เขาไม่เข้าใจแล้ว ขนาดคำพูดไร้สาระระหว่างผู้ชายยังรายงานให้ฟังได้ แล้วยังจะมีอะไรที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะบอกกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อีก แล้วต่อไปยังจะคุยอะไรกับเจ้าหมีควายนั่นได้อีก?
สรุปก็คือตอนนี้ในใจเหมียวอี้มีเพียงประโยคเดียว ทำไมเจ้าหมีควายนั่นไม่เอาหัวโขกกำแพงตายไปซะ?
“ที่สืบข่าวเจ้าก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเราน่ะสิ กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเรื่องดีๆ ระหว่างเจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิง” เหมียวอี้ให้เหตุผลแบบดันทุรัง
หวงฝู่จวินโหรวทำสีหน้าเย้ยหยัน แล้วถามกลับว่า “ตอนนั้นข้ากำลังแกล้งแสดงละครให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงดู แต่ใครบางคนได้เห็นเองกับตาว่าข้าไม่เป็นอะไร ก็คงตกใจมากเลยสินะ?”
ที่จริงในตอนแรกนางก็ห่อเหี่ยวมากจริงๆ ตอนหลังบังเอิญสังเกตได้จากปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงว่าเหมียวอี้กำลังสืบข่าวนาง นางจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตอนหลังก็เลยแกล้งแสดงละครแล้วจริงๆ
“จะคิดยังไงก็แล้วแต่เจ้า” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วก็เงียบไป
จ้านหรูอี้ก็มาพอเป็นพิธีเท่านั้น แค่มาดูเฉยๆ ไม่ได้อยู่นาน ทั้งสองไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน กลับมีความแค้นต่อกันด้วยซ้ำ ครั้งนี้แสดงออกชัดเจนมากว่า ‘ฝากเอาไว้ก่อน’
หลังจากผู้หญิงสองคนนั้นออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็เข้ามาในทางใต้ดินในบ่อ เดิมทีมันถูกปิดไว้ แต่หลังจากรับมือกับเกาก้วนเสร็จก็ให้ผีจวินจื่อขุดใหม่
ก่อนหน้านี้ได้รับข้อความจากระฆังดาราของอวิ๋นจือชิว ว่าได้เบาะแสจากของที่เขานำกลับมาจากแดนอเวจีแล้ว แต่ติดที่งานแต่งงงานของสวีถังหราน ทำได้เพียงเลื่อนเวลาถึงตอนค่ำแล้วค่อยมา
ทั้งสองพบกันที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วนั่งลง อวิ๋นจือชิวรับน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์ส่งมาแล้ววางตรงหน้าเหมียวอี้ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วถามอย่างกังวลว่า “ได้ยินว่าจ้านหรูอี้มาเหรอ นางมีเจตนาอะไร?”
“ยังจะมีเจตนาอะไรได้ล่ะ นางเสียเปรียบด้วยน้ำมือข้า เลยอยากจะมากู้หน้าคืน ถ้าจะใช้กำลังนางก็รู้จักข้อบกพร่องของตัวเอง ข้ากลัวก็แต่นางจะลอบกัด” เหมียวอี้ตอบ
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “ท่านโหวเทียนหยวนเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ถ้าไม่อยากให้ปี้เยว่ฮูหยินช่วยนางก็คงยาก”
“ทางนรกข้าให้คนควบคุมปี้เยว่ฮูหยินไว้แล้ว ดูท่าแล้วคงต้องหาทางทำอะไรบนตัวปี้เยว่สักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว
“เอ๋…” อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออก แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึง ตอนนี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้เป็นหนึ่งในหัวโจกโจรกบฏในนรกแล้ว
“ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ตอนหลังค่อยคิดหาวิธีการ” เหมียวอี้ถามทั้งสามด้วยรอยยิ้ม “มีเบาะแสอะไรของของที่ได้มาบ้าง?”
