เวลาไม่คอยใคร ต้องจัดการเรื่องนี้ให้สงบก่อนหน้าเกาก้วน
ทั้งสองที่ได้ปรึกษาหารือกันแล้วนำแผนไปปฏิบัติจริงทันที ทั้งสองก้าวยาวเดินออกจากตึกไป จาหรูเยี่ยนยืนอ่อนปวกเปียกอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าขวางทาง ตอนนี้นายท่านกำลังโมโหเดือดดาล
เพียงแต่ตตอนที่เดินผ่านนาง เฉินหวยจิ่วกลับเตือนว่า “นายท่าน ฮูหยินอยู่ที่นี่…”
ถ้าไม่เตือนสักหน่อยก็คงไม่ได้ เพราะเขาถูกฮูหยินคนนี้ทำให้กลัวแล้วจริงๆ นี่เป็นการก่อเรื่องที่วุ่นวายมากขนาดไหน ชะตากรรมของตระกูลผังใกล้จะถูกทำลายแล้ว จะให้เกิดเรื่องอะไรตรงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไม่ได้อีก
ผังก้วนหยุดฝีเท้า พอรู้ตัวแล้วก็หันตัวช้าๆ มาหาจาหรูเยี่ยน แล้วกล่าวอย่างดุร้ายว่า “นางตัวดี! เจ้าฟังให้ดีนะ เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่นี้แล้ว พอออกจากประตูบานนี้ไป ปกติเจ้าทำตัวยังไงเจ้าก็ทำตัวอย่างนั้น ควรจะกินก็กินควรจะดื่มก็ดื่ม ควรจะไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มฮูหยินว่างงานที่ไหนก็ไป ทำตัวให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าเผยพิรุธที่ผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น เข้าใจมั้ย?”
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็อยากจะฟันผู้หญิงโง่คนนี้ให้ตายจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังฆ่าไม่ได้ เพื่อความมั่นใจและเชื่อถือได้ กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องโง่ๆ อะไรอีก เดิมทีเขาควรจะขังผู้หญิงคนนี้ไว้ถึงจะถูก แต่ก็ขังไม่ได้อยู่ดี ทั้งยังตบตีไม่ได้ด้วย ขนาดด่ายังทำได้เพียงด่าลับหลัง ไม่อย่างนั้นความผิดปกติทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาได้ เขารู้สึกเหมือนโดนชะตาของผู้หญิงคนนี้ข่มจนจะตายอยู่แล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แต่ตนกลับทำอะไรนางไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่งงานรับผู้หญิงประเภทนี้มา ตอนนี้เขาอยากจะเอาเชือกมาผูกคอตายเสียให้มันจบๆ ไป
“อื้มๆๆ!” จาหรูเยี่ยนพยักหน้าซ้ำๆ อย่างว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังแบบสุดๆ
แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่ทำลับหลัง ก็กลายเป็นความแตกต่างที่เห็นชัดมากจริงๆ ผังก้วนเห็นแล้วเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะตบนางสักหนึ่งฉาด ได้แต่ย่ำเท้าตะคอกว่า “อื้มๆ อะไรของเจ้า? ดาบจะจ่อมาถึงคออยู่แล้ว ข้าถามว่าเจ้าเข้าใจรึยัง?”
จาหรูเยี่ยนตกใจจนเหมือนลูกไก่น้อย ตอบอย่างตกใจกลัวว่า “เข้าใจแล้ว จำได้แล้วค่ะ!”
