พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1267 รอดชีวิตหลังจากหายนะครั้งใหญ่

ดังนั้นตั้งแต่กำลังพลที่เข้าร่วมการทดสอบเข้ามาในนรกแล้วแยกย้ายกัน ปี้เยว่ฮูหยินก็ถูกจับตามองแล้ว

ใช้เวลาไม่นาน กงซุนลี่เต้าก็ลงมืออย่างเด็ดขาดแน่วแน่

สิ่งที่เหมียวอี้ขอนั้นไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือกดดันให้ปี้เยว่ฮูหยินเหลือตัวคนเดียว แล้วสั่งสอนนิดหน่อย ไม่ต้องฆ่า

นักพรตบงกชรุ้งแค่ไม่กี่คน สำหรับกงซุนลี่เต้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แค่ปล่อยให้ปี้เยว่ฮูหยินหนีรอดไปคนเดียวเอง

ดังนั้นเพื่อนร่วมทางของปี้เยว่ฮูหยินจึงถูกฆ่าตายหมดอย่างไม่ลังเล เมื่อเจอกับกงซุนลี่เต้าก็ไม่มีทางหนีได้ แม้แต่ความสามารถในการต่อสู้กันสักสองสามกระบวนท่ายังไม่มีเลย อาศัยแค่อานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตี ก็สามารถทำให้ปี้เยว่ฮูหยินบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว สัตว์พาหนะก็โดนฆ่าตายตัวแล้วตัวเล่า ตายหมดเกลี้ยงแล้ว

ที่โชคดีก็คือ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือจากไหนโผล่ออกมา อีกฝ่ายต่อสู้กับกงซุนลี่เต้า เรียกได้ว่าต่อสู้กันเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

ปี้เยว่ฮูหยินเรียกได้ว่าขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณพระขอบคุณเทพทั้งท้องฟ้า รีบฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่สนใจหนีเอาชีวิตรอด

ปั้ง! ร่างสองร่างที่ชกหมัดใส่กันอยู่ในดาราจักรกระเด็นแยกออกจากกัน กงซุนลี่เต้าที่เป็นหนึ่งในนั้นหยุดควบคุมร่างให้มั่นคง แล้วยกมือให้อีกคนที่กำลังจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง “ซือถู พอแล้ว นางไปไกลแล้ว”

เงาร่างสตรีที่สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีม่วงพลันหยุดนิ่ง แล้วลอยช้าๆ ไปตรงหน้ากงซุนลี่เต้า แล้วค่อยๆ มัดรวบผมดำที่ปล่อยสยายเหมือนน้ำตก คาดเอวเรียบร้อย คิ้วโก่งดุจภูเขา ดวงตาเหมือนบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าสะอาดหมดจด ดูสง่างามเยือกเย็น

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือซือถูฉิงหลัน หนึ่งในห้าขุนพลใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยง!

สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้า ซือถูฉิงหลัน ไห่ยวนเค่อ สามคนแรกเหมียวอี้เคยเจอมาก่อย แต่สองคนหลังเหมียวอี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

“ลองถามคนของเจ้าดูหน่อย ว่าจับตาดูไว้หรือยัง?” ขณะมองดูทิศทางที่ปี้เยว่ฮูหยินหนีไป กงซุนลี่เต้าก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

ซือถูฉิงหลันหยิบระฆังดาราออกมาเขย่าพักหนึ่ง พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็มองไปทางที่ปี้เยว่ฮูหยินหลบหนีเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง! จับตาดูไว้แล้ว ทางนั้นส่งคนไปเฝ้าไว้ยังทิศทางต่างๆ แล้ว ไม่ว่านางจะหนีไปทิศไหน ข้างหน้าก็จะมีคนรออยู่ล่วงหน้า หนีไม่พ้นสายตาพวกเราหรอก”

กงซุนลี่เต้าพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดเด็ดขาด ประมุขขุนพลกำชับมาเป็นพิเศษ บอกว่านี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เจ้ากับข้าออกหน้าเอง”

“ไม่รู้ว่ากำลังเล่นบทไหนกันแน่?” ซือถูฉิงหลันถาม

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่นบทไหน เหมือนจะเป็นผู้ผู้บังคับบัญชาของประมุขปราชญ์ทางฝั่งโจรกบฏ” กงซุนลี่เต้าตอบ

“ประมุขปราชญ์? ” ซือถูฉิงหลันหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ “เจ้าก็เรียกได้คล่องปากเนอะ!”

กงซุนลี่เต้าถถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้ากับไห่ยวนเค่อไปทำงานอยู่ข้างนอกพอดี พวกเจ้าสามารถหลบเลี่ยงได้ ไม่ต้องมาเยี่ยมคารวะก็ได้ แต่หลบแบบนี้จะมีประโยชน์เหรอ? พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ประมุขขุนพลอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ความเป็นความตายของทุกคนล้วนอยู่ในมือของประมุขไป๋ ต่อให้ไม่ยอมก็ต้องยอม!”

“ประมุขไป๋ เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ…” ซือถูฉิงหลันพึมพำ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางใจลอยเล็กน้อย แต่พอได้สติกลับมา นางก็เม้มริมฝีปากแล้วบอกว่า “ได้ยินว่าประมุขปราชญ์คนใหม่ท่านนี้บุกเดี่ยวโจมีตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เป็นนักพรตวรยุทธ์ระดับเดียวกัน ฟังดูน่าสนใจเหมือนกันนะ ถ้ามีโอกาสจะต้องไปเจอสักหน่อยแล้ว จะได้…” เสียงพูดพลันเงียบลง นางหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง พอเก็บระฆังดาราแล้วก็บอกว่า “เป้าหมายหยุดแล้ว”

“ไป! ไปดูกันสักหน่อย”

เงาร่างของทั้งสองเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว

“อุบ!” ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินโซเซอยู่บนพื้นเอามือกุมหน้าอกพร้อมกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง นางนั่งอยู่ข้างหินก้อนหนึ่ง พอหย่อนก้นลงบนพื้น ก็หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งออกมา จับยัดเข้าปากทั้งต้น ไม่สนใจกิริยาท่าทางและภาพลักษณ์อะไรอีกแล้ว การปกป้องชีวิตสำคัญกว่า นางรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ย่อยยา

หนีไม่ไหวแล้ว หนีไม่ไหวแล้วจริงๆ บาดเจ็บสาหัสมาก! นางสงสัยว่าถ้าไม่มีเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์คอยปกป้องร่างกาย ก็เกรงว่าจะชะตาขาดไปแล้ว

ไม่ต้องสงสัยในสรรพคุณทางยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวเลย รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บทุเลาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็พาร่างที่สวมเกราะรบลุกขึ้นมา มัดรวบผมที่ปล่อยยุ่งสยาย เกล้าไว้บนยอดศีรษะราวกับต้นหญ้า แล้วนำเกราะหัวที่ห้อยอยู่บนบ่ามาสวมไว้บนหัวอีกครั้ง จากนั้นหันมองพื้นที่รกร้างที่ไร้ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ

น่ากลัวเกินไปแล้ว! นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเพิ่งจะเข้านรกมาได้ไม่นานก็เจอกับโจรกบฏซะแล้ว และยิ่งนึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับยอดฝีมือสำแดงฤทธิ์

เพื่อนร่วมทางของนางก็สวมเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์เช่นกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายตบที่เดียวจนร่างกายที่มีเลือดเนื้อพุ่งออกมาจากเกราะรบราวกับเศษเนื้อ ตัวนางที่ได้รับผลกระทบจากอานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตีก็สะเทือนจนกระเด็นออกมา ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะโต้ตอบเลย

พอนึกถึงฉากนั้น นึกถึงฉากที่มีคนเป็นๆ ถูกเกราะรบบดอัดจนเป็นเศษเนื้อพุ่งออกมา ปี้เยว่ฮูหยินก็สะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียน ที่มากกว่านั้นคือกลัวจนตัวสั่น นึกไม่ถึงว่าแดนอเวจีจะอันตรายขนาดนี้!

นางหันมองรอบๆ อย่างระวังตัว เมื่อไม่พบว่ามีใครไล่ตามมาอีก ดวงตานางก็แดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นออกมา เรียกได้ว่าดีใจจนน้ำตาร่วง รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดมาจากเงื้อมมือยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าไม่ใช่เพราะมียอดฝีมืออีกคนโผล่มาทำให้ยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวคนนั้นเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี ตัวเองก็คงจะไม่รอด การที่สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้นั้นช่างโชคดีจนทำให้พูดไม่ออกจริงๆ

ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว นางใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวยมาตลอด มีสามีที่เป็นท่านโหวคอยหนุนหลัง เคยถูกทำให้ตกใจมากขนาดนี้เสียที่ไหนกัน!

ปี้เยว่ฮูหยินเช็ดน้ำตาตัวเอง นางรู้สึกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นาน แต่พอมองดูดาราจักรที่ประหลาดลึกลับ นางก็ไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่วเลยจริงๆ ถ้าไปเจอโจรกบฏอีกจะทำอย่างไรล่ะ?