“ได้ที่อยู่ของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าแล้ว อยู่ที่แดนสุขาวดี!” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างลังเล
เหมียวอี้ตกใจทันที “แดนสุขาวดี รังของประมุขพุทธะน่ะเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เส้นทางเข้าออกของที่นั่นมีศิษย์ลัทธิพุทธเฝ้าอยู่ ถ้าคนนอกอยากจะเข้าไป เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “การวางหมากของประมุขไป๋ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ขนาดโจรกบฏในนรกก็ยังดึงมาเกี่ยวข้องได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนหลังยังจะดึงเรื่องอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่ายิ่งทำต่อไปก็ยิ่งอันตราย อาศัยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ก็ลำบากอุปสรรคเยอะจริงๆ ไม่มีทางควบคุมได้เลย ทุกวันนี้ข้ายังสับสนกับโจรกบฏในนรกอยู่เลย น้องชิว ต่อให้ข้าทางเข้าแดนสุขาวดีได้ แต่ข้าก็เตรียมจะเลื่อนเวลาออกไปก่อนแล้วค่อยไปเอา อยากจะรอให้วรยุทธ์เพิ่มขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยโน้มน้าวเจ้า แต่เจ้าไม่เชื่อฟังเอง!” อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน
เหมียวอี้ส่ายหน้า “รังของโจรกบฏทำให้ข้าตกใจมากจริงๆ ที่นั่นน่ะ แม้แต่คนเฝ้าประตูก็สามารถเล่นงานให้ข้าตายได้ ไม่มีที่เหลือให้ข้าออกแรงโต้ตอบเลย จำเป็นต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนหลานชายอยู่หลายปี มีหรือที่จะไม่ได้บทเรียน”
“ถ้าเบื้องหน้าอยากจะหยิ่งยโส เบื้องหลังก็ต้องทนรับความขื่นขมให้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก” อวิ๋นจือชิวพลิกมือนำลูกโลหะกลมสีแดงที่ได้จากนรกออกมา แล้วบอกว่า “ประตูดวงดาวสี่แห่งที่อยู่ในนี้ ข้าได้ความพยายามไปเยอะมากกว่าจะหาเบาะแสพบ ตอนนี้แน่ใจแค่ประตูดวงดาวแห่งเดียว ยังมีตำแหน่งของอีกแห่งที่ยังสงสัย ส่วนอีกสองแห่งยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มหาจากตรงไหน ข้าสงสัยว่ามันจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตแผนที่ดาวที่เรารู้จัก”
เหมียวอี้เริ่มสนใจแล้ว หยิบลูกโลหะกลมสีแดงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูประตูดวงดาวสี่แห่งที่อยู่ในนั้น พร้อมทั้งบอกว่า “รีบบอกมาว่าตำแหน่งที่รู้แล้วอยู่ตรงไหน”
“แผนที่ดาวภาพแรกที่อยู่ด้านซ้ายสุด ถ้าพูดออกไปเกรงว่าเจ้าคงจะไม่เชื่อ เจ้ายังจำสถานที่ปล้นของพวกท่านปู่ได้มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวดึงสมาธิออกจากลูกโลหะกลม แล้วถามอย่างแปลกใจ “อย่าบอกนะว่าอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงดาวหนานจื่อ? ประตูดวงดาวที่นั่นคือทางเข้าแดนอเวจี”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เป็นทางเข้าแดนอเวจีนั่นไม่ผิดหรอก แต่ไม่ใช่บริเวณดาวหนานจื่อ มันอยู่ไกลจากดาวหนานจื่อมาก ออกจากน่านฟ้าระกาติงไปยังน่านฟ้ารกร้างผืนหนึ่งที่ไกลและลึกเข้าไป บนแผนที่ดาวไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ ที่จริงก็เป็นประตูดวงดาวที่ท่านปู่ข้าหนีเข้าไปหลังจากที่ปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั่นแล้ว”
“…” เหมียวอี้ถลึงตาพูดไม่ออก เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “อย่าบอกนะว่าประตูดวงดาวสี่แห่งนี้ล้วนเป็นทางเข้าแดนอเวจี? ในเมื่อแม้แต่บนแผนที่ดาวยังไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ แล้วเจ้าหาเจอได้ยังไง?”
“เป็นความบังเอิญล้วนๆ” อวิ๋นจือชิวตอบ
เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพพริบของฮูหยิน เกรงว่าคงจะพลาดและไม่รู้ว่าจะหาพบเมื่อไรเจ้าค่ะ ครั้งก่อนฮูหยินของผู้จัดการร้านค้าสำนักเมฆดารามาที่ตลาดสวรรค์ ได้ยินว่าร้านพวกเราโด่งดังเรื่องเครื่องประดับ ผู้จัดการร้านจึงมาเป็นเพื่อนฮูหยินตัวเองเพื่อดูเครื่องประดับที่นี่ ตอนที่คุยกันในห้องส่วนตัว ก็บังเอิญเอ่ยถึงเรื่องที่ร้านค้าของพวกเขาได้แผนที่ดาวฉบับใหม่ล่าสุดมาชุดหนึ่ง แล้วก็พูดถึงว่าในนั้นมีการเพิ่มประดูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจีที่ค้นพบขึ้นใหม่ ตอนนั้นฮูหยินมีไหวพริบ นึกขึ้นได้ถึงแผนที่ที่นายท่านนำออกมาจากแดนอเวจี สงสัยว่าประตูดวงดาวแห่งนี้เกี่ยวข้องกับแดนอเวจีหรือเปล่า ตอนนั้นฮูหยินจึงแกล้งสนใจแผนที่ดาวมาก โพล่งถามไปว่าผู้จัดการร้านมีแผนที่ดาวของทางนั้นหรือเปล่า ผู้จัดการร้านเลยมอบให้ฮูหยินฉบับหนึ่ง เพื่อให้ฮูหยินลดราคาเครื่องประดับให้พวกเขาสักหน่อย”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หาจนทั่วแล้วก็ยังหาไม่พบ ตอนนั้นข้าลองทุกอย่างเหมือนรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น เลยหาข้ออ้างว่าจะเห็นแก่หน้าให้ผู้จัดการร้าน ใครจะคิดว่าจะได้แผนที่ดาวหลักที่อยู่ใกล้กันกลับมาเป็นชุด ไม่น่าเชื่อว่าจะสอดคล้องกับตำแหน่งด้านซ้ายของแผนที่ดาวฉบับแรก ก็เลยแน่ใจตำแหน่งของประตูดวงดาวแห่งนั้น”
เสวี่ยเอ๋อร์แย่งพูดต่อว่า “ตอนแรกพวกเราพบว่าแผนที่ดาวของดาวหลักที่อยู่แถวนั้นไม่ค่อยเหมือนกับที่นายท่านนำกลับมา ยังนึกว่าวินิจฉัยผิดไป แต่พอเทียบตรวจดูให้ละเอียดถึงได้ค้นพบ ว่าแผนที่ของประตูดวงดาวไม่เหมือนกับแผนที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้เลย ที่จริงแผนที่ของประตูดวงดาวเป็นภาพป้ายบอกทาง เพียงแค่ใช้วิธีการวนกลับมาเพื่อหดให้เป็นก้อนเดียวกัน ดูเผินๆ เหมือนเป็นแผนที่ดาวที่สมบูรณ์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ คาดว่าในตอนนั้นคนที่สร้างแผนที่ดาวฉบับนี้คงจะไม่มีเวลาคำนึงถึงภาพดาวของทั้งอาณาเขต หรือไม่ก็เป็นเพราะแผนที่ดาวของที่นั่นยังไม่ถูกค้นพบ ต่อให้ทำเครื่องหมายแผนที่ดาวออกมาก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยทำเครื่องหมายเฉพาะทางที่ผ่านไปจนถึงเป้าหมายโดยตรง”
เชียนเอ๋อร์ยิ้มพร้อมบอกว่า “ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องก็เลยใช้วิธีการอนุมานแบบย้อนกลับเพื่อย้อนกลับมาจากเป้าหมาย ถึงได้พบว่าจุดเริ่มต้นอยู่ที่มุมบนซ้ายของแผนที่เจ้าค่ะ จุดเริ่มต้นอยู่ที่น่านฟ้าระกาติง พอค้นพบแบบนี้แล้ว ก็เลยมีเบาะแส และง่ายขึ้นเยอะด้วย จากนั้นพวกก็เริ่มเทียบจากมุมบนซ้ายของแผนที่ประตูดวงดาวฉบับที่สอง สุดท้ายก็เจอว่าจุดเริ่มต้นของแผนที่ประตูดวงดาวฉบับที่สองอยู่ที่น่านฟ้าเกิงกุ่ย เมื่อหาต่อไปตามนี้เรื่อยๆ ก็แน่ใจทิศทางเดิมที่จะตามมาตอนหลัง เนื่องจากตอนหลังเข้าไปในน่านฟ้ารกร้างที่อยู่เกินขอบเขตอาณาเขตดาวเกิงกุ่ย เมื่อไม่มีแผนที่ดาวมาเทียบก็ไม่มีทางหาต่อไปได้ เกรงว่าจะต้องไปเทียบต่อที่สถานที่จริงถึงจะหาพบ”
เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ลำบากสาวสวยทั้งสามแล้ว”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม แต่อวิ๋นจือชิวกลับส่ายหน้าบอกว่า “หมดหนทางหาอีกสองฉบับแล้วจริงๆ พวกเราหาเจอเลยว่าจุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหน มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้สงสัยว่าจุดเริ่มต้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตดาวที่ถูกค้นพบแล้ว”
