ในห้องส่วนตัว เถ้าแก่เนี้ยบอกกับทั้งสองว่า “เขาส่งคนมาแล้วค่ะ”
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไร ส่วนสตรีวัยกลางคนก็พลิกรายการเครื่องประดับดูพลางขอคำแนะนำจากเถ้าแก่เนี้ยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รอเพียงประเดี๋ยวเดียว ระฆังดาราของเถ้าแก่เนี้ยที่วางอยู่บนโต๊ะก็มีการตอบสนองแล้ว หลังจากตั้งใจฟังแล้วรางก็หยิบเครื่องมือบางอย่างออกมา
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามถามเตือนทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เขาส่งคนมาแล้ว ไม่ได้มาทางประตูหลัก ข้าต้องเปิดค่ายกลป้องกันปล่อยเขาเข้ามาค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยตอบ
สตรีวัยกลางคนลังเลอยู่บ้าง แต่ชายวัยกลางคนกลับใจใหญ่ พยักหน้าเบาๆ ตกลง เถ้าแก่เนี้ยถึงได้ใช้เครื่องมือเปิดค่ายกลป้องกัน แล้วก็ปิดมันอีกครั้ง
ผ่านไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เหมียวอี้แหวกม่านไข่มุกเข้ามาแล้ว
สตรีวัยกลางคนหันกลับไปมอง พวกเถ้าแก่เนี้ยก็เอียงหน้ามองไปเช่นกัน ชายวัยกลางคนยังคงหันหลังให้ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เหมียวอี้ที่เดินเข้ามาหยุดฝีเท้า สายตากวาดมองภาพเหตุการณ์ในห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็โล่งอกราวกับหินที่อยู่ในใจร่วงลงพื้น เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ให้ทั้งสองรอนานแล้ว หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว!”
หนิวโหย่วเต๋อ? สตรีวัยกลางคนชุดลายตกใจทันที นางลุกขึ้นยืนแล้ว ชายวัยกลางคนก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน พลันหันตัวมามอง สายตามองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า พลางถามอย่างเนิบนาบว่า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ถ้าตัวปลอมก็ให้เปลี่ยนคืนเลย! หนิวรอด้วยความเคารพมานานแล้ว”
ชายวัยกลางคนเหล่ตามองเถ้าแก่เนี้ย สตรีวัยกลางคนก็เช่นกัน นางแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าบอกไม่ให้เจ้าเล่นตุกติก แต่เจ้าก็ยังกล้าทำ ใจกล้าไม่เบานี่ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ สินะ”
เหมียวอี้รีบกล่าวห้าม “นั่นคือภรรยาข้าเอง ถ้าพวกนางเป็นอะไรไป ข้ารับรองว่าพวกท่านโดนฝังทั้งโคตรแน่นอน หมายความว่ายังไงคงไม่ต้องให้ข้าอธิบาย!”
“ฮูหยินของเจ้า?” สตรีวัยกลางคนชุดลายดอกถามอย่างงุนงง ในดวงตาชายวัยกลางคนฉายแววประหลาดใจ รายงานข่าวผิดพลาดเหรอ?
“ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่คุยกัน ตามข้าไปเถอะ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวแหวกม่านไข่มุกเดินออกไป
ชายวัยกลางคนเอามือไขว้หลังเดินตามไป ใจกล้ามากเหมือนกัน
กลับเป็นสตรีวัยกลางคนที่เอียงหน้าให้สัญญาณ บอกใบ้ให้พวกเถ้าแก่เนี้ยเดินนำหน้า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรจะได้เอาชีวิตสามคนนี้ก่อน
พวกเขาเดินมาถึงลานบ้านด้านหลัง ขึ้นมาบนตึก แล้วเข้าไปในห้องนอนของเถ้าแก่เนี้ยโดยตรง ทั้งหมดเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ด้วยกัน
เหมียวอี้เข้ามานั่งลงในศาลาแล้วยื่นมือเชิญสองสามีภรรยาให้นั่งลง แล้วหันมากำชับว่า “แขกผู้มีเกียรติมาเยือนแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ยกน้ำชามา!”
ตอนนี้ชายวัยกลางคนนั่งลงแล้ว แต่สตรีวัยกลางคนกลับยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพ แสดงฐานะนายบ่าวอย่างชัดเจน
ชายวัยกลางคนรีบกวาดสายตามองดูสภาพแวดล้อมภายในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ สิ่งนี้คลาดเคลื่อนกับแผนเดิม เดิมทีกะว่าหลังจากติดต่อกับเหมียวอี้ได้แล้ว จะให้เหมียวอี้ปิดใช้งานค่ายกลป้องกันที่ตำหนักคุ้มเมืองชั่วคราว แล้วเขาค่อยเข้าไปที่นั่นผ่านทางใต้ดิน เข้าไปเจรจากับเหมียวอี้ในตำหนักคุ้มเมือง
เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาของสองสามีภรรยา แล้วกล่าวกับชายวัยกลางคนด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าแล้วท่านต่างหากที่เป็นตัวหลัก มา เชิญดื่มชา!” ขณะที่พูดก็ยื่นมือเชิญ
“ไม่ดื่มชาหรอก เจ้าคุ้นชินกับการวางยาพิษแล้ว!” ชายวัยกลางคนกล่าว
“เหอะๆ!” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้ม “การปกป้องตัวเองภายใต้ความจนใจทำให้มีชื่อเสียงไม่ดีแล้ว ลำบากให้แขกผู้มีเกียรติต้องจดจำไว้”
ชายวัยกลางคนบอกว่า “ข้าก็อยากจะยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย ว่าเจ้าใช่ตัวหลักหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเคยอธิบายรูปลักษณ์ภายนอกของข้าให้ท่านรู้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนตอบว่า “กลอุบายเล่ห์เลี่ยมเยอะเกินไป จำเป็นต้องป้องกันไว้”
“เหอะๆ!” เหมียวอี้ดันแผ่นหยกประจำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตัวเองออกไป แล้วหยิบแผ่นหยกที่ว่างเปล่าอีกแผ่นออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง จากนั้นดันออกไปให้อีกฝ่ายตรวจสอบพร้อมกัน “เชิญตรวจดู ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอน!”
แผ่นหยกประจำตำแหน่งของขุนนางตำหนักสวรรค์ปลอมแปลงได้ยาก เมื่อต้องใช้หนึ่งแผ่นถึงจะขอให้เบื้องบนทำลงมาให้ ทั้งยังต้องมีตราอิทธิฤทธิ์รับรองของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ยกตัวอย่างเช่นแผ่นหยกของเหมียวอี้ บนนั้นจะมีตราอิทธิฤทธิ์ของหัวหน้าภาคใหญ่ หัวหน้าภาค แม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ไล่ลงมา สุดท้ายถึงจะเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้เอง ถ้าเบื้องบนระงับไว้ แล้วลงตราอิทธิฤทธิ์เองตามอำเภอใจก็จะทำให้แผ่นหยกประจำตำแหน่งทำลายตัวเอง
หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาด ชายวัยกลางคนถึงได้ผลักของกลับคืนมา “เจ้าออกมาจากตำหนักแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีคนจับตามองเหรอ?”
เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง แล้วตอบว่า “ท่านพูดกลับกันแล้ว มีอะไรน่ากลัวล่ะ คนกลัวควรจะเป็นท่านต่างหาก ไม่ต้องห่วงหรอก ข้างนอกไม่มีใครรู้ว่าข้ามาที่นี่”
“ไม่มีใครรู้ว่าเจ้ามาที่นี่?” หลังจากจ้องประเมินเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยไม่หวาดหวั่นครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ชีวิตของข้าไม่สำคัญหรอก ชีวิตของท่านสำคัญกว่าข้า ไม่ต้องพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เพื่อข่มขู่แล้ว ท่านเป็นใคร?”
ชายวัยกลางคนแววตาวูบไหว “เจ้าบอกว่ารอข้ามานานแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่าข้ามาเพราะเรื่องอะไร?” เขากำลังสงสัยว่าในกำไลเก็บสมบัติวงนั้นมีหลักฐานหรือไม่
“รู้หรือไม่รู้ในใจข้าย่อมมีคำตอบ ข้าแค่อยากจะเจรจากับตัวหลัก คงไม่ได้หาใครสักคนมาลองเชิงหรอกใช่มั้ย ข้าคิดได้รอบด้านใช่มั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
จนกระทั่งตอนนี้ ทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องลอบสังหารเลย และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสิ่งของที่มือสังหารทิ้งเอาไว้ด้วย ตอนที่ชายวัยกลางคนไม่แน่ใจว่าในกำไลเก็บสมบัติมีหลักฐานหรือไม่ ก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้รู้ ถ้าในมือเหมียวอี้ไม่มีหลักฐานเลยและเขาเปิดเผยตัวตน นั่นก็เท่ากับเขารับสารภาพออกมาเอง ส่วนเหมียวอี้เอง ถ้ายังไม่แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช ถ้ามีคนเจตนาไม่ดีปลอมเป็นคนบงการมาเอาหลักฐานไปจะทำอย่างไร? นี่คือของที่ใช้ปกป้องชีวิตเขา ถ้าประมาทมอบให้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย
“รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้วยังไง แล้วเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าข้าคือตัวจริง ไม่ได้มาเพื่อลองเชิงเจ้า?” ชายวัยกลางคนถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ของที่อยู่ในมือข้าย่อมพิสูจน์ได้ว่าท่านคือตัวจริงหรือไม่ ท่านเองก็พุ่งเป้ามาที่ของสิ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าของในมือเจ้าเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหลังจากที่ได้รู้ตัวตนของข้าแล้วจะมีผลที่ตามมาเป็นอย่างไร” ชายวัยกลางคนตอบ
“อย่าอ้อมค้อมเลย ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับท่าน ข้าไม่เอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นหรอก” เหมียวอี้กล่าว
พอชายวัยกลางคนพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งหยกสีรุ้งที่พบเห็นได้ยากแผ่นหนึ่งก็วางบนโต๊ะแล้ว จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกอีกแผ่นออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ วางซ้อนกันแล้วผลักมาตรงหน้าเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้ตรวจสอบ
เมื่อป้ายคำสั่งหยกสีรุ้งเผยออกมา เหมียวอี้กับพวกเถ้าแก่เนี้ยก็หนังตากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งนี้น่าจะเป็นแผ่นหยกประจำตำแหน่งที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีสิทธิ์ใช้ อย่างน้อยก็เป็นระดับท่านโหวขึ้นไปถึงจะมีได้ ไม่ต้องพูดก็รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว
หลังจากหยิบป้ายประจำตำแหน่งกับแผ่นหยกแผ่นนั้นมาเทียบตรวจ เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ แล้ววางของผลักกลับไป ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
เถ้าแก่เนี้ย เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ในใจกำลังแปลกใจว่าอีกฝายเป็นใครกันแน่ แต่น่าเสียดายที่เหมียวอี้ไม่บอกให้ชัดเจน
ชายวัยกลางคนเก็บของ แล้วถามว่า “คำตอบที่ข้าต้องการล่ะ?”
เหมียวอี้ยกถ้วนน้ำชาขึ้นมาเป่าจนเกิดไอร้อน พร้อมตอบว่า “โจวเฝิงอาน! ตระกูลจา! คำตอบนี้เพียงพอที่จะยืนยันตัวตนของท่านรึยัง?”
ชายวัยกลางคนกระตุกมุมปากครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจับจุดได้โดยตรงแล้ว สงสัยในบรรดาสิ่งของที่โจวเฝิงอานทิ้งไว้จะไม่ธรรมดาอย่างเช่นระฆังดารา ชายวัยกลางคนไม่กลัวเช่นกันว่าในน้ำชาจะมีพิษ ยื่นมือไปยกขึ้นมาจิบ แล้วถามว่า “ว่ามาสิ! เสนอเงื่อนไขของเจ้า เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมส่งของทั้งหมดออกมา?”
“หลังจากส่งของออกมาแล้วผลจะเป็นอย่างไร คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดอะไรมาก ถ้าส่งของออกมา ข้าน้อยก็มีแต่จะถูกฆ่าปิดปากเท่านั้น!” เหมียวอี้ตอบ
ชายวัยกลางคนเหล่ตาถาม “อยากจะเก็บไว้ในมือตัวเองเพื่อบีบข้าเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ถือว่าบีบหรอก ข้าไม่เก็บของไว้ในมือเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ขอเพียงเกิดเรื่องขึ้นกับข้า ของก็จะไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ทันที ในเมื่อข้ากล้ามา ก็แสดงว่าเตรียมตัวไว้นานแล้ว!”
ชายวัยกลางคนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าออกหน้าด้วยตัวเอง เรื่องนี้จะต้องถูกแก้ไขให้จบ! ถ้าข้าไม่เป็นอิสระ รับรองว่าเจ้าได้ตายอยู่ตรงหน้าแน่!”
เหมียวอี้ “ก็เพราะข้ารู้ถึงจุดนี้ไง ก็เลยไม่กล้าบีบนายท่าน นายท่านมีอำนาจอิทธิพลมาก ต่อให้ดับสูญไปแล้ว แต่สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกื้อ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี เบื้องล่างจะตั้งมีคนทุ่มเททำงานให้นายท่านแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะมาเอาชีวิตข้าน้อยคงจะไม่ได้มีแค่โจวเฝิงอานแล้ว”
ชายวัยกลางคนพ่นเสียงทางจมูก “รู้ก็ดีแล้ว ว่ามาเถอะ ต้องการให้ข้าจ่ายเป็นอะไร เรื่องในครั้งนี้ถึงจะผ่านไป?”
เป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางส่งของมาให้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว แก้ไขปัญหาโดยตรงไปเลย
เหมียวอี้ตอบว่า “นายท่านไม่ต้องจ่ายอะไรตอบแทนทั้งนั้น ข้าน้อยเพียงอยากจะคบหานายท่านเป็นสหาย ขอเพียงนายท่านไม่รังเกียจ ต่อให้ตำหนักสวรรค์สืบเรื่องนี้ลงมาแล้ว แต่ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายท่าน”
คบหาเป็นสหาย? ชายวัยกลางคนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วก็วางไว้บนโต๊ะ
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบนระฆังดาราสองอันนั้นเช่นกัน จากนั้นก็หยิบอันที่ร่ายอิทธิฤทธิ์แล้วมาเขย่า เมื่อเห็นอีกอันหนึ่งมีปฏิกิริยา ถึงได้เก็บอันที่อยู่ในมือตัวเองเอาไว้
ชายวัยกลางคนหยิบระฆังดาราอีกอันมาไว้ในมือ แล้วเหลือบมองเถ้าแก่เนี้ย เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ “พวกนางไว้ใจได้มั้ย?”
เหมียวอี้ “ไว้ใจได้ยิ่งกว่าลูกน้องคนสนิทข้างกายนายท่าน นอกจากนี้ ยังมีจุดหนึ่งที่ข้าน้อยรู้สึกแปลกใจ นายท่านสามารถออกหน้ามาที่นี่เองได้ ก็แสดงว่ารู้ถึงความหนักเบาของเรื่องนี้ ดูไม่เหมือนคนที่จะส่งมือสังหารมาลอบสังหารข้าน้อยได้ ตระกูลจา อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับฮูหยินของท่าน?”
ความในอย่านำออก! เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนไม่อยากพูดเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังหันตัวเดินไป ขณะที่เดินก็พูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้แล้วกัน”
ได้แต่มองดูทั้งสองเดินออกไปจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์เฉยๆ ถึงขั้นไม่บีบจุดอ่อนอะไรเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ไปแบบนี้แล้วเหรอ? เถ้าแก่เนี้ยงุนงง “พวกเขาไม่มีอะไรรับประกันเลยสักนิด อย่าบอกนะว่าเชื่อคำพูดของเจ้าขนาดนี้ ไม่กลัวว่าของจะตกไปอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์เหรอ? ข้ายังนึกว่าเขาจะจับข้าเป็นตัวประกันอยู่เลย”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “คนที่ไม่จำเป็นต้องบีบจุดอ่อนอะไร นั่นต่างหากที่น่ากลัวที่สุด! ชัดเจนว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย การที่เขาออกหน้าเองก็คือคำขู่และคำเตือนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าข้าทรยศเขาก็ไม่มีผลดีอะไรเลย!”
เถ้าแก่เนี้ยเงียบไป ก่อนจะถามอีกว่า”ตระกูลจา? อย่าบอกนะว่าเขาคือเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วน?”
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “เป็นเขานั่นแหละ”
ทางนี้เพิ่งจะจัดการบุคคลลึกลับไปคนหนึ่ง ตอนเที่ยงตรงวันถัดมา ก็มีบุคคลที่เปิดเผยโผล่มาอีกแล้ว เกาก้วนทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์เหาะลงมาแล้ว
เกาก้วนยังคงมีท่าทางเย็นชาสูงส่งเคร่งขรึมเหมือนเดิม เดินลากชุดคลุมสีดำนำคนสองแถวเข้ามาในตำหนักโดยตรง
คนที่เฝ้าประตูติดต่อเหมียวอี้ทันที เมื่อได้รับรายงาน เหมียวอี้ก็รีบเปิดค่ายกลป้องกันที่ปิดไว้ แล้วนำคนมารอต้อนรับตรงตีนบันไดนอกประตูตำหนัก
“ข้าน้อยต้อนรับทูตขวาเกา!” เหมียวอี้เป็นคนนำทำความเคารพ
“ต้อนรับทูตขวาเกา!” จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงทำความเคารพพร้อมกัน แต่ละคนมีท่าทางระมัดระวังตัว มองไปที่เกาก้วนด้วยสายตาหวาดกลัว ราวกับว่าพอเกาก้วนมาถึง อุณหภูมิตอนเที่ยงตรงก็ลดลงไปแล้วไม่น้อย
เกาก้วนเพียงแหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองข้ามไป นำคนบุกเข้าตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง
…………………………