ไม่ว่าบนใบหน้าของทุกคนจะมีรอยยิ้มหรือไม่ แต่หลังจากงานเลี้ยงรวมตัวคนในครอบครัวครั้งนี้จบลง แต่ละคนก็กลับไปพร้อมกลับความคิดบางอย่างในใจ ต่างก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หรือว่าตัวเองจะคิดมากเกินไป
ในลานบ้านเหลือเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแค่สองคน พออวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้ เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก็ย้ายเก้าอี้สองตัวมาวางข้างหลังและถอยออกไป
ตอนที่อวิ๋นจือชิวรินน้ำชาให้ เหมียวอี้ก็ยื่นกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง “ของขวัญจากร้านค้าต่างๆ”
อวิ๋นจือชิววางกาน้ำชา รับกำไลเก็บสมบัติมาไว้ในมือ แกว่งไปแกว่งมาพร้อมพูดหยอกล้อว่า “เจ้าระแวงข้าไม่ใช่เหรอ ยังกล้านำทรัพย์สินมาไว้ในมือข้าอีกเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบกลัวหัวเราะว่า “ฮูหยินพูดเกินไปแล้ว ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากัน ข้าจะระแวงเจ้าไปทำไม?”
“อย่ามาพูดเลย!” พอยัดถ้วยน้ำชาใส่มือเขา อวิ๋นจือชิวก็เอนกายบนเก้าอี้นอนก่อน “ท่านปู่ข้าทรยศเจ้า ตอนนั้นเกรงว่าเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าแล้วล่ะสิ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าสบตากับอวิ๋นจือชิว เขาหลบสายตาแล้วจิบน้ำชา ก่อนจะถอนหายใจ “ทุกย่างผ่านไปแล้ว”
อวิ๋นจือชิวนอนส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น “สุดท้ายก็ยังทิ้งเงามืดไว้ในใจเจ้า เจ้านอนร่วมเตียงกับข้ามากี่ปีแล้ว ข้ายังไม่รู้จักเจ้าอีกเหรอ เจ้ากลับมาครั้งนี้ ดูไม่มีความสุขเลยสักนิด หนิวเอ้อร์ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งนะ ข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านปู่ทำจริงๆ แล้วข้าก็ไปยืนยันกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนมาแล้ว พวกนางก็ไม่รู้ล่วงหน้าเลยจริงๆ ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อข้า ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ข้าเชื่อเจ้า” เหมียวอี้เอ่ยตอบ
อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าจะปากกับใจตรงกันหรือเปล่า ข้าว่านะ…”
สียงพูดเงียบลงกะทันหัน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือมาจับแขนนาง ดึงนางขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเอง อุ้มนางไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในบ้าน
“เจ้าจะทำอะไร? ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ ปล่อยข้า รีบปล่อยข้านะ!” อวิ๋นจือชิวยันเท้าสองข้าง ชกที่หน้าอกเขาไม่หยุด ตอนนี้วรยุทธ์สูงไม่เท่าอีกฝ่ายแล้ว
“ข้าไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาร้อยปี คิดถึงเจ้าแล้ว”
“ไปหลอกผีไป มีแมวที่ไหนไม่ชอบขโมยกินของคาว ข้าไม่ได้เห็นเสียหน่อย” พอเดินถึงประตูบ้าน อวิ๋นจือชิวก็ยื่นมือไปคว้าวงกบประตูไว้ จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมเข้าไป นางเตือนว่า “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ แต่ข้าก็ไม่ใช่เครื่องมือให้เจ้าระบายอารมณ์นะ ต้องคุยเรื่องนั้นให้ชัดเจนก่อน ไม่อย่างนั้นจะทิ้งปมไว้ในใจ ต่อไปก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้แล้ว”
เหมียวอี้หยุดแล้ว สบตากับผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด แล้วพูดอย่างจริงจังมากว่า “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นข้าไม่เชื่อใจใครจริงๆ ข้าสงสัยเจ้าแล้วจริงๆ แต่ตอนหลังข้าก็คิดได้แล้ว ในปีนั้นขนาดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากพวกเรายังอยู่ด้วยกันได้ ในเมื่อเลือกแล้ว ข้าก็จะไม่เสียใจทีหลัง ดังนั้นพอข้าใจเย็นแล้วข้าก็ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ต่อให้เจ้าจะทรยศข้า ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเจ้า นั่นก็เป็นทางเลือกของข้าเอง ข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น!”
นิ่งเงียบ! อวิ๋นจือชิวที่กำลังถูกอุ้มมองเขาเงียบๆ เบิกตากว้างจ้องมองเขา ในดวงตาเริ่มฉายแววอมยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ ไม่นานก็น้ำตาคลอแล้ว มือที่จับวงกบประตูเริ่มคลายออก ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจนด้วย จู่ๆ นากง็กางแขนคล้องคอเขา แล้วจูบบนริมฝีปากเขาอย่างดุเดือด
ทั้งสองจูบกันตลอดทางจนเข้าไปในห้อง เร่าร้อนรุนแรงเป็นพิเศษ ถอดเสื้อผ้าตลอดทางเหมือนอดทนรอไม่ไหว สุดท้ายก็ล้มลงบนเตียงพร้อมกัน ร่างเปลือยสองร่างที่พัวกันกันราวกับอยากจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันใจจะขาดแล้ว…
หลังจากพายุฝนคลั่งสงบ อวิ๋นจือชิวที่ตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนโคลนก็หอบหายใจ นอนกอดพันอยู่บนตัวเหมียวอี้ราวกับเป็นหนวดปลาหมึก อิ่มอกอิ่มใจจนใบหน้าแดงเรื่อ พึมพำว่า “มีความสุขจัง”
หลังจากอยู่กันเงียบๆ จนถึงเที่ยงคืน อวิ๋นจือชิวก็กลิ้งไปนอข้างกายเขา เอาแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ใช้ปอยผมเขี่ยบนใบหน้าเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ ข้าถามเรื่องสำคัญกับเจ้าหน่อย เจ้าเตรียมจะลงมือกับร้านค้าพวกนั้นใช่มั้ย?”
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” เหมียวอี้ถาม
ตุ้บ! นางชกหน้าอกเขาหนึ่งที “อย่ามาใช้มุกนี้ หยางชิ่งบอกข้าแล้ว”
เหมียวอี้ไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ทางข้าเตรียมแผนการไว้อีกอย่าง ต่อให้เกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ยังสามารถกลับพิภพเล็กได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี”
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นมาทันที ดึงผ้ามุ้งบางขึ้นมาปิดเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม นั่งพับเข้าตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้ากังวลว่า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าโจมตีฝ่าข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แดนอเวจี ข่าวลือในปีนั้นกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว อย่างมากคนอื่นก็เอ่ยถึงตอนกินข้าวเสร็จ จำเป็นต้องสร้างความขัดแย้งอีกด้วยเหรอ? หนิวเอ้อร์ ฟังข้าแนะนำนะ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าตาย เจ้าอดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว เดินบนเส้นทางนี้แล้ว มีใครบ้างที่ไม่ได้อดทนรับความอยุติธรรมเลย?”
เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเช่นกัน ใช้สองมือประคองใบหน้านาง แล้วกล่าวด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “เรื่องบางเรื่องข้าทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องข้าทนไม่ได้หรอก ตั้งแต่ข้าเข้าสู่เส้นทางนี้มา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ยอมถอยให้เด็ดขาด ภายใต้การปกครองของข้า ถ้าเบื้องล่างรังแกเบื้องบน ข้าประนีประนอมไม่ได้แน่นอน! ซูลี่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ต่อให้ตอนนั้นข้าจะบาดเจ็บหนัก ข้าก็ยังจะฝ่าทัพใหญ่เข้าไปเอาหัวเขามา ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!”
อวิ๋นจือชิวแกะมือเขาออก นางทำสีหน้ากังวล แล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “หนิวเอ้อร์ ทำไมเจ้าต้องลำบากแบบนี้ด้วยล่ะ? อยากเอาชนะแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองทีหลัง แบบนี้มีความหมายเหรอ? เจ้าลำบากสู้เสี่ยงชีวิตมาตั้งกี่ครั้งกว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ทำไมต้องกำจัดให้ตายก่อนถึงจะยอม?”
“พอแล้ว เรื่องอื่นสามารถเจรจากันได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!” เหมียวอี้ยิ้มพลางกดบ่าสองข้างของนาง จับนางเอนกายลง แล้วตัวเองก็เอนกายลงนอนข้างๆ จากนั้นตบมือนางเบาๆ “พักผ่อนเถอะ”
แต่อวิ๋นจือชิวจะวางใจได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางลุกขึ้นมาพร้อมผมที่ยุ่งสยายอีกครั้ง จับแขนเขาไว้แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ หยางชิ่งเป็นคนยังไงเจ้าก็รู้ ถ้าไม่มีบางจุดที่ไม่เหมาะสม จู่ๆ เขาจะมาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม เขาจะต้องรู้สึกได้ถึงปัญหาบางอย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้าถามแผนการจากเขาล่วงหน้าแล้ว ถามเขาอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป เขาสมองใช้งานได้ดี เอาแบบปลอดภัยเชื่อถือได้จะดีกว่า”
“ตัวเขาอยู่ที่พิภพเล็ก เขาจะรู้อะไรได้?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “เจ้าลืมไปได้ยังไงว่าเวยเวยก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน หยางชิ่งจะต้องอาศัยสืบสถานการณ์ทางนี้ผ่านเวยเวยแน่นอน”
ด้วยสติปัญญาที่ทำให้คนต้องเตรียมพร้อมป้องกันอย่างหยางชิ่ง บวกกับบทเรียนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะไม่ฟังคำเตือนของหยางชิ่งตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆ ทำให้เหมียวอี้เริ่มไตร่ตรองขึ้นมาแล้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะถามหยางชิ่ง เออใช่ เจ้าตรวจของนี่ดูหน่อย” เขาพลิกมือนำกล่องที่ได้มาจากที่ซ่อนสมบัติแดนอเวจีออกมา
อวิ๋นจือชิวยังอยากจะคุยเรื่องนั้นก่อน แต่พอเห็นเขาจงใจเปลี่ยนประเด็น นางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งเปิดกล่องต่อไป ข้างในมีกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่ง แผ่นหยกสามแผ่น ลูมกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งสีดำลูกหนึ่ง
พอหยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาดู ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่นางก็ยังตกใจจนเอามือปิดปาก มีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะมาก ทั้งยังเป็นแบบที่มีอายุมากด้วย
พอวางกำไลเก็บสมบัติ นางก็ทยอยหยิบแผ่นหยกสามแผ่นนั้นออกมาอ่านต่อ เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดี ภาคดินของสามเคล็ดวิชาพิเศษมีครบ นางแกะมือที่กำลังลูบคลำหน้าอกของตัวเองออก “เลิกคลำได้แล้ว คุยเรื่องสำคัญกัน สามเคล็ดวิชานี้เจ้าจะมอบให้อวี้หนูเจียว จีเหม่ยลี่กับฝ่าอินรึเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ถ้าให้พวกนางก็เท่ากับให้พวกจีฮวนไปเปล่าๆ น่ะสิ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีนั้นกับพวกเขาเลยนะ เก็บไว้ก่อน เก็บเอาไว้บีบคอพวกเขา ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วก็หยิบลูกกลมโลหะสีดำมาเปิดอ่านอีก พอแน่ใจว่าเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า นางก็ถอนหายใจอีก สงสัยท่านปู่คงต้องเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้เคล็ดวิชาภาคฟ้ามาง่ายๆ อีก
นางหยิบลูกกลมโลหะสีแดงมาตรวจอ่าน ปรากฏภาพที่เหมือนกับตอนตรวจอ่านกับเหมียวอี้ในปีนั้นทุกอย่าง ในนั้นปรากฏแผนที่ดาวสี่ภาพ แบ่งระบุพิกัดไว้เป็นประตูดวงดาวสี่แห่ง ถึงแม้จะเคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะถาม “ประตูดวงดาวสี่แห่งนี้หมายความว่ายังไง? ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทางผ่านไปที่ไหน”
“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยๆ สืบค้นวันหลัง คืนนี้เจ้าปรนนิบัติข้าให้ดีก็พอแล้ว” เหมียวอี้พลิกตัว กดหญิงงามยั่วราคะใหเนอนลงไปโดยตรง…
วันต่อมา หลังจากออกจากร้านโฉมเมฆา เดิมทีเหมียวอี้คิดจะไปหาฉินเวยเวยโดยตรง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทางนั้นมีฝ่าอินที่เป็นอุปสรรค เขาถึงได้ส่งข้อความไปบอกฉินเวยเวย ว่าให้นางมาที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดิน
ตำหนักคุ้มเมือง ตำหนักหลัง เหมียวอี้ก็สั่งเป่าเหลียนแล้วเช่นกัน ว่าถ้าเขาไม่ได้สั่ง ก็ห้ามไม่ให้ใครบุกเข้ามา
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ฉินเวยเวยก็มาปรากฏตัวที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดินแล้ว เหมียวอี้กำลังคอยนางอยู่ตรงปากบ่อ พอเห็นหน้านางก็พูดหยอกล้อทันที “เวยเวย เจ้าให้ข้ารอนานนะ” เขายืนมือไปจูงนางขึ้นมา นางยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ
ฉินเวยเวยหน้าแดงเรื่อ หลังจากได้รับข้อความ นางก็พอจะเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางรีบอาบน้ำแต่งตัว ทำให้เสียเวลานิดหน่อย
ถ้าพูดถึงบรรดาอานุภรรยา คนที่เหมียวอี้ไม่มีปมอะไรติดค้างในใจ ก็มีแค่ฉินเวยเวยแล้ว เรื่องที่ห้าปราชญ์ร่มมือกันทรยศไม่เกี่ยวอะไรกับฉินเวยเวย
ทั้งสองจูงมือกันเดินเล่นในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง หลังจากนั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็พาพูดเข้าประเด็นไปหาหยางชิ่ง “ช่วงนี้เจ้าได้ติดต่อกับหยางชิ่งหรือเปล่า? เขายังสบายดีใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยที่รินน้ำชาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังสบายดีค่ะ ติดต่อกันบ่อย”
“ข้ากลับไม่ได้ติดต่อเขามานานมากแล้ว” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา
ตอนนี้ที่แดนอู๋เลี่ยงของพิภพเล็กเป็นตอนกลางคืนพอดี หยางชิ่งกำลังนอนกอดสาวงามเช่นกัน เพิ่งจะหาความสำราญกับฉินซีไปยกหนึ่ง
ตอนที่แต่งงานกับฉินซีถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจ แต่ด้วยความงดงามของฉินซี เมื่อแต่งมาอยู่ในมือแล้ว หยางชิ่งก็ไม่ใช่นักบุญอะไร ไม่มีทางปล่อยให้หญิงงามนอนเคียงหมอนอยู่เฉยๆ ถึงอย่างไรระหว่างทั้งสองก็มีลูกสาวที่ไม่มีทางตัดใจทิ้งได้
“เวยเวยบอกว่าเหมียวอี้กลับมาจากการทดสอบแล้ว เจ้าบอกว่าหลังจากเหมียวอี้กลับมาแล้วจะติดต่อเจ้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นเหมียวอี้ติดต่อเจ้าเลย?” ฉินซีที่นอนหนุนแขนหยางชิ่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังหน้าอกที่ขาวดุจหิมะ นางถามอย่างกังวลนิดหน่อย หลายวันมานี้นางสนใจเรื่องนี้มาตลอด
หยางชิ่งใจเย็นอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก นอกเสียจากอวิ๋นจือชิวจะไม่สนใจความเป็นความตายของเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นนางจะต้องสั่งให้เหมียวอี้ติดต่อมาหาข้าแน่นอน นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้าบอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิว”
“ทำไมเจ้าไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน ทำไมต้องให้เหมียวอี้เป็นฝ่ายติดต่อมาถามเจ้า?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม
หยางชิ่งถอนหายใจแล้วตอบว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก เหมียวอี้ป้องกันข้ามาตลอด ถ้ามอบอำนาจฝ่ายรุกไว้ในมือเขา ให้เขารู้สึกว่าตัวเองกุมอำนาจฝ่ายรุกเอาไว้ เขาถึงจะวางใจ…จู่ๆ พวกอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็หายตัวไปช่วงหนึ่ง เหลือเวยเวยอยู่แค่คนเดียว เรื่องนี้ผิดปกติมาก เบื้องหลังจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่เจ้าเด็กโง่เวยเวยดันบอกว่าไม่มีอะไร ข้าไม่รู้จะว่านางยังไงแล้ว ข้าต้องหาทางไปพิภพใหญ่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่วางใจที่ปล่อยให้เวยเวยอยู่ที่นั่นคนเดียว เล่ห์เหลี่ยมความคิดของนางมีจำกัด ทั้งยังไม่มีภูมิหลังอะไร ไปเทียบกับพวกอวิ๋นจือชิวที่มีห้าปราชญ์หนุนหลังไม่ได้ ในบรรดาผู้หญิงพวกนั้นเวยเวยอ่อนแอที่สุด ข้ากลัวว่านางอยู่ที่นั่นแล้วจะเสียเปรียบ!”
………………………………..