เหมียวอี้ใชฝ่ามือรองลูกโลหะกลมสีแดงพลางพึมพำว่า “แผนที่ประตูดวงดาวฉบับแรกคือทางเข้าแดนอเวจี ที่นี่ถูกตำหนักสวรรค์ค้นพบแล้ว ไม่มีความหมายแล้ว แล้วอีกสามแห่งที่เหลือจะพาไปที่ไหนกัน? ประมุขไป๋คนนี้เล่นบ้าอะไรกันแน่ อยากจะชักนำคนหาสมบัติไปที่ไหนกันแน่? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าทำสำเนาแผนที่ดาวอีกสามฉบับให้ข้าหน่อย”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “อย่ายอกนะว่าเจ้าอยากจะไปสำรวจอีก? เอาตามที่เจ้าเพิ่งบอกก่อนหน้านี้ รอให้วรยุทธ์สูงขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เหมียวอี้โบกมือบอกว่า “ข้าแค่อยากจะนำกลับไปศึกษายามว่าง จะดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเจอมั้ย ฮูหยิน ดึกแล้วนะ!” เขาโยนลูกโลหะกลมสีแดงไปให้เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วใช้มืออีกข้างจับมือที่ขาวงามของอวิ๋นจือชิวพลางหัวเราะคิกคัก
อวิ๋นจือชิวมองค้อนเขาอย่างดุร้ายทันที มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร นางรีบชักมือกลับมา เพราะยังมีสาวใช้สองคนมองอยู่
แต่ใครจะคิดว่าท่านขุนนางเหมียวจะไม่เกรงกลัวอะไร “อ๊า!” อวิ๋นจือชิวร้องตกใจ นางโดนดึงเข้ามาและอุ้มพาดบ่าเดินไปแล้ว ได้แต่ทุบตีดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง “หนิวเอ้อร์ ยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งไร้ยางอายนะ มีคนมองอยู่นะ”
“กลัวทำไมล่ะ เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เดี๋ยววันหลังข้าค่อยเรียกพวกนางสองคนไปจัดการที่ตำหนักคุ้มเมือง เจ้าไปร่วมด้วยดีมั้ยล่ะ?”
“ไปตายซะ!”
หลังจากเสร็จภารกิจในห้องแล้ว อวิ๋นจือชิวที่ผ่อนคลายก็เอียงหน้ามองคนที่นอนอยู่ข้างหมอน หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ ข้างนอกเขาลือกัน ว่าเรื่องที่สวีถังหรานชิงตัวเสวี่ยหลิงหลง เจ้าเป็นคนยุยงเขาใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “สวีถังหรานชอบเสวี่ยหลิงหลงมาตลอด ข้าก็แค่ไม่คัดค้าน”
“แล้วเจ้าไม่ชอบเหรอ? พวกชายอย่างพวกเจ้ามีใครไม่ชอบคนสวยบ้าง? นี่ไม่ใช่เหตุผล” อวิ๋นจือชิวก็เงียบไปครู่หนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ข้าจะบังคับเจ้า แต่เจ้าก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงอยู่ดี หนิวเอ้อร์ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากกลับมาจากแดนอเวจีเจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว” มีความหมายแฝงอยู่ในคำพูด
เหมียวอี้ลุกขึ้นนั่ง อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นนั่งตามทันที หน้าอกที่อิ่มเอิบแนบชิดแขนของเขา แขนงามดุจหยกคล้องคอเขา แล้วกระซิบข้างหูว่า “เจ้าโมโหเหรอ?”
สีหน้ามืดครึ้มของเหมียวอี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หัวเราะเจื่อนๆ ยกมือลูบผมงามที่ยุ่งเหยิงพันใบหน้านาง “ข้าเหมียวอี้เดิมทีเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง…ในปีนั้นเหล่าไป๋ถามว่าต้องการจะก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้หรือไม่ เขาบอกว่าถ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วจะย้อนกลับไม่ได้ บนเส้นทางนี้เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและกลิ่นคาวเลือด เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการทรยศหักหลัง เส้นทางนี้ยิ่งเดินยิ่งไกล บุญคุณความแค้นที่ต้องแบกรับก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยากจะหลุดพ้นก็มีแค่ทางเดียว เป็นทางที่ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น หันกลับมาไม่ได้ มีเพียงการรอให้เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น ถึงจะโยนทุกอย่างไว้ข้างหลังได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะเหลือเพียงความโดดเดี่ยว…ตอนนี้ข้าสงสัยในคำพูดของเหล่าไป๋มาก”
…………………………