เหมียวอี้ย่อมขอบคุณที่เขาเตือน แต่ก็ยังไม่สงบใจนิดหน่อย “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง กลัวก็แค่ว่าพวกเขาจะลักลอบทำ!”
อวิ๋นอ้าวเทียนส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราหกปราชญ์กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ มีใครบางที่ไม่สูญเสียลูกหลานหรือว่าลูกศิษย์ ข้าสูญเสียลูกชายลูกสาวไปมากขนาดนั้น แต่จะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ? สถานการณ์สำคัญกว่าตัวบุคคล ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าไม่ทนกับเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้แผนการใหญ่วุ่นวาย พูดให้ชัดก็คือ ถ้ากำจัดอีกฝ่ายไม่ได้ก็ทำได้เพียงทนไว้ ถ้ามัวพัวพันอยู่กับตัวละครเล็กๆ อย่าเจ้าตลอดจนสองแดนต้องฉีกหน้ากัน แบบนั้นไม่คุ้มค่าสำหรับพวกเขา เพราะเจ้าไม่ได้มีค่าขนาดนั้น จะให้ลักลอบทำก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน สรุปว่าเจ้าระวังตัวเอาไว้หน่อย ตอนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวก็พยายามอย่าเปิดเผยเบาะแสของตัวเอง อย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสลอบลงมือ แล้วก็อย่าไปรนหาที่ตายถึงอาณาเขตของเขาเหมือนครั้งนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องเล่นงานให้เจ้าตายแน่นอน”
คำพูดเหล่านี้นับว่าเป็นคติพจน์คัมภีร์ทอง เหมียวอี้กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ครั้งนี้เจ้าทำให้ท่านทูตทั้งสี่ของแดนเซียนตาย มู่ฝานจวินเตรียมจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”
“ข้าให้ดาบวิเศษนางไปแล้ว ถือว่าทำผลงานชดเชยความผิดเหมือนกัน ข้าอยู่ในตำแหน่งประมุขปราสาทต่อไปไม่ได้อีก เงื่อนไขผ่อนผันโทษที่นางเสนอก็คือ ให้ข้าโน้มน้าวให้นางเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน แล้วก็ให้นางเป็นประมุขปราสาท ให้ข้าเป็นที่ปรึกษาลูกน้องของนาง”
“ให้น้องชิวเป็นประมุขปราสาท ส่วนเจ้าเป็นที่ปรึกษา…” อวิ๋นอ้าวเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วมองเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บทจะไปก็ไปเลย ไม่ได้บอกคนในตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วย นำอวิ๋นเป้าออกไปจากที่นั่นโดยตรง
เหมียวอี้เชื่อฟังที่เขากำชับ เข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยอ้างว่าจะไปรายงานว่าอวิ๋นอ้าวเทียนออกไปแล้ว แล้วบอกมู่ฝานจวินว่าขอตัวอำลา มู่ฝานจวินอนุญาตแล้ว
เหมียวอี้ไม่กล้าอยู่ต่อนาน ออกมาจากที่นั่นทันที หลังจากประชุมกับประมุขถิ่นสี่ทิศและแน่ใจแล้วว่าเยารั่วเซียนออกไปแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปพร้อมกันทันที
ขณะที่เขาเริ่มออกเดินทางกลับมา ข่าวเปลี่ยนตัวท่านทูตของสายมะโรงก็แพร่ออกไปแล้ว จงเจิ้นมารับตำแหน่งแทนแล้ว
เหล่านางบำเรอของเยว่เทียนโปที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จงเจิ้นจะรับผู้หญิงพวกนี้ของเยว่เทียนโปเอาไว้ พอมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง เรื่องแรกที่ทำก็คือไล่ผู้หญิงพวกนี้ออกไป มู่ฝานจวินเองก็นับว่าดูแลครอบครัวของลูกน้องเป็นอย่างดี จงเจิ้นมาพร้อมกับคำสั่งของท่านปราชญ์ ว่าเหล่านางบำเรอที่สนิทสนมกันพวกนั้น สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไปกับใคร ถ้าไม่มีทางไป ก็จะจัดให้เข้าไปอยู่ในสมาคมร้านค้าแดนเซียนทั้งหมด
ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ครอบครัวของท่านทูตทั้งสี่สายก็ถูกจัดการให้แบบนี้เช่นกัน
ข่าวระหว่างปราสาทย่อมเร็วกว่าข่าวระหว่างตำหนักอยู่แล้ว ต่อให้ยอดเขาหยกนครหลวงจะไม่ได้ปล่อยข่าวออกมา แต่ทางปราสาทดำเนินสุริยันก็ได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน ท่านทูตสายมะโรงสิ้นชีวิตแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวการสำคัญจะเป็นเหมียวอี้ประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้คนมากมายเท่าไรตกตะลึง
หยางชิ่งที่ได้รับข่าวค่อนข้างทนไม่ไหวกับแรงปะทะแบบนี้ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ย่างหดหู่ แล้วเอามือกุมอกพลางกล่าวทอดถอนใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าการที่เขากลับมาไม่ใช่เรื่องดีอะไร ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่แปลกใจเลย…”
ความรู้สึกของหยางชิ่งในตอนนี้ ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว เขาโบกมือให้ชิงเหมยกับชิงจวี๋ถอยไป ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น อยากจะคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้
โชคดีที่ผ่านไปแค่ครู่เดียว ชิงเหมยกับชิงจวี๋ก็รีบวิ่งเข้ามา มาพร้อมกับข่าวดี “นายท่านเจ้าคะ ประมุขปราสาทกลับมาแล้ว!”
