีมานี้ มู่ฝานจวินและอีกสี่ปราชญ์แสดงความสามารถในการควบคุมลูกน้องได้ไม่ธรรมดา ต่างก็ควบคุมทัพใหญ่หนึ่งล้านของตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย เป็นวิธีการที่มีแบบแผนสุดๆ เสียงกังขาในตอนแรกก็เริ่มจะสงบลงไม่น้อยแล้ว กอปรกับชั้นบนมีพวกประมุขขุนพลช่วยเหลือประคับประคองเต็มที่ เสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์ กำลังพลห้าลัทธิเข้าสู่สภาวะปรับตัวกับผู้บัญชาการของพวกเขาแล้ว

เมื่อเป็นแบบนี้ คนเราเมื่อเทียบกันแล้วต้องตาย สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง[1] จินม่านกระวนกระวายใจแล้ว ท่านประมุขปราชญ์เหมียวพึ่งพาไม่ได้! ประมุขปราชญ์อีกห้าลัทธิเริ่มเดินในลู่ทางที่ถูกต้องแล้ว มีแค่ลัทธิของพวกเขาที่ทำให้นางอยากจะตบตีสักยก นอกจากจะรวบรวมหัวใจคนไม่ได้แล้ว กลับเป็นบ่อเกิดให้หัวใจคนลัทธิอู๋เลี่ยงไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเชื่อฟัง!

เหมียวอี้ขี่เฮยทั่นเหาะเพ่นพ่านไปทั่วอยู่ในดาราจักร แต่ถูกดักตัวไว้อีกครั้ง ถูกเชิญกลับมาอีกแล้ว

“เจ้าถ่อไปไหนมาอีกแล้ว? จะเพ่นพ่านไปทั่วทำไม? เจ้าดูประมุขปราชญ์อีกห้าท่านซิว่าพวกเขาทำยังไง เจ้าทำเรื่องที่เป็นการเป็นงานหน่อยได้มั้ย? เจ้าสนใจเรื่องของกำลังพลเบื้องล่างสักหน่อยได้มั้ย?”

จินม่านที่ได้ยินข่าวบุกเข้ามาในเรือนด้านในของประมุขปราชญ์โดยตรง พอเห็นเหมียวอี้ที่เพิ่งกลับมาก็ตำหนิตลอดทาง เรียกได้ว่าด่าตลอดทางจนมาถึงตรงหน้า ไม่ได้เห็นว่าเหมียวอี้เป็นประมุขปราชญ์เลย

ไม่ใช่ว่านางไม่อยากจะเคารพประมุขปราชญ์ท่านนี้ แต่นางหาจุดที่ทำให้นางเคารพไม่เจอจริงๆ

 …………………………

[1] คนเราเมื่อเทียบกันแล้วต้องตาย สิ่งของเมื่อเทียบกันแล้วต้องทิ้ง  人比人得死  货比货得扔 อุปมาว่า คนเราแตกต่างกัน ไม่มีทางเทียบกันได้ ถ้าจะเทียบกันก็ตายเสียดีกว่า สิ่งของก็เช่นกัน ถ้าจะให้เทียบข้อดีข้อด้อยกันก็โยนทิ้งเสียดีกว่า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset