ส่วนกลุ่มผู้หญิงจากสถานบันเทิงก็รอจนพวกสวีถังหรานเข้าไปในจวนผู้บัญชาการ ถึงได้ก้าวขึ้นมาทำความสะอาดถนนส่วนที่เหลือให้เสร็จ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
“เชิญผู้หญิงจากหอโคมเขียวมาดื่มสุรามงคลพันกว่าคนเหรอ?”
เมื่อข่าวมาถึงตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่ได้รู้ถึงความเล่นใหญ่ของสวีถังหรานก็ค่อนข้างงงงัน ตั้งแต่โลกถือกำเนิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าสวีถังหรานใจกว้างจริงๆ หรือว่าหน้าด้านกันแน่ เขาย่อมรู้จักนิสัยของสวีถังหรานดี ทั้งสองมีจุดเริ่มต้นจากระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการเหมือนกัน เลื่อนขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการเหมือนกัน เขารู้สึกว่านี่ไม่เหมือนเรื่องที่สวีถังหรานจะสามารถทำได้
ที่จริงเป่าเหลียนที่เป็น ‘คนฟ้อง’ ก็อึดอัดใจมากเหมือนกัน มองจากมุมของผู้หญิง บางครั้งนางก็รู้สึกว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นนางแพศยาที่เกิดมาล่อลวงผู้ชายโดยเฉพาะ แต่บางครั้งก็สงสารพวกนางมาก หลังจากได้รู้เรื่องกวาดถนนแล้ว จะบอกว่าไม่สะเทือนใจเลยก็แสดงว่าโกหก ที่แท้วงการอาชีพนี้ก็มีธรรมเนียมแบบนี้อยู่ พฤติกรรมของสวีถังหรานทำให้นางบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
ข่าวแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์อย่างบ้าคลั่ง มีบางคนใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกด้วย ตอนนี้ไม่มีใครหัวเราะเยาะที่สวีถังหรานแต่งงานรับผู้หญิงจากหอนางโลมมาเป็นภรรยาเอกแล้ว เรื่องกวาดถนนส่งขบวนเกี้ยวเจ้าสาวกลายเป็นเรื่องที่ดีงามของสวีถังหราน คนกล่าวขานกันว่า : ช่างเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากจริงๆ!
คู่บ่าวสาวไหว้ฟ้าดินอยู่ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สถานที่หลักในการจัดงานเลี้ยงรับรองแขกอยู่ที่สวนหยก ทั้งยังจัดแยกที่ภัตตาคารอื่นด้วย นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก งานแต่งงานใหญ่ของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ไม่ใช่งานแต่งงานรับอนุภรรยา เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคน หลังจากคลื่นลมที่เจือกลิ่นคาวเลือดผ่านพ้นไป ร้านค้าที่อยู่ในเขตเมืองตะวันตกก็ไม่มีใครที่กล้าไม่มาร่วมแสดงความยินดี แต่ถ้าจะให้พ่อค้าหลายหมื่นคนมาเบียดอยู่ด้วยกัน ก็อาจจะแออัดเกินไปหน่อย ย่อมต้องแบ่งแยกกันอยู่แล้ว แขกที่สำคัญบางส่วนมารวมตัวกันในสวนหยก ส่วนที่เหลือก็มีลูกน้องของสวีถังหรานที่เป็นตัวแทนแบ่งจัดงานเลี้ยงในเขตต่างๆ คอยรับรอง
แต่ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน ที่สวนหยกยังเพิ่มโต๊ะใหญ่อีกเกือบสองร้อยโต๊ะ ก็ใครใช้ให้สวีถังหรานพูดไปแล้วว่าเชิญผู้หญิงจากหอนางโลมพวกนั้นมาดื่มสุรามงคลที่สวนหยกล่ะ
ดังนั้นตอนหลังจึงเกิดภาพที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้น สวนหยกมีทะเลสาบ กลางทะเลสาบมีศาลา นอกศาลามีทางเดินยาวที่เชื่อมต่อถึงริมฝั่งโดยรอบ บนฝั่งครึ่งขวามีแต่ผู้หญิง บนฝั่งครึ่งซ้ายแทบจะมีแต่ผู้ชาย พ่อค้าที่อยู่ที่นี่มีทั้งหมดหนึ่งพันคน เนื่องจากผู้หญิงที่อยู่ฝั่งขวาเยอะกว่าผู้ชายที่อยู่ฝั่งซ้ายหลายร้อยคน สิ่งที่ทำให้คนพูดไม่ออกยิ่งกว่านั้นก็คือพื้นเพของผู้หญิงพวกนี้ บรรยากาศอัปมงคล!
รอจนกระทั่งแขกที่ควรจะมามากันครบแล้ว ทางสวนหยกถึงได้แจ้งให้ตำหนักคุ้มเมืองทราบ เชิญให้บุคคลที่คอยรั้งท้ายขึ้นเวที
ถนนด้านนอกถูกปิดชั่วคราว ทหารสวรรค์หลายสิบคนเฝ้าประตูสวนหยกและคอยระแวดระวังรอบด้าน ถึงอย่างไรเรื่องลอบสังหารที่ตำหนักคุ้มเมืองก็เพิ่งขึ้นได้ไม่นาน ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และมู่หรงซิงหัวที่ไปเชิญด้วยกันเหาะลงจากฟ้าพร้อมกับเหมียวอี้ พอเหยียบลงตรงประตูแล้ว เป่าเหลียนก็คอยติดตามอยู่ข้างกาย
สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงมารออยู่ที่ประตูล่วงหน้า เสวี่ยหลิงหลงถอดม่านไข่มุกบนมงกุฎหงส์ออกแล้ว วันนี้สวยสดใสเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเหมียวอี้มาถึง สองสามีภรรยาก็คำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”
เหมียวอี้มองดูทั้งสองพลางยิ้มบางๆ แต่เน้นจ้องที่เสวี่ยหลิงหลง เพราะทั้งสองรู้จักกันมานานแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร ถ้านับคำพูดที่เคยคุยกันก็นับได้ไม่กี่ประโยค น้อยจนนับนิ้วได้เลย แต่ถึงอย่างไรการตัดสินใจชั่ววูบของเขาก็ได้กำหนดทั้งชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนั้นในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง
มองไม่เห็นความคับแค้นใดๆ บนใบหน้าของเสวี่ยหลิงหลง ในใจค่อนข้างสงบ การกดดันให้สวีถังหรานแต่งงานรับนางเป็นฮูหยินภรรยาเอกก็นับว่าปฏิบัติต่อนางอย่างถูกต้องเช่นกัน เขาจึงยิ้มพลางยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้สวีถังหราน “น้ำใจเล็กน้อยเพื่อแสดงความยินดีในงานมงคลของทั้งสอง หวังว่าจะไม่รังเกียจ!”
นายท่านผู้นี้เวลาควักแต่ละทีก็ใจกว้างมาตลอด เมื่อเจอกับเรื่องมงคลแบบนี้ก็ยิ่งควักน้อยไม่ได้ สวีถังหรานใช้สองมือรับอย่างหน้าชื่นตาบานทันที “นายท่านเกรงใจแล้ว นายท่านสามารถให้เกียรติมาร่วมงานเองได้ ก็นับเป็นเกียรติอย่างสูงแก่พวกเราสองสามีภรรยาแล้ว”
ในดวงตาเสวี่ยหลิงหลงฉายแววสื่ออารมณ์ที่ซับซ้อน ตอนแรกที่ท่านแม่สวีรับประกันซ้ำๆ นางก็นึกว่าตัวเองจะได้ฝากฝังทั้งชีวิตไว้กับท่านที่อยู่ตรงหน้าแล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านแม่สวีไปเป็นแม่สื่อให้ นางก็ยังนึกว่าเรื่องดีๆ ใกล้จะมาถึงเสียอีก ความคิดของผู้หญิงมีมากมายต่างๆ นาๆ เพียงพอที่จะทำให้นอนพลิกตัวกลับไปกลับมาได้ทั้งวันทั้งคืน นางยังจำภาพเหตุการณ์เมื่อก่อนตอนที่ตัวเองเคยเต้นระบำด้วยอารมณ์ปฎิพัทธ์ต่อหน้าเขาได้ แต่กลับไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในใจจะไม่เศร้าโศกเลย
ตอนนี้เมื่อได้เจอกันอีก ผู้บัญชาการใหญ่หนิวยังคงมีบุคลิกสง่างาม องอาจมีสง่าราศี โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ รอบข้างมีขุนนางตำแหน่งสูงของตลาดสวรรค์ก้มหัวให้ ฉากนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงใจเต้น ทว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านกลับต้องเลือนหายไป ในเมื่อไม่มีทางรักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ก็ไม่สู้ปล่อยให้ความคิดนี้จมลงในใจดีกว่า ไม่ดึงดันในความรักนี้อีก ไม่คิดจดจำอีก
สองสามีภรรยาขอบคุณอีกครั้ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมามอง เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้าแล้ว
เหมียวอี้ที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวชะงักไปชั่วขณะ สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหวงฝู่จวินโหรวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวเงยหน้าเล็กน้อยและมองไปอีกด้านเหมือนท้าทาย
เหมียวอี้กลัดกลุ้มในใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงบอกว่าผู้หญิงคนนี้ห่อเหี่ยวลงเยอะมากไม่ใช่เหรอ ทำไมยังดูสวยสดใสมากอยู่เลย
เลิกสนใจผู้หญิงคนนี้ชั่วคราว เหมียวอี้เดินไปอีกด้านหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการใหญ่จ้านมาแล้วทำไมไม่บอกสักคำ” เขาหันกลับมาถาม “สวีถังหราน นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่รายงานขึ้นมา?”
สวีถังหรานรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วถามด้วยสีหน้างุนงง “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน? ผู้บัญชาการใหญ่จ้านไหนขอรับ?”
“จ้านหรูอี้ หนึ่งในผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่มาใหม่ของจวนแม่ทัพภาคตงหัวไง ไม่เคยได้ยินเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มวุ่นวายนิดหน่อยแล้ว
“หา! จ้านหรูอี้…” สวีถังหรานตกใจจนหน้าถอดสี อันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งก่อน อันดับสองจากการทดสอบรอบที่ผ่านมา คนที่เกือบจะตายด้วยน้ำมือผู้บัญชาการใหญ่ มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา เขาย่อมเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่บุคคลที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาแบบนี้มาโผล่อยู่ในงานเลี้ยงมงคลสมรสของตนได้อย่างไร เขาลนลานทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย “ข้าน้อยมิทราบ ข้าน้อยมิทราบจริงๆ…”
จ้านหรูอี้ยกมือกดลง แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เขาไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกจริงๆ ข้ากับผู้จัดการร้านหวงฝู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมารับตำแหน่งที่นี่ก็เลยต้องมาเยี่ยมสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับงานมงคลของผู้บัญชาการสวี ก็เลยมาดูความคึกครื้นสักหน่อย ไม่อยากจะทำให้ใครตื่นตกใจ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด วันมงคลของเจ้าตัวทั้งที ทำไมน้องหนิวต้องทำให้ลำบากใจล่ะ”