ผังก้วนชี้จมูกนางซ้ำๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป…
ฟ้าเพิ่งจะสว่างเล็กน้อย ดวงดาวยังคงกะพริบแสง ภายนอกตลาดสวรรค์ดูสบายดีไร้ปัญหา แต่ควันหลงของศีรษะคนแปดพันกว่ากลับยังคงแอบเดือดพล่านอย่างเงียบๆ
บนถนนยังคงมีคนสัญจรไปมาตามปกติ เรื่องของคนส่วนน้อยไม่เกี่ยวข้องกับคนส่วนมาก เป็นเพียงหัวข้อสนทนายามดื่มน้ำชาในภัตตาคารเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วยาม ทั้งตลาดสวรรค์ล้วนได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ยิ่งเข้าใกล้ตำหนักคุ้มเมือง กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งรุนแรง
“ผู้จัดการร้านโจว”
บนถนนมีคนทักทายอย่างเคารพนอบน้อม แต่โจวหรานกลับหน้าม่อนคอตก เดินห่อไหล่เดินไปข้างหน้าทีละก้าว มองข้ามคนเดินถนนที่อยู่ข้างหน้า
คนที่ทักทายเขาแปลกใจ ได้แต่จ้องเงาหลังของเขาเดินผ่านไป ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว
พอได้ยินว่าคนที่เหม่อลอยท่านนี้คือโจวหราน ผู้จัดการร้านโจวที่เพิ่งพ้นเคราะห์ใหญ่ไป บนถนนก็มีบางคนเริ่มหยุดเดินและกระซิบกระซาบกัน
“…เรื่องในครั้งนี้ทำให้เจ้าลำบากแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ทางครอบครัวของเจ้าจะเตรียมการให้เจ้าอย่างเหมาะสม ไปเถอะ!”
ในหัวของโจวหรานมีประโยคนี้ดังก้องอยู่ตลอด ขณะที่เหม่อลอยเขาเดินไปถึงถนนนอกตำหนักคุ้มเมืองโดยไม่รู้ตัว กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่โผเข้ามากระตุ้นให้เขาได้สติกลับมา เขามองซ้ายมองขวา ก่อนจะตกตะลึงไปชั่วขณะ!
บนถนนสายนี้เพิ่งจะเกิดการสังหารหมู่ คนที่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวล้วนไม่เดินผ่านที่นี่ชั่วคราว อย่างมากก็มีแค่คนยืนมองอยู่ไกลๆ ตรงจุดที่ไม่ไกลมีคนคนหนึ่งยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และกำลังมองมาทางนี้เช่นกัน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอูหันซานนั่นเอง
ทั้งสองสบตากัน ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาที่นี่เหมือนกัน บนใบหน้าทั้งสองปรากฏรอยยิ้มที่ขมขื่น
แทบจะก้าวเท้าพร้อมกัน เดินมาเจอกันจากสองจุดนั้น แล้วยืนอยู่ตรงตีนบันไดสูงของนอกตำหนักคุ้มเมือง
“ผู้จัดการร้านโจว ผู้จัดการร้านอู พวกท่านไม่รู้ธรรมเนียมกฎระเบียบเหรอ ไม่อนุญาตให้คนนอกมาหยุดอยู่ตรงนี้ตามอำเภอใจ!” ทหารยามที่ขวางไว้กล่าวเตือน
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง โจวหรานกุมหมัดคารวะ เจียดรอยยิ้มที่ฝืนทนออกมา “รบกวนไปรายงานสักหน่อย บอกว่าพวกเรสองคนขอพบผู้บัญชาการใหญ่”
“รอสักครู่!” ทหารยามคนหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับคนข้างใน หลังจากได้รับคำตอบแล้ว ทหารยามก็ตอบว่า “ผู้จัดการร้านโจว ผู้จัดการร้านอู ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้ว ว่าตอนนี้เขาไม่อยากพบท่านทั้งสอง”
ทั้งสองได้ยินแล้วฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวดพร้อมกัน ซวบ! จู่ๆ อูหันซานก็ชักกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งออกมา
“อูหันซาน ท่านคิดจะทำอะไร?” ทหารยามตกใจ รีบชี้ทวนไปที่อูหันซานพร้อมกล่าวเตือน บนบันไดมีคนสิบกว่าคนถลันตัวลงมา ราชาปีศาจเลี่ยหวนที่ผลัดเวรนำทหารมาตะคอกด้วยน้ำเสียงดุร้าย “คิดจะก่อกบฏรึไง!”
