ในเมื่อไม่มีสถานการณ์จะรายงาน บอกตรงๆ ว่าไม่มีก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องทำตัวพิลึกกึกกือมั้ย
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่เบื้องบนแอบเม้มริมฝีปาก เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างของพวกนาง
แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองก็หลุดขำในใจอย่างอดไม่ได้ แต่ภายนอกไม่แสดงพิรุธใดๆ ยังคงวางมาดมารดาแห่งใต้หล้าผู้สูงส่งอยู่อย่างนั้น นางเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงดังมีพลังว่า “เช่นนั้นก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้มากๆ หน่อย ครั้งหน้าห้ามขายผ้าเอาหน้ารอด”
“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดพลางลากเสียงยาวเอ่ยรับคำสั่ง
จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัว ก่อนจะมาที่ตำหนักประชุม อวิ๋นจือชิวก็เคยเตือนแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้ แต่เขาดึงดันจะแสดงออกว่าตัวเองไม่เป็นไร ปรากฏว่าหลังจากมาที่นี่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมต้องปฏิบัติตามหน้าที่ต่อหน้าทุกคน ทว่าเมื่อถูกทุกคนจ้องมองแบบนี้ กอปรกับได้รับผลกระทบจากแนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่ เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าในใจตัวเองค่อนข้างหงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะพูดจาแปลกๆ เพราะอยากแสดงให้ทุกคนรู้ ว่าข้าไม่ได้กลัวเมีย!
ว่ากันตามจริง อาจจะเป็นเพราะอุปนิสัยประจำตัว กล้ามาแย่งอำนาจเขางั้นเหรอ เขาถึงขั้นเกิดความคิดชั่ววูบว่าจะร่วมมือกับลูกน้องโค่นล้มประมุขปราสาทคนนี้ แต่ก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะนี่คือเมียตัวเองนะ… จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเป็นบ้าไปแล้ว สงสัยจะเสพติดกับการต่อสู้แล้ว!
เมื่อเห็นเขาทำตัวแปลกๆ อย่างชัดเจนแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตีสีหน้าเครียดขรึมทันที ตะคอกถามว่า “หรือว่าเจ้ามีความเห็นแย้งที่ข้าขึ้นรับตำแหน่งประมุขปราสาท?”
เหมียวอี้เองก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป ทำลายชื่อเสียงบารมีของประมุขปราสาทต่อหน้าฝูงชนถือว่าทำเกินไปหน่อย จึงกุมหมัดตอบด้วยสีหน้าจริงจังทันที “มิบังอาจ!”
สายตาของอวิ๋นจือชิวหยุดอยู่บนหน้าของเขาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาแสดงความจริงใจแล้วจริงๆ คิดไปคิดมาก็ระงับความคิดที่จะข่มเหมียวอี้เพื่อสร้างบารมีให้ตัวเองเอาไว้ แล้วพยักหน้าให้คนข้างหลัง
คนต่อไปรายงานสถานการณ์ต่อทันที ส่วนใหญ่จะสรรเสริญเยินยอด้วยความประจบ แสดงท่าทีชัดเจนว่าตัวเองตัดสินใจจะสนับสนุนแล้ว
การประชุมดำเนินมาจนถึงตอนท้าย หลังจากทุกคนส่งรายงานแล้วก็แยกย้ายกันออกไป อวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปที่ตำหนักหลังก่อน
จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้คุ้นชินแล้ว ตามไปที่ตำหนักหลังเช่นกัน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าผิด จึงเลี้ยวเดินออกจากตำหนักประชุมพร้อมกับคนอื่นๆ
อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงตำหนักหลังหันหลังมองแวบหนึ่ง รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว เชียนเอ๋อร์เขาใจว่านางต้องการอะไร จึงรีบออกไปที่ริมกำแพงแล้วยื่นศีรษะแอบดู แล้วกลับมารายงานว่า “นายท่านเดินออกประตูใหญ่ไปแล้ว จะให้ไปเชิญนายท่านมามั้ยเจ้าคะ?”
อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม “พวกเจ้าอย่าไปมองนะว่าปกติเขาไม่รักในอำนาจ ที่จริงเขาเริ่มคว้าอำนาจมาไว้ในมือทางอ้อมตั้งแต่ตอนอยู่ถ้ำคล้อยบูรพาแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงแม้ผู้การใหญ่หยางจะมีอำนาจมาก แต่เจ้าเชื่อรึเปล่า ว่าถ้าผู้การใหญ่กล้ามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง นายท่านต้องลงมือฆ่าทิ้งแน่ๆ ที่เขาให้ข้ากุมอาจแทนเขา ก็เพราะรู้ว่าข้าแย่งจากเขาไม่ได้ จู่ๆ เขาโดนแย่งอำนาจนี้ไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาจะต้องก่อเรื่องแน่ แต่ดันเป็นข้าที่เข้ามายึดครองตำแหน่งของเขา เมื่อเข้ามายืนในตำหนักแล้วพบว่าอำนาจที่กุมมาหลายปีหายไปกะทันหัน ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรอำนาจนี้ถึงจะกลับมา คนที่กุมอำนาจจนเคยชิน แต่จู่ๆ สูญเสียไป ต่อให้เป็นคนที่ใจกว้างกว่านี้ ในใจก็รู้สึกเสียสมดุลอยู่ดี จะรู้สึกตกอับนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเขาเห็นความสำคัญกับอำนาจหรอกนะ แต่เป็นเพราะยังไม่ชิน ให้เวลาเขาปรับตัวสักหน่อยเถอะ” พูดจบก็นำหญิงรับใช้ทั้งสองเดินออกไป
บรรดาประมุขตำหนักที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันเพิ่งจะเดินออกจากตำหนักประชุม พอเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว บรรยากาศก็เงียบลงทันที ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ประมุขปราสาท’ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ที่ปรึกษา’ ก็กลัวว่าเขาจะไม่พอใจอีก รู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ
กลับเป็นเหมียวอี้ที่เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะหยางชิ่งก่อน “ข้าน้อยคารวะนายท่านผู้การใหญ่!”
ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือกฎที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่นี่ผู้การใหญ่ตำแหน่งใหญ่กว่าที่ปรึกษา
หยางชิ่งอึ้งมาก คิดในใจว่า ถ้าเจ้าก่อเรื่องให้น้อยลง ก็คงไม่เกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้หรอก เขากำหมัดแห้งๆ แล้วบอกว่า “นายท่านทำแบบนี้ช่างเป็นการประหารข้าน้อยจริงๆ แกล้งทำตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกก็พอแล้ว ตรงนี้ไม่มีคนนอก ในสายตาของทุกคน ท่านกับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน”
พอได้ยินคำพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เบื่อหน่ายนิดหน่อย หมายความว่าอะไรที่บอกว่าข้ากับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน เดิมทีข้าเป็นประมุข แต่นางเป็นรองข้า ตกลงมั้ย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็ไม่มีอะไรน่าแย่งชิงกัน
“ใช่ๆๆๆ!” คนที่เหลือดันพยักหน้าตามทันที
มีเพียงฉินเวยเวยที่ยังเงียบงัน รู้สึกไม่คู่ควรแทนเหมียวอี้
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บมือสองข้างไว้ในแขนเสื้อ รู้สึกเป็นอิสระมากทีเดียว เขาเดินลงบันไดไปช้าๆ ไปที่ลานกว้างเพียงลำพัง
หยางชิ่งรีบโบกมือบอกใบ้คนที่เหลือ แล้วพวกเขาก็รีบเหาะไปยังจวนของผู้การใหญ่ทันที
“นายท่าน!”
บนลานกว้าง เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา จิ้งอิ๋งกับจิ้งลู่ก็หยุดกวาดพื้นแล้วคำนับเขา
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมประกาศว่า “ข้าโดนเบื้องบนลดตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาแล้ว ฮูหยินรับตำแหน่งประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านแล้ว”
จิ้งอิ๋งจึงยิ้มบางๆ “ที่ปรึกษาก็เป็นนายท่านเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ใช่แล้ว สำหรับสองคนนี้ ตัวเองยังเป็นนายท่านอยู่ อยู่ดีๆ จะไปเน้นย้ำอธิบายกับพวกนางทำไม?
เขาพบว่าสภาพจิตใจตัวเองมีปัญหา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตัวเอง แล้วก็เดินเตร่ออกไป
ขณะที่เดินเล่นอยู่ในตำหนักหรูหรากว้างใหญ่ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่ถ้ำล่องนิภา สู้ตาสุดชีวิตเพื่อจะเป็นประมุขถ้ำ จนกระทั่งทุกวันนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่างเปล่า ตอนโดนลดขั้นเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพายังไม่รู้สึกอย่างนี้เลย…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสวี่ยเอ๋อร์มาหาเขาแล้วบอกว่า “นายท่าน ฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ”
พอทั้งสองกลับถึงตำหนักหลัง ก็เห็นบัณฑิตที่กำลังเฝ้าประตูหัวเราะเยาะคิกคักอย่างโจ่งแจ้ง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
เสวี่ยเอ๋อร์นำเขาไปยังตำหนักด้านข้างที่ประมุขปราสาทใช้เวลาทำงาน อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งเขียนสรุปสถานการณ์ที่แต่ละตำหนักรายงานขึ้นมา ประมุขปราสาทที่รับตำแหน่งใหม่ต้องรายงานสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปเบื้องบน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคุมสถานการณ์ของที่นี่อยู่ นี่คือหนึ่งในงานที่ทำเป็นประจำ
พอเขาเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็วางแผ่นหยกในมือลงก่อน แล้วยืนขึ้นหัวเราะคิกคักทันที นางเข้ามากอดแขนเขา “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปตำหนักประชุม แต่เจ้าก็ดึงดันจะไปให้ได้ ตอนนี้ในใจรู้สึกไม่ผ่อนคลายแล้วสินะ?”
“เจ้าหัวเราะเยาะข้าเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตามองนาง หดแขนกลับมาจากอ้อมอกนาง แล้วกุมหมัดคารวะ “ไม่มีเหตุผลที่ที่ปรึกษาจะพักอยู่ในตำหนัก ประมุขปราสาทกรุณาให้เรือนพักนอกตำหนักแก่ข้าน้อยด้วยขอรับ”
“เอ! นี่เจ้าอยากแยกกันอยู่กับข้าเหรอ! เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ขนาดเจ้าก่อเรื่องขโมยคนอยู่ข้างนอกข้ายังไม่รู้เลย” อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหัวเราะ แล้วหันตัวดันเขาลงไปนั่งหลังโต๊ะยาว กดเขาให้นั่งในตำแหน่งของประมุขปราสาท แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสามีที่แสนดี ท่านสนใจใยดีชื่อเสียงอันจอมปลอมนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ ปกติเรื่องพวกนี้ท่านก็โยนให้ข้าช่วยทำไม่ใช่เหรอ ต่อให้ตำแหน่งข้าจะสูงกว่านี้ แต่ก็ยังเป็นฮูหยินที่คอยปรนนิบัติเจ้านายอย่างท่านอย่างซื่อสัตย์เหมือนเดิม”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ดูไม่ออกเลยนะ ลืมตอนที่ตะคอกข้าต่อหน้าคนอื่นๆ ในตำหนักใหญ่ไปแล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนตัวโยน “ก็นั่นเป็นตอนที่อยู่ต่อหน้าทุกคนไง ถ้าข้าไม่มีชื่อเสียงบารมี ต่อไปข้าก็ทำงานไม่ราบรื่นน่ะสิ ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว เจ้าดูสิว่าข้าก็ยังเชื่อฟังคำพูดเจ้าแต่โดยดี”
เหมียวอี้ตอบว่า “อ๋อเหรอ” แล้วก็ทำท่าเหมือนทดสอบ เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมสั่งว่า “เอาน้ำชามาวาง!”
อวิ๋นจือชิวกวักมือเรียกหญิงรับใช้ทั้งสองที่กำลังกลั้นขำทันที ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็รีบนำถ้วยน้ำชามาให้ อวิ๋นจือชิวรับมาถือเอง แล้วใช้สองมือยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างเคารพ
เหมียวอี้ดื่มไปคำเดียว พอวางถ้วยน้ำชาลงก็บิดหัวไหล่ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “รู้สึกไม่ค่อยสบายหัวไหล่เลย”
อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางส่ายหน้า แต่ก็ยังเดินไปข้างหลังเขาแต่โดยดี แล้วเริ่มบีบนวดไหลให้เขา
ตรงนี้เพิ่งจะนวดเสร็จ เหมียวอี้ก็ยื่นขาออกมาข้างหนึ่ง “รู้สึกปวดขานิดหน่อย!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็ยังยกมือห้ามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังจะเข้ามาช่วย แล้วนั่งคุกเข่าข้างเดียวตรงใต้เท้าของเหมียวอี้ กำหมัดสองข้างทุบนวดบนขาของเขาด้วยแรงที่พอเหมาะพอดี นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาจงใจจะก่อกวนข้าเพื่อให้หัวใจตัวเองรู้สึกสมดุล”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “รสชาติเวลาถูกประมุขปราสาทปรนนิบัติมันดีใช้ได้เลย ยังมีรูปแบบอย่างอื่นอีกมั้ย?”
