แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ยอมรับคำขอโทษจากทุกคนแล้ว ทำสีหน้าปลื้มใจมาก ยกสุราลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน หันหน้าชูจอกสุราให้ทุกคน “เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม!”
หลังจากแขกและเจ้าบ้านดื่มด้วยกันแล้ว ก็เผยจอกสุราที่ว่างเปล่า แล้วยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ
“ทำไมไม่มีดนตรีมาเพิ่มความบันเทิงสักหน่อยล่ะ!” เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราคว่ำในมือหันมองรอบๆ เหมือนมีอารมณ์สุนทรีย์มาก
“แปะๆ” สวีถังหรานปรบมือสองครั้งทันที แล้วเสียงดนตรีก็ดังขึ้น
ประตูตึกศาลาที่ประดับด้วยดอกไม้เปิดออก เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นสะบัดแขนเสื้อลอยออกมาราวกับเมฆขาวบริสุทธิ์ ดุจดั่งเทพธิดาที่เดินอยู่บนคลื่น หมุนตัวลอยลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ มาเหยียบลงตรงพื้นที่ว่างกลางงานเลี้ยง นางยกชายแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าขณะหันมายิ้มให้เหมียวอี้ ราวกับมวลหมู่ดอกไม้ซีดจางลงในชั่วพริบตาเดียว ความสง่างามที่เบ่งบานได้ชำระล้างหัวใจคน สวยจนจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง ช่างเป็นเสน่ห์ที่บรรยายเป็นคำพูดไม่หมดจริงๆ นางคือเสวี่ยหลิงหลง ดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์นั่นเอง
เสียงดนตรีบรรเลงช้าๆ ร่างที่สวมชุดกระโปรงสีขาวเริ่มเต้นระบำอย่างนุ่มนวลงดงาม ดึงดูดสายตาของทุกคน สวีถังหรานก็ยิ่งเอนตัวไปข้างหน้า ราวกับอยากจะเก็บเสวี่ยหลิงหลงเอาไว้ในดวงตาตัวเองใจจะขาดแล้ว
เป่าเหลียนยืนถือกาสุราอยู่ข้างโต๊ะ พอยาวเห็นเหมียวอี้จ้องเสวี่ยหลิงหลงจนเหม่อลอย นางก็อดไม่ได้ที่จะเบะมุมปากเหยียดหยาม ถือกาสุราเดินขึ้นมาบังสายตาของเหมียวอี้ รินสุราให้เหมียวอี้
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แต่ครั้งนี้เป่าเหลียนดันรินสุราค่อนข้างช้า สุดท้ายสมาธิของเขาที่ไปรวมอยู่บนตัวเสวี่ยหลิงหลงก็ถูกดึงกลับมา
ศุภวาระดิถี อีกทั้งทัศนียภาพก็งดงาม มีเสียงเพลงพร้อมการร่ายรำอันอ่อนช้อย มีสุราชั้นเลิศและอาหารชั้นดี ที่งานเลี้ยงในคืนนั้น แขกและเจ้าบ้านสนุกสนานกันเต็มที่ อย่างน้อยภายนอกก็เป็นแบบนี้…
หลังจากงานเลี้ยงจบ กลุ่มผู้จัดการร้านก็ต่างคนต่างออกจากตำหนักคุ้มเมืองอย่างผ่อนคลาย เรื่องทุกอย่างที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น พวกเขาออกมาจากงานโดยสวัสดิภาพ
นางรำและนักดนตรีของหอกลิ่นสวรรค์เริ่มรวมตัวกันในสวนดอกไม้ พวกเขาถูกเหมียวอี้เรียกพบ
ที่จริงคนส่วนใหญ่ของหอกลิ่นสวรรค์เหมียวอี้ล้วนเคยเห็นมาแล้ว เคยเห็นมาตั้งแต่ปีแรกๆ กลุ่มคนของหอกลิ่นสวรรค์ที่หวังเพียงเงินและชีวิตที่สงบสุขยังคงเต้นกินรำกินเหมือนเดิม เป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่เหมียวอี้ที่เสี่ยงตายต่อสู้มาครั้งแล้วครั้งเล่ากลับแตกต่างจากเมื่อก่อน ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เอาแต่วิ่งไปดื่มน้ำชาที่หอกลิ่นสวรรค์อีกแล้ว ตำแหน่งฐานะแตกต่างกันเป็นพิเศษ
“ผู้บัญชาการใหญ่ การแสดงของเสวี่ยหลิงหลงวันนี้ทำให้นายท่านพอใจรึเปล่าคะ?” ท่านแม่สวีเข้ามาหัวเราะคิกคักตรงหน้าเหมียวอี้ พร้อมชม้อยชม้ายชายตาถาม
เหมียวอี้ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่ารอยยิ้มของท่านแม่สวีวันนี้เหมือนจะมีอะไรแอบแฝง เขาพยักหน้าตอบว่า “พอใจ ลำบากทุกคนแล้ว! ตบรางวัล!”
เป่าเหลียนนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมาส่งให้ตรงหน้าท่านแม่สวีทันที ท่านแม่สวีรับมาแล้วเอ่ยบอกว่า ก่อนที่กลุ่มคนของหอกลิ่นสวรรค์จะกล่าวพร้อมกันว่า “ขอบคุณที่ผู้บัญชาการใหญ่ให้รางวัล”
หลังจากท่านแม่สวีเก็บแหวนเก็บสมบัติอย่างแนบเนียนแล้ว ก็พูดต่อว่า “ท่านกับหลิงหลิงก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน หากท่านชอบเพลงที่หลิงหลงร้อง วันไหนจากจะดูก็บอกมาได้เลย ข้าจะให้หลิงหลงมาทำการแสดงเดี่ยวให้ท่านดู เรียกเมื่อไรก็มาเมื่อนั้น หากวันนี้ท่านยังไม่หมดสนุด ก็ให้หลิงหลงแสดงต่อได้”
เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างหลังได้ยินแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ทำท่าทางเขินอายอยู่บ้าง
แต่ในสายตาเป่าเหลียนกลับแอบด่าเป็นชุด ออกมาขายศิลปะ จะแสร้งทำตัวไร้เดียงสาทำไม
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “น้ำใจของท่านแม่สวี ข้ารับไว้แล้ว แต่วันนี้ดึกแล้ว เอาไว้วันหลังแล้วกัน” เขาโบกมือ “ส่งแขก!” แล้วหันตัวเดินออกไป
ที่จริงวันนี้เขาก็ถูกท่วงท่าอันงดงามของเสวี่ยหลิงหลงยั่วยวนแล้วเช่นกัน จิตใจฟุ้งซ่านนิดหน่อย เพียงแต่เขาทำเรื่องแบบที่สวีถังหรานทำไม่ลง
พอกลับมาถึงตำหนักหลัง ก็หยิบระฆังดาราออกมาส่งข้อความให้จีเหม่ยลี่เสียเลย : คืนนี้มาอยู่กับข้าที่ตำหนักคุ้มเมือง!
ส่วนในกลุ่มผู้จัดการร้าที่ออกมาจากตำหนักคุ้มเมือง อูหันซานนำพวกเขาตรงไปที่สมาคมร้านค้า ตัวแทนของสมาคมร้านค้าแขตเมืองอื่นๆ มารอฟังข่าวจากพวกเขาอยู่นานแล้ว
พอเดินเข้าประตูมาและยังไม่ทันได้นั่งลง หัวหน้าสมาคมโจวหรานที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาก็หยุดฝีเท้าแล้วถามอย่างร้อนใจว่า “สถานการณ์เป็นยังไง?”
หลังจากนั่งลง อูหันซานก็หัวเราะเสียงดัง “สงบสุขมาก ไม่มีเรื่องอะไรเลยสักนิด สุราอาหารชั้นเลิศ เพลงดี ระบำดี ท่าทีของเจ้าบ้านก็ยิ่งดี! หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เอ่ยถึงสภาพของสมาคมร้านค้าในตอนนี้เลยสักคำ เท่ากับยอมรับสภาพในปัจจุบันของสมาคมร้านค้าแล้ว เรื่องในครั้งนี้พวกเราคิดมากไปเองล้วนๆ พวกเจ้าเดาสิว่างานเลี้ยงครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? เดิมทีหนิวโหย่วเต๋อจัดงานเพราะอยากจะเชิญพวกเราทุกคน แต่กังวลว่าพวกเราจะคิดมาก เลยเตรียมจะวนจัดงานเลี้ยงที่ละเขตเมือง ทำแบบนี้พวกเราจะได้ไม่กังวลว่ามีกับดักอะไร เขาบอกแล้วว่า วันนี้เชิญเขตเมืองตะวันออกมางานเลี้ยง เดี๋ยววันหลังจะเชิญเขตเมืองตะวันตก เชิญมาทีละเขต ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น สามารถแน่ใจได้แล้ว ว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมจริงๆ ที่บอกว่ากับดักหรือแผนร้ายอะไรนั่น พวกเราคิดมากไปเองล้วนๆ”
กลุ่มคนที่รอฟังข่าวอยู่ครึ่งค่อนคืนมองหน้ากันเลิกลั่ก ที่แท้สิ่งที่ทุกคนคิดวนเวียนอยู่หลายวันก็ไม่มีอะไร ไม่น่าเชื่อว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะกังวลว่าพวกเราจะคิดมาก แต่ผลที่ได้คือทำให้ทุกคนคิดมากกว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ไม่แปลกใจแล้ว ในที่สุดก็หาคำตอบพบแล้ว
หูอวี้หยวนที่บนตัวมีกลิ่นสุรากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ลำบากทำซ้ำไปซ้ำมา ลดศักดิ์ศรีมาจัดงานเลี้ยงทีละรอบ นับว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ลำบากใช้ความคิดไปเยอะเหมือนกัน ดูออกเลยว่าเขาอยากจะคืนดีกับพวกเราจริงๆ!”
อู่ฉงกง รองหัวหน้าสมาคมอู่เดาะลิ้นสองที “ยังกังวลว่าเจ้าหมอนั่นจะเป็นคนมุทะลุทำซี้ซั้ว ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน ยังรู้ว่าไม่ควรเอาแขนมางัดข้อกับขา”
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบงัน นางเองก็หวังว่าเหมียวอี้จะอ่านสถานการณ์ออกบ้าง แต่การที่เหมียวอี้ก้มหัวแบบนี้ บวกกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนในเวลานี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจนางมีรสชาติเป็นอย่างไร
“ข้าว่าก็ไม่แน่หรอกมั้ง!” เถียนเฟิงฮ่าว ผู้จัดการร้านเถียนพ่นเสียงทางจมูกแล้วเปลี่ยนประเด็น “ไม่แน่ว่าเจ้าเวรนั่นอาจจะอยากทำให้พวกเราคลายความระมัดระวังก็ได้ จะได้หว่านแหจับพวกเราทีเดียว”
นี่เป็นคำพูดที่เกิดจากความหงุดหงิดในใจเขา ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข ย่อมรู้ว่าเขาพูดไปด้วยอารมณ์โกรธ พอจะรู้ว่าท่านนั้นในตระกูลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะคงจะกดดันเถียนเฟิงฮ่าวไม่น้อยเลย ทางนี้แก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เถียนเฟิงฮ่าวจะพุ่งเข้าใส่ตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวคนเดียว เดี๋ยวกลับไปคงจะแก้ตัวกับนายท่านหญิงท่านนั้นลำบาก
“เขาวนจัดงานทีละเขตเมือง เจ้าลองบอกมาซิว่าเขาจะหว่านแห่จับทั้งหมดได้ยังไง?” อูหันซานถามเหมือนเป็นเรื่องขำขัน
เถียนเฟิงฮ่าวเม้มริมฝีปาก ไร้เหตุผลจะเถียงกลับ
อู่ฉงกงลุกขึ้นยืน แล้วบอกว่า “ในเมื่อเขายินดีจะวนจัดงานเลี้ยง งั้นก็ให้เขาวนจัดงานไปเถอะ จะได้ทำให้ร้านค้าทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตลาดสวรรค์ได้เห็น ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์แห่งนี้ จะได้ไม่มีใครเอาแต่คิดอะไรไม่ซื่อ”
โจวหรานก็เอามือไขว้หลังเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อยินดีจะก้มหัว ความหวังของร้านค้าเล็กๆ พวกนั้นก็ดับสูญแล้ว ตราบใดที่พวกเรากุมกติกานี้ไว้ในมือ ปราบพวกร้านค้าเล็กๆ ที่คิดจะมาขายแข่งกับเรา ให้พวกเราผูกขาดธุรกิจที่รายได้ดีต่อไป ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกำไร ตอนที่ส่งบัญชีกลับให้เจ้าของร้านจะได้รายงานผลการทำงานได้”
ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง ในห้องนอนของเหมียวอี้ จีเหม่ยลี่ที่ปล่อยผมยาวสยายจนชินกำลังยืนเผชิญหน้ากับเหมียวอี้
ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจถามทั้งๆ ที่รูอยู่แล้วหรือเปล่า จีเหม่ยลี่ถามว่า “ดึกดื่นป่านนี้ท่านเรียกข้ามาทำไม?”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองเตียงที่อยู่ด้านข้าง แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นอนุภรรยาของข้า เจ้าว่าข้าเรียกเจ้ามาตอนดึกเพื่อทำอะไรล่ะ?”
จีเหม่ยลี่แอบกัดฟัน แต่ภายนอกยังทำเหมือนใจเย็น “หมายความว่า เจ้ายินดีจะบอกข้าแล้วเหรอว่าได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินมาได้ยังไง?”
ครั้งนี้เหมียวอี้ไม่ยอมถอยให้ ในน้ำเสียงที่สุขุมราบเรียบแฝงการบีบบังคับที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่อาจเอามาใช้เจรจาแลกเปลี่ยนได้ เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ใครจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้? รวมทั้งเจ้าด้วย! เจ้าเองก็ปฏิเสธไม่ได้!” เขายื่นมือช้อนคางจีเหม่ยลี่
จีเหม่ยลี่อึกอักเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในครั้งนี้ สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มองเขาอย่างเงียบๆ
มือของเหมียวอี้ย้ายจากคางมาที่คอของนาง แล้วไหลลงไปในคอเสื้อของนางต่อ แล้วทันใดนั้น ร่างกายของจีเหม่ยลี่ก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย
ใช้เวลาไม่นาน ชุดกระโปรงยาวก็ตกลงที่เท้าของจีเหม่ยลี่ชิ้นแล้วชิ้นเล่า เรียวขาที่ยาวและขาวดุจหิมะจนทำให้คนใจหายใจคว่ำเปิดเผยให้เห็นอยู่กลางอากาศ
ขายาวลอยออกจากพื้น นางไม่ได้เหาะขึ้นมา แต่ร่างเปลือยที่อรชรอ้อนแอ้นถูกเหมียวอี้อุ้มขึ้นมาแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็ล้มนอนลงบนเตียง
ประตูที่ปิดมาตลอดได้เปิดรับแขกตัวร้าย ดอกไม้สีแดงเบ่งบานรับลมในฤดูใบไม้ผลิ
ค่ำคืนสุดหวาบหวาม ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น มีรสชาติที่แตกต่างออกไปจริงๆ หลังจากผ่านคืนนั้นมาแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บจีเหม่ยลี่ที่ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรไว้ที่ตำหนักคุ้มเมือง เก็บหญิงงามไว้ในห้องสามวัน…
หลายเดือนหลังจากนั้น จีเหม่ยลี่ก็เข้าตำหนักมาอีก เหมียวอี้คิดถึงขาที่เรียวยาวของนางอีกแล้ว ทั้งยังได้อารมณ์ต่างจากคนอื่นด้วย แต่เหมือนนางจะทำตัวให้ชินกับการใช้ชีวิตสามีภรรยาแบบนั้นกับเหมียวอี้ได้ลำบาก นางเองก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะนางเป็นนักพรตปีศาจ หรืออาจจะเป็นเพราะจีฮวนสั่งสอนนางเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์มาเนิ่นนาน จีฮวนเข้มงวดกับลูกชายและลูกสาวในด้านนี้มาก ดูจากจุดจบของจีเหม่ยเหมยก็รู้แล้ว
แต่จู่ๆ บทจีฮวนจะจับนางแต่งงานก็จับแต่งออกไปเลย ทั้งยังให้ไปเป็นอนุภรรยาของมนุษย์ด้วย นางเข้าใจที่บิดาตัดสินใจเสียสละตัวนาง การที่นางไม่มีทางปรับตัวให้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเหมียวอี้ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะจีเหม่ยเหมย เหมียวอี้ฆ่าพี่สาวแท้ๆ ของนาง แต่นางกลับต้องมาปรนนิบัติให้เหมียวอี้ ถึงแม้ไม้จะกลายเป็นเรือไปแล้ว กลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้อย่างแท้จริงไปแล้ว แต่ในใจทางกลับข้ามผ่านหลุมนี้ไปไม่ได้ ทุกครั้งที่เจอเหมียวอี้นางก็จะรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดอย่างแรกเป็นเพราะจีเหม่ยเหมย ความรู้สึกผิดอีกอย่างหนึ่งก็เป็นเพราะจีฮวนผู้เป็นบิดาได้ทรยศผู้ชายของนาง แทบจะทำให้เหมียวอี้ตายแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าเหมียวอี้จะมองนางอย่างไร
ในตึกศาลา จีเหม่ยลี่กำลังนั่งยองๆ จุดไฟกับเตาเล็กๆ ลงมือต้มน้ำชาด้วยตัวเอง นางเอามือทัดปอยผมที่หูอยู่เป็นระยะ ขณะที่จิตใจสงบสบาย นางก็เอียงหน้ามองผู้ชายที่อยู่นอประตูบ่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังเหม่อลอยคิดอะไร
บนฟ้ามีฝนตกปรอยๆ ดอกไม้นานาชนิดในลานบ้านของตำหนักหลังกำลังถูกน้ำฝนชำระล้างฝุ่น ยิ่งชุ่มฉ่ำยิ่งดูสวยสดชื่น
ตรงระเบียงนอกตึกศาลา เหมียวอี้กำลังมองดูเมฆครึ้มที่ปกคลุมทั้งตลาดสวรรค์ พลางยื่นมือไปรับเม็ดฝนที่เย็นฉ่ำ
ได้รับข่าวมาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินได้เข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีแล้ว
เหมียวอี้กำลังรอข่าวอีกข่าวหนึ่ง รอข่าวจากทางแดนอเวจี
ปี้เยว่ฮูหยินในตอนนี้ตื่นตระหนกไม่หยุด ในที่สุดก็ได้รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของแดนอเวจีแล้ว น่ากลัวกว่าที่เล่าลือกันเป็นหมื่นเท่า นางปล่อยผมยุ่งสยาย สะบักสะบอมเกินทน ที่มุมปากมีรอยเลือด แม้แต่สัตว์พาหนะก็ไม่มีแล้ว นางสู้เอาชีวิตรอกและกำลังหนีอยู่ในดาราจักรประหลาดลึกลับเพียงลำพัง
เดิมทีนางยังมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ในสังกัดของท่านโหวเทียนหยวนไม่ได้มีนางคนเดียว แต่ตอนนี้กลับให้นางเป็นหัวหน้ากลุ่ม กลุ่มของนางได้รับคำแนะนำไว้ตั้งแต่แรก จึงไม่กล้ารวมตัวกับคนเยอะเกินไป แต่อย่างน้อยการเกาะกลุ่มกันไว้ก็ยังมีอยู่
แต่ใครจะไปคาดคิด พวกเขาเพิ่งจะแยกออกจากกลุ่มใหญ่ได้ไม่นาน ก็เจอกับโจรกบฏที่เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ กงซุนลี่เต้าขุนพลใหญ่ของ ลัทธิอู๋เลี่ยงออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ขู่จนปี้เยว่ฮูหยินตกใจจนขวัญกระเจิง!
หยางชิ่งให้เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ในนรกแบบเกินจริง เพื่อเพื่อขู่ให้ปี้เยว่ฮูหยินตกใจกลัว แต่หยางชิ่งจะไปรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้กับโจรกบฏในนรกได้อย่างไร ขู่ให้กลัวเหรอ? ขู่แค่คำสองคำน่าเบื่อจะตายไป เหมียวอี้ตรงไปตรงมาเกินไป ส่งคนไปลงมือขู่เสียเลย!
ลัทธิอู๋เลี่ยงกระจายกำลังเพื่อพุ่งเป้าไปที่ปี้เยว่ฮูหยินคนเดียว เพื่อที่จะให้ความร่วมมือ และไม่ทำให้เหมียวอี้เสียการเสียงาน แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ส่งออกมาได้ ปี้เยว่ฮูหยินหนีพ้นก็แปลกแล้ว!
…………………………