หยางชิ่งลุกพรวดแล้วเดินออกไปทันที…
เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยันของสายมะโรง ประมุขถิ่นทั้งสี่ก็ไม่ได้เข้ามา กล่าวอำลาตั้งแต่ตอนเหาะอยู่บนฟ้าแล้ว ครั้งนี้ก่อเรื่องจนจีฮวนไม่ค่อยพอใจ ไม่อาจจะละเลยความรู้สึกของฝ่ายจีฮวนได้
พอเหมียวอี้กลับมา อวิ๋นจือชิวที่ก็รีบออกมาต้อนรับเขาที่ประตูตำหนักหลัง พอเห็นว่าเขากลับมาในสภาพสมบูรณ์ นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาที่ร้อนรนกังวลใจหายไปแล้ว
ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีระฆังดาราติดต่อกัน และรู้แล้วว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ถ้ายังกลับมาไม่ถึงก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
อวิ๋นจือชิวแต่งตัวราวกับมารดาแห่งใต้หล้าทว่างดงามเย้ายวนใจ เพราะอยู่ต่อหน้าคนนอก นางจึงเข้ามาย่อเข่าคำนับ “ยินดีต้อนรับนายท่านกลับมาค่ะ!”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน ส่วนฉินเวยเวยก็เข้ามากุมหมัดคารวะ ถ้าเหมียวอี้ยังไม่กลับมา นางก็ไม่มีทางกลับตำหนักตัวเองอย่างสงบใจ รอฟังข่าวอยู่ที่นี่ตลอด
เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนัก
อวิ๋นจือชิวลากกระโปรงยาวและหันตัวไปเดินข้างกายเขา หลังจากก้าวเข้าตำหนัก นางก็รับน้ำชามาวางไว้ข้างๆ เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก่อนจะยืนขึ้นและถามว่า “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
เหมียวอี้กระดกถ้วยน้ำชาลงคอ พอวางถ้วยน้ำชาลงก็หัวเราะอย่างขื่นขม “ทำท่านทูตตายไปสี่คน จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร”
อวิ๋นจือชิวรีบยกกระโปรงแล้วนั่งลงข้างๆ “อธิบายมาซิ?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่อยากให้เป็นอะไรก็ง่ายมาก มู่ฝานจวินลั่นวาจามาแล้ว ขอเพียงเจ้าเป็นฝ่ายขอเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ตั้งแต่นี้ไปเชื่อฟังคำสั่งนาง นางก็จะผ่อนผันโทษเรื่องนี้ให้”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วพึมพำว่า”ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าข้ามาก่อน ข้ารู้ว่านางต้องการทำให้ท่านปู่ข้าลำบากใจ ข้าก็เลยไม่เคยตอบตกลง นึกไม่ถึงว่านางจะอาศัยโอกาสนี้… ไม่มีทางเลือกแล้ว ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนก็ได้”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หลังจากเจ้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ข้าก็จะต้องถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน แล้วเจ้าก็เป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยันต่อ”
“นี่มันใช่เรื่องเหรอ? แบบนี้จงใจทำให้เจ้าเสียหน้ารึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวงงมาก
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่อย่างนั้นจะเรียว่าลงโทษได้อย่างไรล่ะ? เอาอย่างนี้นั่นแหละ เจ้ากับข้าใครเป็นประมุขปราสาทก็เหมือนกัน หลายปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ทำหน้าที่เหมือนประมุขปราสาทไม่ใช่เหรอ”
อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอ เหล่ตาพลางยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม “งั้นเจ้าจะถอนหายใจหายทำไม? ปกติผู้ชายเป็นใหญ่เหนือผู้หญิง เจ้ารู้สึกไม่พอใจเหรอที่ข้ากดเจ้าอยู่ข้างบน?”
เหมียวอี้ไอหนึ่งที ฉินเวยเวยก็อยู่ด้วยนะ พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอกคงไม่ดีนัก จึงยิ้มพร้อมบอกฉินเวยเวยทันที “เวยเวย เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นประมุขปราสาทก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหรอก ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่ได้กลับตำหนักเลยใช่มั้ย รีบกลับไปเถอะ”
อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ
เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ฉินเวยเวยเองก็รู้ว่าสองสามีภรรยาต้องการจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน ถ้านางอยู่ที่นี่พวกเขาจะไม่สะดวก จึงขอตัวลากลับไป
หลังจากฉินเวยเวยไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบถามอีกว่า “หนิวเอ้อร์ เยารั่วเซียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เหมียวอี้มองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังทำหน้าสีหน้าเครียดกังวล แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ครั้งนี้พ่อบุญธรรมของพวกเจ้าทำเอาข้ายับเยินเลย ก่อเรื่องหวาดเสียวมาก เกืบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง…”
เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ผู้หญิงทั้งสามก็อกสั่นขวัญผวา พอได้ยินว่าเหมียวอี้เล่นละครทำร้ายตัวเองจนสาหัสที่แดนโพนสวรรค์เพื่อส่งตัวเยารั่วเซียนออกไป อวิ๋นจือชิวก็ปวดใจสุดๆ ด่าเยารั่วเซียนว่าต้องโดนลงโทษสักพันดาบ
ขณะเดียวกันก็รู้สึกนับถือเหมียวอี้แล้วจริงๆ ยิ่งนับวันยิ่งพบว่าสามีตัวเองเก่งกาจ ภายใต้สถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังช่วยเยารั่วเซียนออกไปได้ ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนจะนับว่ามีความสามารถล่ะ?
หลังจากฟังจบแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็คุกเข่าพร้อมกัน “บุญคุณอันใหญ่หลวงที่นายท่านช่วยชีวิตไว้ บ่าวทั้งสองขอขอบคุณแทนท่านพ่อบุญธรรม”
เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย “มันผ่านไปแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ครอบครัวเดียวกันย่อมพูดจาภาษาเดียวกัน เพียงพ่อบุญธรรมของพวกเจ้าคงเผยโฉมไม่ได้อีกแล้ว ครั้งนี้เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง เดี๋ยวข้าค่อยคิดหาทางส่งเขาไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย อีกสามสี่วันพวกเจ้าค่อยไปหาเขาที่อู่ต่อเรือ ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาซ่อนตัวแต่โดยดีนะ ถ้าหนีออกไปแล้วโดนคนจับตัว ต่อให้ข้ามีสามหัวหกมือก็ช่วยเขาไม่ได้เหมือนกัน”
“เจ้าค่ะ!” ลุกขึ้นแล้วเอ่ยรับ
ฉินเวยเวยที่ออกมาจากตำหนักหลังบังเอิญปะกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยกำลังคำนับ แต่ในใจหยางชิ่งกลับมีไฟโกรธลุกพรึ่บ ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ชอบมาอยู่ที่ตำหนักหลังของประมุขปราสาทบ่อยๆ มันใช่เรื่องถูกประเพณีเหรอ? ไม่กลัวว่าข้างนอกจะมีข่าวลือไม่ดีรึไง?”
ฉินเวยเวยก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร นางปิดบังหยางชิ่งเรื่องที่ไปสำนักงามวิจิตรมาตลอด ถ้าพูดออกมาจริงๆ เกรงว่าจะแย่กันไปใหญ่
ด่าก็ส่วนด่า แต่พอด่าเสร็จแล้วเห็นท่าทางนางเป็นอย่างนั้น หยางชิ่งก็ทำใจไม่ลง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนลงว่า “ได้ยินว่าประมุขปราสาทกลับมาแล้วเหรอ สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรค่ะ…” ฉินเวยเวยเล่าเรื่องที่เหมียวอี้โดนลดขั้นให้กลายเป็นที่ปรึกษา แล้วให้อวิ๋นจือชิวขึ้นเป็นประมุขปราสาทแทนให้ฟัง
“ฮูหยินเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท…” หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง หยางชิ่งก็โบกมือบอกให้ฉินเวยเวยกลับไปพร้อมกับตนทันที เขาเองก็ไม่เข้าพบแล้ว
เหมียวอี้โดนลดขั้น อวิ๋นจือชิวถูกเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท หยางชิ่งยกสองมือเห็นด้วย เพราะสมกับที่ใจเขาปรารถนามาก ถ้าปล่อยให้เหมียวอี้ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ต่อไป เขาจะต้องใจสลายแน่นอน เขากลัวว่าตอนนี้เหมียวอี้จะอารมณ์ไม่ดี ผู้การใหญ่อย่างเขาไม่เข้าไปแสดงท่าทีอะไรแล้ว
ทางมู่ฝานจวินก็ไม่ได้ถ่วงเวลาเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวเขียนหนังสือแสดงความเต็มใจที่จะเข้าสู่ทะเบียนรายชื่อเซียน เบื้องบนอนุมัติทันที ขณะเดียวกันคำสั่งแต่งตั้งจากยอดเขาหยกนครหลวงก็มาถึงแล้ว เหมียวอี้ถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน ส่วนอวิ๋นจือชิวเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน
ปราสาทดำเนินสุริยันถ่ายทอดคำสั่งนี้ลงไปเช่นกัน ประมุขตำหนักแต่ละสายมารวมตัวกันเพื่อเยี่ยมคารวะประมุขปราสาทคนใหม่ทันที ถึงแม้หลายปีมานี้อวิ๋นจือชิวจะไม่ต่างอะไรกับประมุขปราสาท ทุกคนแทบจะมองนางเป็นประมุขปราสาทแล้ว แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พิธีการที่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ประมุขตำหนักทั้งสิบสายมารวมตัวกันที่ตำหนักประชุม โอกาสแบบนี้ถ้าเหมียวอี้ไม่โผล่หน้ามาสักหน่อยก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะนินทาว่าเข้าหน้าไม่อาย เพื่อที่จะแสดงความใจกว้างของตัวเอง นายท่านที่ตอนเป็นประมุขปราสาทแทบจะไม่ค่อยโผล่หน้ามา ครั้งนี้กลับปรากฏตัวแล้ว
เพียงแต่ตำแหน่งในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นนั่งเบื้องบน ทำได้เพียงยืนประสานมือตรงหน้าท้องอยู่เบื้องล่างอย่างว่านอนสอนง่าย ตำแหน่งยืนอยู่หน้าสุด แต่เทียบกับหยางชิ่งและเหยียนซิวที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาใต้บันไดบัลลังก์ไม่ได้
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังคงยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์เหมือนเดิม บนบัลลังก์มีอวิ๋นจือชิวที่สวมมงกุฏหงส์และแต่งกายเต็มยศนั่งอยู่ ใบหน้างามสง่าทว่าหยาดเยิ้มแพรวพราว งดงามน่าประทับใจ มีมาดของประมุขปราสาทเต็มเปี่ยม เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างแล้วมองนางอย่างนั้น แอบปวดใจนิดหน่อย ไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง
“คำนับประมุขปราสาท!” เหมียวอี้ยังต้องพูดคำนับตามคนอื่นๆ ด้วย
มีสายตาของคนไม่น้อยที่แอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ไม่ว่าจะโดนลดขั้นหรือไม่ ทุกคนก็ยังเคารพนับถือเขา ตอนที่ไม่เคลื่อนไหวก็หายเงียบ แต่พอเคลื่อนไหวทีก็ก่อเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ท่านทูตของแดนเซียนตายไปสี่คนในรวดเดียว ไม่โดนตัดหัวก็นับว่าดวงชะตาแข็งแล้ว
แต่การลงโทษของเบื้องบนก็เจ้าเล่ห์พอสวมควร ชัดเจนว่าต้องการให้เมียของเขากดหัวเขา แนวคิดผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เกรงว่าจะต้องกลับตาลปัตรแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขหรือไม่
ทุกคนทยอยกันรายงานสถานการณ์ในอาณาเขตที่ตัวเองปกครอง พอถึงตาเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ตอบประโยคเดียวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ยังไม่รู้สถานการณ์”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนค่อนข้างปวดใจ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรแอบกลั้นขำ แม้แต่หยางชิ่งเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