หญิงรับใช้ทั้งสองกลั้นขำทันที
อวิ๋นจือชิวที่กำลังทุบนวดขาให้เขาเงยหน้าขึ้น แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าทำเกินไปหน่อยเลย ความอดทนของข้ามีจำกัดนะ”
เหมียวอี้กลับยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง สวมมงกุฎหงส์สวยสง่าแต่กลับกำลังปรนนิบัติให้เขา ท่าทางแบบนี้ค่อนข้างเร้าใจคน อดไม่ได้ที่จะตบต้นขาแสดงเจตนา
อวิ๋นจือชิวถลึงตามอง แล้วลุกขึ้นนั่งบนตักของเขา แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือไปไต่บนเต้าที่อิ่มเอิบของนางโดยตรง
เพียะ! อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตีปัดมือเขาออก แต่เขากลับจับตัวนางพลิกลงบนโต๊ะยาวแล้วกดให้นอนคว่ำ ก่อนจะเริ่มถกกระโปรงนางขึ้นมา
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ไม่ดูบ้างเลยว่าที่นี่ที่ไหน กลับห้องนอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนต่อต้าน
“ข้าอารมณ์ไม่ดี ยังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทเลย เอาที่นี่นั่นแหละ”
เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเลิกขัดขืนแล้ว นอนหมอบบนโต๊ะยาวปล่อยให้เขาทำตามใจ ขณะเดียวกันก็เงยหน้าถลึงตาจ้องหญิงรับใช้ทั้งสอง พวกนางหน้าแดงและรีบออกไปทันที ไปเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านนอก
บั้นท้ายกลมเกลี้ยงเกลาขาวใสที่ถูกชายกระโปรงบังไว้ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ไม่นานก็ตามด้วยเสียงร้องตื่นเต้นของประมุขปราสาทคนก่อน ปิ่นทองบนมงกุฎหงส์สั่นไหว…
ไม่ว่าจะยังเป็นประมุขปราสาทหรือไม่ ในทุกๆ วันเหมียวอี้ก็ยังต้องฝึกคัดอักษรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประมุขปราสาทอวิ๋นเข้าครัวรับใช้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ควบคุมและเร่งรัดให้เหมียวอี้ไปฝึกตน
ทางด้านเยารั่วเซียน เหมียวอี้ยังไม่ไปหา ให้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยว่ากัน กลัวว่าจะโดนคนจับตามอง
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาส่งส่วยแล้ว อวิ๋นจือชิวนำขบวนไปส่งส่วยที่ยอดเขาหยกนครหลวง ถึงแม้จะมาที่นี่เป็นร้อยๆ ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาด้วยฐานะของประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พาฉินเวยเวยมาด้วย ปล่อยให้ฉินเวยเวยอยู่เล่นหมากล้อมกับเหมียวอี้
หลังจากมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง อวิ๋นจือชิวและประมุขปราสาทคนอื่นๆ ก็ติดตามจงเจิ้นไปยังแดนโพนสวรรค์
หลังจากมาถึงแดนโพนสวรรค์ สิ่งที่ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกแปลกใจก็คือ อันหรูอวี้ที่ก่อนหน้านี้ชอบชักสีหน้าใส่นาง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทนางก่อน คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก เหมือนมีเจตนาอยากสนิท อวิ๋นจือชิวคิดเพียงว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่ฮูเหยียนไท่เป่ากลับมามีอำนาจอีกครั้ง หลังจากอันหรูอวี้เสียอำนาจ สภาพจิตใจที่สูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นจึงถูกทำลายไปด้วย
แต่หลังจากโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดเป็นฝ่ายมาทักทายก่อนอีก ในใจอวิ๋นจือชิวก็เคลือบแคลงเหมือนโดนเมฆหมอกปกคลุมไว้ทันที
ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่ผ่านมา นางยังโดนมู่ฝานจวินเรียกให้เขาพบเหมือนเดิม
ยังคงเป็นในตำหนักนอนของมู่ฝานจวิน พอพวกบ่าวไพร่ออกไปข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาเบาๆ เห็นยอดหญิงงามคนนั้นยังนั่งปล่อยผมประบ่าเงียบๆ อยู่หน้ากระจก โฉมหน้าที่แท้จริงของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน เรียกได้ว่าทำให้ผู้หญิงจำนวนมากมายในใต้หล้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างน้อยอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน นางก็นับถือสายตาของท่านปู่ตัวเองในปีนั้น เพียงแต่ความงามเลิศล้ำแบบนี้ ยามปกติกลับถูกบดบังด้วยการแต่งหน้าเป็นผู้ชาย ทำให้รู้สึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้