เหมียวอี้เหลือบมองหวงฝู่จวินโหรวที่จมูกเชิดขึ้นฟ้าแวบหนึ่ง ไม่เชื่อว่านางมาเพื่อหวงฝู่จวินโหรวเฉยๆ การมารับตำแหน่งที่ตงหัวก็ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่เขา มาเพื่อชำระแค้นล้างความอัปยศ มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ยิ่งเป็นการโอ้อวดอานุภาพ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ จึงได้แต่หันตัวแล้วยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
ในเมื่อตัวตนถูกเปิดเผยแล้ว จ้านหรูอี้ก็ไม่มีอะไรให้เสแสร้งอีก ยื่นมือเชิญเช่นกัน แล้วทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันไป เดินเบิกทางอยู่ข้างหน้าด้วยกัน
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
กลุ่มคนที่ขนาบอยู่สองข้างทางส่งเสียงคำนับดังเป็นระลอก
ฝั่งหนึ่งคือพ่อค้า ไม่ว่าจะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง แต่ภายนอกก็ดูกระตือรือล้นเต็มที่
ส่วนอีกฝั่งก็เป็นกลุ่มผู้หญิงจากหอนางโลม ถึงแม้จะไม่ได้แต่งตัวธรรมดาสามัญเหมือนตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้แต่งหน้าเข้ม แต่งตัวฉูดฉาดหรูหรา กลัวคนอื่นจะคิดมาก ดังนั้นการแต่งตัวจึงค่อนข้างเรียบง่าย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เสียงทำความเคารพก็ยังดูขาดความมั่นใจอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่การต้อนรับแขกที่หอนางโลม ที่จะใช้ศิลปะออกมาทั้งร่างกาย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนฐานะอย่างพวกนางควรจะมา
น้อยเนื้อต่ำใจ! ปกติตอนอยู่หอนางโล่มมีท่วงท่าสง่างาม พอมาอยู่ในงานที่เป็นทางการแบบนี้ก็เงยหน้าไม่ขึ้นนิดหน่อย ในตอนนี้คุณค่าและฐานะได้สะท้อนออกมาในใจทั้งหมดแล้ว อันดับแรกเลยคือพวกนางก็ดูถูกตัวเองเหมือนกัน
สงสัยสิ่งที่ลือกันจะเป็นเรื่องจริง! เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ตลอดทาง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจอยู่บ้าง
สวีถังหรานรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ สำรวจปฏิกิริยาบนใบหน้าด้านข้างของเหมียวอี้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โมโห ในใจก็รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่านายท่านจะไม่พอใจ
ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดินนำเข้ามาในศาลากลางทะเลสาบที่ผิวน้ำสะท้อนแสงของโคมไฟแวววาว แล้วขึ้นไปบนตึกสูง
เดิมทีตำแหน่งหลักมีที่นั่งเดียว แต่ตอนนี้เพิ่มมาอีกที่แล้ว หลังจากเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้นั่งลงแถวเดียวกัน คนที่เหลือก็ทยอยกันนั่งประจำที่
ในตึกศาลาบนทะเลสาบล้วนเป็นโต๊ะยาวด้านเดียว คนที่นั่งตรงนั้นได้ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาของตลาดสวรรค์ พวกผู้ช่วยผู้บัญชาการ พวกเจ้าของร้านที่ภูมิหลังค่อนข้างใหญ่ ส่วนริมทะเลสาบล้วนเป็นโต๊ะกลมแบบนั่งล้อม
หลังจากพิธีการที่คึกคักผ่านไปแล้ว ในฐานะที่เป็นบุคคลตำแหน่งสูงสุดของที่นี่ เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่มคำนับ จากนั้นคนทั้งชั้นบนชั้นล่างของตึกศาลาก็ยืนขึ้นชูจอกสุรา คนที่นั่งอยู่ริมทะเลสาบฝั่งหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ส่วนกลุ่มผู้หญิงอีกฝั่งกลับนั่งโดยไม่กล้าขยับซี้ซั้ว ไม่กล้ารับการดื่มคารวะนี้
ใครจะคิดว่าสายตาของเหมียวอี้จะชำเลืองมา แล้วจงใจเดินไปริมระเบียงที่อยู่ทางนั้น จงใจชูจอกสุราให้พวกนางจากที่ไกลๆ แสดงมาดของผู้บัญชาการใหญ่ออกมาเต็มที่ ความหมายที่แสดงออกมาชัดเจนมาก ทำท่าทางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศีรษะคนนับหมื่นของตลาดสวรรค์ กลุ่มผู้หญิงจากหอนางโลมรีบชูจอกสุราและลุกขึ้นยืนทันที
จ้านหรูอี้ที่เอียงหน้ามองไปแอบชื่นชมในใจ เพราะมีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ จึงไม่แปลกใจที่มีลูกน้องแบบนั้น
หวงฝู่จวินโหรวที่เหลือบมองบุคลิกอันน่านับถือของผู้บัญชาการใหญ่แอบกัดฟัน ในใจแอบด่าว่า สมควรตาย!
เหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มก่อน แล้วทุกคนก็ดื่มพร้อมกัน ท่ามกลางกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ริมทะเลสาบ มีบางคนที่วางจอกสุราเสร็จแล้วเอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น ความรู้สึกเวลามีคนมองเหมือนมนุษย์ช่างดีจริงๆ ตอนอยู่หอนางโลมเป็นของเล่นชั้นต่ำที่คนดูถูก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้
เมื่อวางจอกสุราลงแล้ว เสวี่ยหลิงหลงก็มองไปยังขุนนางระดับสูงในงาน นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้กลายเป็นตัวละครหญิงหลักในงานแบบนี้ รู้สึกเหมือนฝันไป ในดวงตามีน้ำตาคลอเล็กน้อย หลังจากสวีถังหรานสังเกตเห็น ก็ยื่นมือไปตบหลังมือของนางใต้โต๊ะเบาๆ บอกใบ้ว่าขุนนางระดับสูงอยู่ที่นี่ จะเสียอาการไม่ได้…
ด้วยฐานะอย่างเหมียวอี้ไม่สามารถอยู่ด้วยตลอดทั้งงานได้ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ทุกคนก็จะไม่สามารถสนุกกันได้เต็มที่ เท่ากับทำให้บรรยากาศในงานอึดอัด แค่มาพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เขาออกจากงานไปกลางคัน
จ้านหรูอี้ก็อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน จึงออกจากงานไปพร้อมหวงฝู่จวินโหรว
เหมียวอี้ที่เดินผ่านย่อมเชิญผู้บัญชาการใหญ่จ้านไปดื่มน้ำชาที่ตำหนักคุ้มเมือง แสดงไมตรีของเจ้าบ้านเต็มที่ ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งต่อกันหรือไม่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงอาณาเขตตัวเองแล้ว ภายนอกก็ยังต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย
แต่ไม่เหมาะที่ชายหญิงจะอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในฐานะที่เป็นสหายของจ้านหรูอี้ หวงฝู่จวินโหรวจึงได้อาศัยบารมีตามไปด้วย
ตอนที่มาถึงตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง ตอนที่มาถึงสถานที่ที่ทั้งสองเคยเลิกกันอีกครั้ง สายตาของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวก็แทบจะมองไปคนละทาง
จ้านหรูอี้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาได้รับข่าว จึงหยิบระฆังดาราหลบไปคุยในลานบ้านด้านข้าง เหลือเพียง ‘ศัตรูคู่แค้น’ ไว้สองคน ทั้งสองไม่อยากเผชิญหน้ากันก็คงยาก
เหมียวอี้ยกน้ำชาแล้วเอียงหน้ามองไปนอกศาลา
หวงฝู่จวินโหรวที่แอบกัดฟันเหลือบมองเป่าเหลียนที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้สารเลวที่ไหน แอบสืบข่าวของข้าอย่างอ้อมๆ ผ่านปากเซี่ยโห้วหลงเฉิง จะเสแสร้งอะไรนักหนา!”
เมื่อนางกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที เสียหน้าเกินไปแล้ว ทำไมไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงถึงบอกผู้หญิงคนนี้ได้แม้กระทั่งคำพูดแบบนี้!
…………………………