ใครจะคาดคิด อูหันซานยกมือจับมวยผมของตัวเองไว้ แล้วกระบี่วิเศษที่อยู่ในมืออีกข้างก็พลันกวาดไปที่คอของตัวเอง เรียกได้ว่าไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ฉึก! ตรงจุดที่คอขาดมีเลือดพุ่งขึ้นฟ้า เลือดร้อยๆ สาดใส่บนตัวโจวหรานที่อยู่ข้างกัน ทำให้โจวหรานที่มีละอองเลือดเต็มหน้าตัวสั่น งงเป็นไก่ตาแตก
ศีรษะของอูหันซานถูกถืออยู่ในมือของตัวเอง ร่างที่ไม่สมประกอบสั่นไหว ตุ้บ! ล้มลงพื้นพร้มอเลือดที่ไหลพราก
กลุ่มทหารยามตะลึงค้าง เลี่ยหวนก็ตกใจจนอ้าปากค้างเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะชักกระบี่ออกมาปาดคอตัวเอง?
โจวหรานที่อยู่ข้างกันหันตัวอย่างโซเซ กลุ่มทหารยามเอียงหน้าช้าๆ มองไปทางเขา มองดูเขาเดินไปอีกทางหนึ่ง
“ผู้จัดการร้านโจว…” เลี่ยหวนพลันยื่นมือพร้อมอุทานเรียก
ปั้ง! เห็นเพียงโจวหรานพลันพุ่งเข้าไปอย่างรุนแรง เอาศีรษะพุ่งชนบนเสาที่อยู่ข้างบันได ชนจนเลือดสดพุ่งออกมา ศีรษะแตกจนของเหลวกระเด็น ศีรษะแบนลีบไปแล้วเกินครึ่ง ร่างกายอ่อนยวบคาที่ หมอบบนเสาแล้วไหลลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายชักกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป เลือกสดค่อยๆ ไหลย้อยอยู่บนพื้น
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้ทำให้คนนึกไม่ถึงจริงๆ เลี่ยหวนยื่นมือค้างอยู่กลางอากาศ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อุตส่าห์ปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ฆ่าพวกเจ้าแล้ว แต่ยังถ่อกลับมาฆ่าตัวตายอีกเหรอ?
กลุ่มทหารยามมองหน้ากันเลิกลั่ก
คนเดินถนนที่เดิมทีได้ยินว่าตรงนี้เพิ่งมีการประหารคนจำนวนมากวิ่งมาดู เมื่อได้เห็นฉากนี้กะทันหันก็พากันสูดหายใจอย่างตกตะลึง ไม่นานตรงปากทางก็มีคนมารวมตัวกันเป็นโขยง
มีคนสองกลุ่มเดินออกมาจากฝูงชน เป็นพนักงานในร้านค้าของตระกูโค่วกับร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ละคนวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าโศก พวกเขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น ยกร่างโจวหรานและอูหันซานแล้วเลี้ยวเดินจากไปทันที หรือพูดได้อีกอย่างว่าได้แต่มองดูสองคนนี้ฆ่าตัวตาย ไม่มีใครห้ามพวกเขา
ในเวลานี้ หัวหน้ากับร้องหัวหน้าสมาคมร้านค้าตายหมดแล้ว บ้างก็โดนสังหาร บางก็ปลิดชีพตัวเอง นอกตำหนักคุ้มเมืองที่เพิ่งทำความสะอาดได้ไม่นานมีกลิ่นคาวเลือดเพิ่มอีกครั้ง ทำให้ผู้คนยิ่งหวาดกลัวตำหนักอันเงียบขรึมที่อยู่ภายใต้แสงยามรุ่งอรุณมากขึ้น
“ท่านย่าเอ๊ย นี่มันเรื่องผีบ้าอะไรกัน กลัวว่าข้าจะไม่ตกใจรึไง?” เลี่ยหวนลูบเคราสีแดงของตัวเองพลางพึมพำอยู่พักหนึ่ง “อีกประเดี๋ยวอวี้ซวีเจินเหรินกับหวงฝู่จวินโหรวคงไม่มาด้วยหรอกใช่มั้ย?” เขาส่ายหน้า ก่อนจะรีบเดินกลับไปรายงานในตำหนักคุ้มเมือง
“ฆ่าตัวตายแล้ว?” เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาของตำหนักหลังเงยหน้าถามอย่างงุนงง “เจ้าแน่ใจนะว่าตายแล้ว?”