นางจึงหันมองสำรวจสภาพพื้นที่โดยรอบ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ทำความสะอาดเลือดที่ปกคลุมพื้นดินเมื่อครู่นี้ก่อน ในเมื่อตัดสินใจจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ก็ไม่ควรจะทิ้งเบาะแสอะไรไว้

จากนั้นก็รีบแฉลบไปยังด้านข้างก้อนหินทันที นางจำได้ว่าเห็นหุบเขาแห่งหนึ่งตอนที่เหาะลงมาจากฟ้า

ข้างหน้ามีหุบเขาที่เป็นเหวจริงๆ ปี้เยว่ฮูหยินถลันตัวเข้าไป หลังจากค้นหาจนทั่วในหุบเขา ก็พบจุดที่เหมาะสมแล้ว นางเริ่มร่ายอิทธิฤทธิ์ขุดถ้ำ ไม่กล้านำเศษหินและดินที่ขุดออกมาโยนทิ้งซี้ซั้ว เก็บเข้าในแหวนเก็บสมบัติทั้งหมด

นางกลับไม่สังเกตเห็นว่าด้านบนของหุบเขามีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ มองลงมาในหุบเขาและรีบหดหัวกลับ จากนั้นหันกลับไปส่งสัญญาณมือตรงจุดไกลๆ ทำให้มีคนสี่คนโผล่ออกมาและกระจายตัวทันที มาเฝ้าในขอบเขตหุบเขานี้

ส่วนชายหนุ่มคนนั้นก็ถอยออกไปเงียบๆ หลังจากออกไปไกลแล้ว ถึงได้ร่ายอิทธิฤทธิ์เหาะออกไป ไปเหยียบลงในพื้นที่รกร้างที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ พอเห็นกงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันที่กำลังยืนเอามือไขว้หลัง เขาก็ชี้ไปยังจุดที่ปี้เยว่ฮูหยินเตรียมจะซ่อนตัว แล้วรายงานสถานการณ์

ส่วนในหุบเขา ปี้เยว่ฮูหยินที่ขุดถ้ำลึกโผล่ขึ้นมาจากหุบเขาอีกครั้ง นางเหลียวซ้ายแลขวาตรวจสอบจนทั่ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครพบ นางกลับกลับเข้ามาในหุบเขาอีก จากนั้นย้ายหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งมาไว้ตรงปากถ้ำ หินก้อนนี้ย่อมย้ายมาเพื่อปิดปากถ้ำอยู่แล้ว นางฝังเลี่ยมไว้บนปากถ้ำ ถ้ามองจากข้างนอกก็ไม่รู้เลยว่าใต้นั้นเป็นโพรงถ้ำสำหรับซ่อนตัว

ผ่านไปไม่นาน กงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันก็ปรากฏตัวบนหน้าผาด้านบนหุบเขาอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นชายหนุ่มที่ติดตามมาก็ชี้ก้อนหินใหญ่ตรงปากถ้ำ บอกใบ้ว่านั่นคือจุดซ่อนตัวของปี้เยว่ฮูหยิน

“จับตาดูไว้ให้ดี ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงให้ติดต่อข้าทันที” ซือถูฉิงหลันเอ่ยสั่ง จากนั้นนางกับกงซุนลี่เต้าก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน

การที่พวกเขาสองคนออกมาแสดงละครด้วยตัวเอง ก็นับว่าไว้หน้าปี้เยว่ฮูหยินมากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่…

ตำหนักคุ้มเมืองเงียบสงัด ตึกเล็กอาบอยู่ภายใต้เม็ดฝนเล็กละเอียด เหมียวอี้ยืนเงียบๆ พิงระเบียยงฟังเสียงหยดน้ำฝนนอกชายคา

ส่วนด้านในตึก น้ำชาต้มสุกแล้ว จีเหม่ยลี่ที่กำลังนั่งยองๆ ใช้สองมือทัดปอยผมมาไว้ที่หลังหู แล้วยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยสองถ้วย จากนั้นถือถ้วยหนึ่งยืนขึ้น แล้วเดินช้าๆ ไปตรงประตู แล้วยืนพิงวงกบประตู

ท้องฟ้ามืดครึ้ม ตำหนักคุ้มเมืองถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝน ตึกเล็กเปียกฝนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ ด้านนอกประตูบนตึกมีชายรูปร่างสูงผึ่งผายยืนพิงระเบียง ใบหน้าเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง สายตามองเหม่อผ่านม่านฝน มีสาวงามยืนพิงข้างวงกบประตูที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่ม ในมือกำลังถือถ้วยน้ำชาร้อน

ภาพนี้ให้ความรู้สึกงดงามราวกับภาพวาดและบทกวี

การเป็นมนุษย์ช่างดีจริงๆ! ไม่แปลกใจที่นักพรตปีศาจในใต้หล้าถึงเลือกที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ทันทีตอนที่ฝึกตนจนกะเทาะเปลือกได้ การเป็นมนุษย์คือเรื่องที่สูงส่งสง่างามจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ป่าไร้อารยธรรมจะเทียบติด

จู่ๆ ในใจจีเหม่ยลี่ก็รู้สึกสะท้อนใจ นางพบว่าตัวเองชอบความรู้สึกแบบนี้มาก นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าถ้าได้อยู่อย่างนี้ไปทั้งชีวิตก็คงจะไม่เลวเลย ทว่าระหว่างทั้งสองมีความจำใจเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่นนาง ข้างหลังนางยังมีตระกูลจี เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้ามเหมือนไม่มีอยู่

พอได้สติกลับมาแล้ว ริมฝีปากแดงของนางก็เป่าไอร้อนขึ้นมาจากถ้วยน้ำชา นางจิบช้าๆ คำหนึ่ง แล้วชำเลืองมองเงาร่างที่กำลังยืนพิงระเบียง สุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว กำลังคิดอะไรอยู่?”

เหมียวอี้หันหน้าหน้าละอองฝน แล้วยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก กำลังรอข่าวบางอย่าง วันนี้คงจะได้ผลลัพธ์แล้ว”

จีเหม่ยลี่แวววตาวูบไหว ถามว่า “กำลังรอข่าวอะไร?”

“ถ้าสามารถบอกเจ้าได้ ข้าก็คงบอกเจ้าไปแล้ว ดังนั้นสิ่งไหนไม่ควรถาม เจ้าก็ไม่ต้องถาม คนที่มีสิทธิ์ยุ่งมากขนาดนั้นคือฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก มีอวิ๋นจือชิวควบคุมข้าคนเดียวก็พอแล้ว ถ้าพวกเจ้ากลายเป็นอวิ๋นจือชิวกันหมด แล้วถึงตอนนั้นข้าจะไปหลบที่ไหนล่ะ? อยู่ที่ตำแหน่งของตัวเองอย่างว่านอนสอนง่ายก็พอแล้ว ทำหน้าที่อนุภรรยาของเจ้าให้ดี อย่ามายุ่งเยอะเกินไป ข้าเลี้ยงเจ้าได้ทั้งชีวิต หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดนี้ของข้าเอาไว้! ไม่อย่างนั้น…” เหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มยังพูดไม่จบ แต่ย่นมือมาลูบใบหน้าของนางแทน แล้วถือโอกาสหยิบถ้วยน้ำชาในมือนางมาจ่อตรงปาก

จีเหม่ยลี่ที่กำลังครุ่นคิดกล่าวห้ามว่า “ถ้วยนี้ข้าดื่มไปแล้ว ข้างในยังมีอีกถ้วยที่รินไว้ให้แล้ว”

เหมียวอี้ยักไหล่ ไม่ถือสาอะไร นำถ้วยน้ำชามาจ่อตรงปาก แล้วหันตัวไปมองม่านละอองฝนพลางจิบน้ำชาอย่างเนิบนาบ

จีเหม่ยลี่ยืนพิงวงกบประตูพลางมองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้ามองดูละอองฝนที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

ทว่าความสงบสุขที่เกิดขึ้นไม่บ่อยก็คงอยู่ไม่นาน เหมียวอี้ส่งถ้วยน้ำชากลับมาที่มือนางอีก แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาฟังข่าว

หลังจากเห็นเขาตอบกลับไปแล้ว จีเหม่ยลี่ก็เห็นเขาหยิบระฆังดาราอีกอันออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าเขากำลังทำอะไร…

ปี้เยว่ฮูหยินที่หลบอยู่ในถ้ำก็ติดต่อกับภายนอกเช่นกัน ติดต่อท่านโหวเทียนหยวนพร้อมความหวาดผวาที่หลงเหลืออยู่ในใจ นางเล่าถึงความน่าหวาดกลัวที่ตัวเองประสบ เล่าไปเล่ามา พอนึกขึ้นได้ว่าอนาคตไม่แน่นอนนางก็เริ่มร้องไห้อีก น่าเสียดายที่ท่านโหวเทียนหยวนไม่ได้เห็น

ท่านโหวเทียนหยวน : เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์? หน้าตาเป็นยังไง?

ปี้เยว่ฮูหยินบรรยายลักษณภายนอกของสองคนที่ตัวเองเห็นให้ฟังทันที

ท่านโหวเทียนหยวนได้ยินแล้วตกใจ ตอบกลับไปว่า : ฮูหยิน ครั้งนี้เจ้าดวงแข็งจริงๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่เจ้าเจอคงจะเป็นกงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันของลัทธิอู๋เลี่ยง บางทีสองคนนั้นอาจจะเกิดความขัดแย้งอะไรกันแล้วทะเลาะกันขึ้นมา เจ้าถึงได้โอกาสรอดพ้นหายนะครั้งนี้

ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าไม่สนใจมากขนาดนั้นหรอกว่าเขาจะเป็นใคร ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าตอนนี้ข้าควรทำยังไง? เจ้าต้องหาทางช่วยชีวิตข้านะ

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset