ลุ่มหลงหญิงงาม พัวพันรักใคร่หลายรอบ สุดท้ายก็มีเวลาจำกัด!
ฉินเวยเวยที่พักในตำหนักคุ้มเมืองสองวันกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เหมียวอี้เองก็อยากจะลุ่มหลงอยู่กับหญิงงามโดยไม่ต้องตื่นเช่นกัน แต่จนใจที่กว่าจะก้าวมาจนถึงวันนี้ได้ ก็มีเรื่องมากมายที่เขาไม่อาจทำตามใจตัวเอง เขาอยากจะพักผ่อนแต่ก็พักต่อไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้างกายมีคนมากมายที่คาดหวังในตัวเขา แค่ฐานะโจรกบฏอย่างเดียวก็เหมือนแขวนกระบี่ไว้บนหัวแล้ว สามารถตัดหัวเจ้าได้ทุกเมื่อ
พอส่งฉินเวยเวยกลับไปแล้ว เขาก็เก็บสำรวมความคิดจิตใจ หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านของตำหนักหลังเพียงลำพังเป็นเวลานาน เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยิน
จวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ฮูหยินกำลังเตรียมงานก่อนเดินทาง ตอนได้รับข้อความจากเหมียวอี้ก็ยังนึกว่าเขามีอะไรจะชี้แนะเกี่ยวกับแดนอเวจี
นางถามอย่างค่อนข้างเฝ้าคอย : มีเรื่องอะไรเหรอ?
เหมียวอี้ : นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะขอจริงๆ! ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อยขาดกำลังพล ยังเติมไม่ครอบเสียที ข้าน้อยอยากจะโยกย้ายคนที่กล้าหาญมีฝีมือของนายท่านมาสักสองคน หวังว่านายท่านจะช่วยให้สมปรารถนา!
มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า : อยากได้ใครล่ะ?
เหมียวอี้ : กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง! นายท่านไม่ต้องห่วง หลังจากพวกเขามาแล้ว ข้าน้อยจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างขาดความยุติธรรมเด็ดขาด
ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงทันที เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างกัน นี่เป็นการเติมจำนวนคนขาดเสียที่ไหนกัน ชัดเจนว่าจะเอาชีวิตสองคนนั้น ช่างไม่ ‘ขาดความยุติธรรม’ ต่อสองคนนั้นจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าจะเล็งเป้าหมายในการลงมือมาที่ลูกน้องคนสนิทของข้าเสียแล้ว ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาอยู่มั้ย? แทบจะไม่ต้องไตร่ตรองเลย ปี้เยว่ฮูหยินปฏิเสธเสียเลยว่า : ข้าต้องใช้งานพวกเขาสองคน เรื่องขาดคนเจ้าคิดหาวิธีเอาเองเถอะ! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เขียนรายงานจำนวนคนขาดขึ้นมาได้ เดี๋ยวข้าจะคิดหาทางย้ายมาให้เจ้าอีกที
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้เก็บระฆังดาราเงียบๆ ไม่ได้ตื๊อขออีก…
ด้านนอกตำหนักคุ้มเมือง ชายหนุ่มหน้าเหลืองคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงตีนบันไดนอกตำหนัก เพิ่งจะโดนทหารยามขวางไว้ เป่าเหลียนทีเดินไปเดินมาอยู่นอกประตูเห็นเหตุการณ์จึงรีบออกมา ถือบัตรผ่านของเหมียวอี้ออกมาด้วย ให้ทหารยามปล่อยคน แล้วนำคนคนนั้นเข้ามาในตำหนัก ตรงไปที่ตำหนักหลัง
“นายท่าน พาคนมาแล้วค่ะ” พอหยุดอยู่ตรงประตู เป่าเหลียนก็รายงานบอก
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” เหมียวอี้กันนางออกไป
ชายหนุ่มหน้าเหลืองก้าวเข้ามาในประตูโถง แล้วยกมือดึงหนังปลอมบนใบหน้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปานเยว่กงที่เฝ้าอยู่นอกเมืองเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีนั่นเอง…
พอตกกลางคืน นอกตำหนักคุ้มเมืองชายหนุ่มหน้านิ่งอีกคนปรากฏตัว ยังคงเป็นเป่าเหลียนที่ออกหน้ามารับและนำตัวเข้าไป
ในตำหนักหลัง ผู้ที่มาถอดหน้ากากออก เป็นลุงหนวดจงหลีค่วยนั่นเอง
“บุญคุณยิ่งใหญ่ ตอบแทนด้วยคำพูดไม่หมด ลำบากแล้ว!” เหมียวอี้โค้งตัวกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หลีกทางยื่นมือเชิญ “เตรียมสุราอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญ!”
จงหลีค่วยเป่าหนวดพลางถลึงตา เดินก้าวยาวเข้ามาในศาลา นั่งลงอย่างไม่สนใจใยดี แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาเหยียบย่ำข้าหรอกมั้ง?”
เพื่อที่จะช่วยเหมียวอี้ปกป้องผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขาต้องเฝ้าอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปี ทั้งยังลำบากให้ผู้อาวุโสในสำนักมาด้วย ในใจไม่โมโหก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ พลางถือกาสุรา รินสุราให้เขาด้วยตัวเอง จากนั้นยกจอกสุราขึ้นมา “หนิวดื่มหมดจอกก่อน เพื่อชดใช้ความผิด!”
เหมียวอี้ดื่มคำเดียวหมดจอก พอเห็นอีกฝ่ายไม่รับไมตรี ก็หัวเราะอีกครั้ง แล้วหยิบแหวนเก็บสมบัติออกมาวางบนโต๊ะ “ลุงหนวด ดูสิว่าของในนี้ถูกใจท่านหรือเปล่า”
จงหลีค่วยเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ของอะไร?”
เหมียวอี้บุ้ยปาก “ท่านดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
จงหลีค่วยช้อนมาไว้ในมือ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแล้วก็อึ้งไป ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งพันต้น เป็นต้นที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีอายุมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหลายต้นที่ออกผลแล้ว สรรพคุณทางยาแบบนี้ คาดว่าใช้แค่ผลเดียวก็สามารถช่วยกู้ชีวิตที่สาหัสเหลือลมหายใจเพียงครึ่งเดียวได้หลายชีวิต มูลค่าของมันไม่ใช่เล่นๆ
สมุนไพรเซียนซิงหัวพวกนี้เหมียวอี้ได้มาจากแดนอเวจี ที่จริงเหมียวอี้เอามาแค่ต้นเล็กๆ ที่ได้มาจากดาวรองและดาวเสริมที่โดนปกคลุมด้วย ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ยังมีอีกเยอะมาก แต่ยกประโยชน์ให้โจรกบฏหกลัทธิหมดแล้ว การวางแผนของประมุขไป๋เรียกได้ว่าช่วยโจรกบฏหกลัทธิได้เยอะมาก ล้วนเป็นของดีในการกู้ชีพ โจรกบฏหกลัทธิที่โดนขังอยู่ในนั้นสู้กับตำหนักสวรรค์จนบาดเจ็บล้มตายไปแล้วไม่น้อย กำลังขาดโอสถเทวดาในการรักษาบาดแผลพอดี เป็นของที่จำเป็นเร่งด่วนจริงๆ นับว่าเป็นของขวัญแรกพบที่ประมุขคนใหม่ของหกลัทธิมอบให้พวกเขาเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่จงหลีค่วยได้เห็นสมุนไพรเซียนซิงหัวที่ออกผล เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงข้าม แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ขนาดของแบบนี้ยังให้ข้าได้อีกเหรอ?”
“มอบห่านหมดเลย” เหมียวอี้ยิ้มตาหยีพยักหน้า แล้วถามเสริมอีกว่า “นอกจากนี้ก็อยากจะขอให้ท่านช่วยอะไรอีกสักหน่อย?”
จงหลีค่วยเป่าเครา แล้วถามว่า “คงจะไม่ได้ให้ข้าช่วยปกป้องผู้หญิงอีกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้โบกมือ “ข้าว่าใช้ของที่อยู่ในนี้เชิญยอดฝีมือมาสักสองคนคงจะไม่มีปัญหาหรอกมั้ง?”
“ยอดฝีมือ? เชิญยอดฝีมืออะไร?” จงหลีค่วยงุนงง
“ยอดฝีมือที่จะปกป้องข้าไง!” เหมียวอี้รินสุราใส่จอกแล้วผลักไปไว้ข้างมือเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป ช่วงนี้ข้าได้ข่าวมา ว่ามีคนต้องการทำไม่ดีกับข้า คนระดับข้าไม่ค่อยได้คลุกคลีอยู่กับยอดฝีมือสักเท่าไร แต่ปราสาทดำเนินนภาของพวกท่านไม่เหมือนกัน มีเครือข่ายคนของตัวเอง คาดว่าท่านเองก็อาศัยบารมีรู้จักกับคนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งล้ำลึกอยู่บ้าง ดังนั้นข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยหายอดฝีมือที่เชื่อถือได้ ให้มาช่วยข้าผ่านด่านยากนี้ไปชั่วคราว”
พูดอ้อมไปอ้อมมา ที่จริงก็เพื่อจะเตรียมตัวลงมือกับร้านค้าใหญ่ๆ เพื่อที่จะยืนยันว่าตัวเองมีอำนาจควบคุมอาณาเขตนี้ เจ้าเวรนี่ก็เรียกได้ว่าไม่เสียดายแม้จะยอมแลกกับอะไร!
“มีคนต้องการจะทำไม่ดีกับเจ้า…” จงหลีค่วยลังเล ขมวดคิ้วคิดอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ เมื่อผ่านไปพักใหญ่ก็ตอบช้าๆ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของเหมียวอี้ “ยอดฝีมือเหรอ ตอนนี้ข้างกายข้าก็มีอยู่นิดหน่อย บางทีอาจจะช่วยเจ้าได้”
“ข้างกายท่านมียอดฝีมือเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างงุนงง “ยอดฝีมือแบบไหน?”
“บงกชรุ้งขั้นเจ็ดขั้นแปดมีสองคน บงกชกลายขั้นห้าหนึ่งคน พอที่จะปกป้องเจ้าหรือเปล่า?” จงหลีค่วยถาม
“…” ยังมียอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่เป็นระดับบงกชกลายขั้นห้าด้วยเหรอ? เหมียวอี้อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่เป็ดเข้าไปได้ เขายืนขึ้น แล้วเดินมามองสำรวจข้างกายจงหลีค่วยศีรษะจดเท้า “ลุงหนวด ท่านกำลังล้อข้าเล่นรึเปล่า? ข้างกายท่านมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหรอ? จริงหรือโกหก?”
จงหลีค่วยยกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนแห้ง แล้วตบวางจอกสุราลงพร้อมบอกว่า “มันเป็นไปไม่ได้ตรงไหน ผู้อาวุโสในสำนักข้าเพิ่งพาอาจารย์อาสองคนผ่านมาที่นี่ กำลังพักอยู่ที่ตลาดสวรรค์ชั่วคราว ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็จะไปปรึกษากับพวกเขา”
บังเอิญจริงๆ! เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ยังอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “คนของปราสาทดำเนินนภาไม่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? ศิษย์พี่พวกนั้นของท่านตอบตกลงเหรอ?”
“พวกเราก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ต่อให้เกี่ยวข้องแต่ก็ไม่มีทางยอมรับ เจ้าคงไม่ถึงขั้นไปปากมากพูดซี้ซั้วหรอกมั้ง?”
เกี่ยวข้องแต่ไม่ยอมรับนั้นเป็นหลักการที่ดีจริงๆ! เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “ใช่แล้วๆ ข้าไม่พูดซี้ซั้วแน่นอน พูดออกไปก็เป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ”
“ปราสาทดำเนินนภาของพวกเราก็ต้องการทรัพยากรฝึกตนเหมือนกัน ถ้าปัจจัยเงื่อนไขเหมาะสม ก็ย่อมไม่พลาดอยู่แล้ว” จงหลีค่วยชี้ไปที่แหวนเก็บสมบัติบนโต๊ะ “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน! โดยเฉพาะถ้าให้คนอื่นได้ไป ไม่สู้พวกเราเอาไปเองไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าต่อไปมีเรื่องทำเงินแบบนี้ ตราบใดที่เจ้าไม่เปิดโปงปราสาทดำเนินนภาของข้า ก็อย่าลืมติดต่อข้าแล้วกัน!”
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงแล้ว ถูกคำพูดของจงหลีค่วยทำลายภาพพจน์ของปราสาทดำเนินนภาที่มีในความทรงจำของเขาจนหมด ปราสาทดำเนินนภาที่ดูเผินๆ เหมือนสง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะแอบทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ อีกาในโลกนี้สีดำเหมือนกันหมดจริงๆ ด้วย จึงพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ได้! ได้สิ!”
หลังจากส่งจงหลีค่วยกลับไปแล้ว เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในสวนก็เริ่มอยู่ไม่สงบ การสมคบคิดกับปราสาทดำเนินนภาทำเรื่องแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องแย่ ตอนหลังปราสาทดำเนินนภาจะฆ่าปิดปากเขาหรือเปล่านะ?
โรงเตี๊ยม。
เพี้ยะ! แหวนเก็บสมบัติที่เหมียวอี้เพิ่งจะให้มาถูกใครบางคนตบลงบนหน้าจงหลีค่วย
จงหลีค่วยหยิบมาไว้ในมือ แล้วลูบหน้าตัวเองตรงจุดที่โดนตบ เขาทำสีหน้าขื่นขม เผชิญหน้ากับชายชราคนหนึ่งที่เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดโมโห
ชายชราก็คือผู้อาวุโสของปราสาทดำเนินนภาที่ปลอมตัวมาแล้ว ชื่อว่าเชียนหลัว
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ส่ายหน้าทอดถอนใจเช่นกัน ทำท่าทางปลงอนิจจังไม่หยุด ทั้งสองก็คืออาจารย์อาของจงหลีค่วยนั่นเอง คนหนึ่งชื่อเหมิงจื้อเกา อีกคนหนึ่งชื่อจิงอาน
เหมิงจื้อเกาพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “หนิวโหย่วเต๋อนั่นรวยจริงๆ นะ! สมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะขนาดนี้ยังโยนออกมาเหมือนเป็นผักกาดขาว”
จิงอานก็ส่ายหน้าถอนหายใจเช่นกัน “ว่ากันว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อุดมสมบูรณ์ จากที่ข้าเห็น เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย!”
“พวกเจ้าสองคนอย่ามาพูดจาไร้สาระตรงนี้ ถ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะดึงลิ้นพวกเจ้าออกมาซะ!” ผู้อาวุโสเชียนหลัวพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา ชี้หน้าทั้งสองพร้อมด่าอยู่พักหนึ่ง หลังจากด่าจนทั้งสองหัวกด ก็หันมาชี้ด่าจงหลีค่วยอีก “ใครใช้ให้เจ้ารับเงินของเขามา? พวกเราไม่ได้ทำอาชีพคุ้มกันเพราะเห็นแก่เงิน!”
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายรู้สึกว่าร้านคุ้มกันปากสว่าง แถมร้านคุ้มกันก็ไม่กล้ามายุ่งเรื่องตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวให้พวกเรารับเรื่องนี้หรอก แล้วอีกอย่าง…”
“เจ้ายังกล้าเถียงอีกเหรอ?” เชียนหลัวพูดตัดบท เอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากจงหลีค่วย “ชื่อเสียงปราสาทดำเนินนภาของข้า สักวันจะต้องเสื่อมเสียเพราะศิษย์อกตัญญูอย่างเจ้า เอาของไปคืนเขาเดี๋ยวนี้!”
เหมิงจื้อเกากับจิงอานสบตากันแวบหนึ่ง ท่าทางอับจนปัญญา
จงหลีค่วยกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ผู้อาวุโส ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน! ครั้งนี้เขาต้องการคนปกป้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าสำนักคิดยังไง ไม่ให้ข้าเปิดเผยความจริงอีก ถ้าไม่รับของจากเขา แล้วจะให้ข้าอ้างเหตุผลอะไรพาพวกท่านไปปกป้องเขาล่ะ? อยู่ดีๆ จะให้ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินนภาไปข้องเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์เพื่อปกป้องเขาเหรอ แบบนี้ขัดกับวัตถุประสงค์ของปราสาทดำเนินนภานะ เขาจะเชื่อเหรอ?”
เชียนหลัวได้ยินแล้วขมวดคิ้ว แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาต่อ การที่ไม่พูดอะไรแล้ว ก็แสดงว่ารู้สึกว่าที่จงหลีค่วยพูดมีเหตุผล
เหมิงจื้อเกากำมือป้องปากไอแห้งๆ “อาจารย์อาเชียน ข้าก็รู้สึกว่าวิธีนี้ของจงหลีค่วยก็ไม่เลวนะ ปัญหามากมายถูกแก้ตกไปตามกันแล้ว ต่อไปถ้าเขาต้องการจะให้พวกเราช่วยเหลืออีก ขอเงินเขาไปก็สิ้นเรื่อง แบบนี้ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ยุ่งยาก ในถายหลังถ้ามีเรื่องอะไรก็สมเหตุสมผลแล้ว แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็รวยมาก จุจุ! พอควักทีก็ให้สมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะขนาดนี้ ดูจากอายุแล้ว สรรพคุณยาก็คงไม่ธรรมดา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอามาจากไหน ไอ๊หยา…”
จู่ๆ เชียนหลัวก็บิดหูเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด บิดดึงหูเขาขึ้นมา “เจ้าก็รู้จักแต่เงินๆๆๆ ในสายตามีแต่เงินใช่มั้ย? ปราสาทดำเนินนภายังมีหน้าตาศักดิ์ศรีอยู่มั้ย?”
เหมิงจื้อเกาที่เขย่งเท้าแก้ตัวซ้ำๆ ว่า “ไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาเสียหน้าหรอก เขาไม่กล้าประกาศเรื่องนี้ต่อภายนอกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัว”
“ใช่แล้วๆ!” จิงอานรีบช่วยพูด “สักวันหนึ่งก็ต้องให้เขารู้ความจริงอยู่แล้ว นี่คือการปรับให้เหมาะสมตามแผนการ ไม่นับว่าเสียหน้าหรอก อย่างมากพวกเราก็เก็บเงินไว้ก่อน ตอนหลังค่อยคืนเขาทีเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว”
…………………………