เลี่ยหวนพยักหน้า “คนหนึ่งตัดคอตัวเอง ส่วนอีกคนเอาหัวชนจนหัวยุบหายไปเกินครึ่ง ตายจนไม่รู้จะตายยังไงแล้วขอรับ”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือสื่อว่าตัวเองรู้แล้ว
เลี่ยหวนถอยออกไป แต่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาถามอีกว่า “นายท่าน อีกประเดี๋ยวผู้จัดการร้านหวงฝู่กับอวี้ซวีเจินเหรินคงจะไม่มาทำแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ร้านขายของชำซื่อตรงมีอำนาจจากหลายฝ่ายมาบริหารร้านด้วยกัน ไม่ได้เป็นของใครเพียงแค่ตระกูลเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลไหนรับผิดชอบ เบื้องหลังของร้านค้าสมาคมวีรชนก็ไม่เหมือนกับร้านอื่น สองร้านนั้นไม่มีใครให้สั่งให้พวกเขามาฆ่าตัวตายได้”
“หมายความว่ายังไงขอรับ?” เลี่ยหวนไม่ค่อยเข้าใจ
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจชัดเจนเท่าไร แต่เดาว่าอาจจะมีความหมายอย่างนั้น” เหมียวอี้ตอบ
แล้งความหมายอย่างนั้นคือความหมายอะไรล่ะ? เลี่ยหวนเดินออกมาพร้อมความมืดแปดด้านราวกับมีหมอกลงสมอง พอออกจากตำหนักคุ้มเมืองแล้วก็สั่งให้คนทำความสะอาดรอบเลือดอีก
เหมียวอี้ครุ่นคิดอยู่ในศาลาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบแผ่นหยกในเมือขึ้น แล้วพึมพำว่า “โจวเฝิงอาน! โจวเฝิงอาน ทาสของตระกูลจา…”
จากของที่มือสังหารทิ้งไว้ เขาพบแผ่นหยกระบุตัวตนแผ่นหนึ่ง เป็นเพียงนามบัตรเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นสิ่งของที่ต้องแสดงยามจะขอเข้าพบใคร จะได้พิสูจน์ได้สะดวกว่าตัวเองมาจากที่ไหน ต้องการมาจัดการธุระเรื่องอะไร คล้ายกับแผ่นหยกตำแหน่งขุนนางของเหมียวอี้ แต่สถานะตัวตนของโจวเฝิงอานก็ได้รับรองแล้วว่าเป็นข้าทาสของตระกูลจา
เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าคนที่ตายไปคือโจวเฝิงอานหรือเปล่า และไม่รู้ด้วยว่าตระกูลจาที่ตระกูลไหน แต่หนึ่งในศัตรูของเขามีคนหนึ่งที่แซ่จา มีที่มาที่ไปไม่ใช่เล็กๆ เลย เป็นตระกูลนั้นหรือเปล่า?
ถ้าเป็นตระกูลนั้นจริงๆ ก็อาจจะเป็นเหมือนที่หยางชิ่งบอกก็ได้ อีกฝ่ายกำลังจะโผล่หน้ามาแล้ว จะมาสังหารข้าหรือจะมาเจรจากับข้า? แล้วข้าต้องหลบมั้ย?
สาเหตุที่เขาตัดสินได้แบบนี้ ประการแรกเป็นเพราะโจวหรานกับอูหันซานมาฆ่าตัวตายอยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ของเขาสงบแล้ว ระฆังดาราที่ติดต่อมาไม่หยุดก่อนหน้านี้ได้เงียบลงแล้ว จู่ๆ ทุกอย่างก็หยุดลง นอกจากโค่วเหวินหลานที่ติดต่อกับเขาหนึ่งครั้ง คนอื่นก็หยุดหมดแล้ว
เขารู้สึกได้รางๆ ถึงเงาของตัวละครยักษ์ใหญ่เงาหนึ่ง มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่กลับกดดันจนทุกคนไม่กล้าหายใจแรง
“ฆ่าตัวตายแล้วเหรอ?”
เมื่อได้รับรายงานจากลูกน้อง อวี้ซวีเจินเหรินที่อยู่ในร้านขายของชำซื่อตรงก็พึมพำอย่างแปลกใจ เดินช้าๆ ไปผลักหน้าต่างออก มองดูแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณตรงเส้นขอบฟ้า ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตำหนักที่สูงที่สุดในเมือง “เฮ้อ!” พลางถอนหายใจเบาๆ
“ฆ่าตัวตายแล้ว? สองคนนั้นฆ่าตัวตายแล้วเหรอ?”
บนตึกของร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่ได้รับรายงานข่าวก็ประหลาดใจไม่หยุดเช่นกัน สองคนที่เมื่อวานนี้ยังจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมไม่เห็นตำหนักคุ้มเมืองอยู่ในสายตา ชั่วพริบตาเดียวก็มาจบชีวิตตัวเองอยู่ตรงประตูตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกดดันจนหมดทางเลือก ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนี้ มีใครบ้างที่มีชีวิตอยู่ดีๆ แล้วจะรนหาที่ตายเอง?
นางเองก็ผลักหน้าต่างบนตึกออกเช่นกัน มองไปยังตำหนักคุ้มเมืองที่เงียบขรึมดำมืด พร้อมพึมพำกับตัวเอง “เจ้าชนะอีกแล้ว ตอนนี้พอใจรึยัง?”
“อะไรนะ? โจวหรานกับอูหันซานจบชีวิตตัวเองอยู่หน้าประตูตำหนักคุ้มเมืองเหรอ?”
ที่ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวที่ได้ยินข่าวตกใจมากจริงๆ นางเดินไปเดินมาครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ “ดูเหมือนเรื่องตรงหน้าจะผ่านไปแล้ว แต่ตอนหลังจะทำยังไงดีล่ะ?”
ข่าวนี้โจมตีทั้งตลาดสวรรค์อย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ สำหรับร้านค้าทั้งตลาดสวรรค์ สองคนที่ปลิดชีพตัวเองอยู่หน้าตำหนักคุ้มเมืองทำให้คนสะเทือนใจยิ่งกว่าศีรษะแปดพันกว่าคนที่ร่วงลงพื้นเสียอีก ประเด็นสำคัญเป็นเพราะความหมายที่แสดงออกมาเบื้องหลังแตกต่างออกไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนแน่ใจแล้ว ว่าอาณาเขตผืนนี้อยู่ในการตัดสินใจของท่านผู้นั้นที่ตำหนักคุ้มเมือง สมาคมร้านค้าถูกท่านผู้นั้นทำให้หมอบราบโดยสิ้นเชิงแล้ว!
คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกย่อมเข้าใจดี ไม่ใช่สมาคมร้านค้าที่ก้มหน้าให้ท่านนั้นของตำหนักคุ้มเมือง แต่เป็นการแสดงท่าทีของเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าพวกนั้นต่างหาก ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยที่พ่อค้าต่อต้านทางการ และจะไม่ลอบสังหารขุนนางของตำหนักสวรรค์อีกตำหนักสวรรค์!
เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์กระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกร้องไห้[1] คนที่ได้กำไรไม่ใช่พวกเขา แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกลับผลักพวกเขาออกมารับผิดชอบ…
…………………………
[1] กระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกร้องไห้ 兔死狐悲 อุปมาว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน