แน่นอน เหมียวอี้ยังต้องพูดเสริมอีกว่า “อย่าบอกเรื่องนี้ให้อีกห้าลัทธิรู้นะ”
“ประมุขปราชญ์วางใจได้ การที่หกลัทธิทำงานร่วมกันไม่ได้แปลว่าจะเปิดเผยความลับในบ้านตัวเอง”
จินม่านตอบพร้อมรอยยิ้ม ที่จริงสำหรับลัทธิอู๋เลี่ยงพวกเขายินดีที่จะเห็นเหมียวอี้ไม่ลงรอยกับอีกห้าลัทธิ ก็เป็นอย่างที่นางบอก ตอนนี้ร่วมมือกันเพื่อปกป้องตัวเองภายใต้ความจนใจเท่านั้น ถ้าวันไหนสามารถโค่นล้มตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ ก็ย่อมกลับสู่สภาวะการช่วงชิงความเป็นมหาอำนาจของหกลัทธิอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากรับความไม่ยุติธรรมอยู่ใต้ลัทธิอื่นทั้งนั้น
พอนางรับแผ่นหยกมาดูในมือ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเฝ้าคอยทันที
ใครจะคิดว่าจินม่านจะขมวดคิ้วครุ่นคิดได้ครู่เดียว เหมือนจะไม่พบเบาะแสอะไร จึงส่งต่อให้กงซุนลี่เต้าอีก “เจ้าดูซิ”
สายตาเหมียวอี้มองตามไป กงซุนลี่เต้าพิจารณาอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง พึมพำเบาๆ ว่า “เหมือนจะคุ้นๆ อยู่นะ เดี๋ยวข้าจะกลับไปค้นหาหลักฐานอีกสักหน่อย”
เมื่อได้ยินว่ามีหวัง เหมียวอี้ก็รีบบอกว่า “หวังว่าจะรีบๆ หน่อยนะ ข้ารอตรวจสอบยืนยันเรื่องนี้อยู่”
“ข้าจะตรวจสอบโดยเร็วที่สุด” กงซุนลี่เต้าพยักหน้าตอบ
“รบกวนขุนพลใหญ่แล้ว” เหมียวอี้กล่าว
“ประมุขปราชญ์ แล้วปี้เยว่นั่น นายท่านเตรียมจะควบคุมยังไงคะ?” จินม่านถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีวิธีการดีๆ บ้างหรือเปล่า?”
“ไม่ปิดบังประมุขปราชญ์ ข้าเองก็เคยคิดว่าจะช่วยประมุขปราชญ์ควบคุมนางได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีวิธีไหนแล้วจริงๆ ผู้ชายของนางอยู่ในตำแหน่งโหวฝั่งโจรกบฏ คนที่อยู่ในระดับนั้น เกรงว่าการที่พวกเราจับฮูหยินของเขามาก็อาจจะขู่เขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องตัดขาดอย่างไม่ลังเลแน่นอน” จินม่านตอบ
ในตอนนี้ หมี่หลิงเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว นางมองจินม่านครู่หนึ่ง แล้วก็มองเหมียวอี้อีก เหมือนไม่รู้ว่าจะรายงานท่านไหนดี
“มีเรื่องอะไร ว่ามาเถอะ” จินม่านถาม
หมี่หลิงถึงได้ตอบว่า “ประมุขขุนพล ขุนพลใหญ่สือกับขุนพลใหญ่อ๋าวมาแล้วค่ะ”
“เชิญเข้ามา” จินม่านพยักหน้า
หมี่หลิงออกไปได้ไม่นาน สืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยก็เข้ามาด้วยกัน พอทั้งสองเห็นเหมียวอี้อยู่ในโถงหลัง ก็ยืนงงอยู่ตรงประตูทันที พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก นึกว่าตัวเองดูผิดไป
“ไม่ต้องสงสัยหรอก เป็นประมุขปราชญ์…” จินม่านเล่าคร่าวๆ ทันทีว่าเหมียวอี้มาที่นี่ได้อย่างไร
ตอนนี้ทั้งสองถึงได้กุมหมัดคารวะอย่างประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง “คารวะประมุขปราชญ์”
“ขุนพลใหญ่ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ” เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย แล้วถามจินม่านต่อว่า “พวกเจ้ามียาพิษที่ร้ายแรงอะไรบ้างหรือเปล่า ยาพิษที่สามารถควบคุมคนได้น่ะ?”
จินม่านส่ายหน้า “ตราบใดที่ไม่ทำให้ถึงตาย เกรงว่าทางโจรกบฏก็ล้วนมีวิธีถอนพิษ ในจุดนี้สำคัญมาก ตราบใดที่ปล่อยคนกลับไป ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไร เกรงว่าพวกเราจะควบคุมไม่ได้เลย ดีไม่ดีอาจจะโดนตำหนักสวรรค์ปลุกระดมให้ก่อกบฏก็ได้ กลับจะสร้างภัยคุกคามให้พวกเราด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเหตุลที่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แต่พวกเราก็ยังไม่กล้ารับคนของตำหนักสวรรค์ง่ายๆ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตราบใดที่มีคนของตำหนักสวรรค์มาที่นี่ พวกเราก็จะประหารอย่างเดียว”
“ดึงนางให้มาสมคบกับพวกเราดีมั้ย? สร้างใบรับรองสมาชิกให้นาง แล้วค่อยปล่อยนางกลับไปดีมั้ย?” เหมียวอี้ถาม
กงซุนลี่เต้าตอบว่า “อันนี้พวกเราเคยลองตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว ตอนนี้โจรกบฏยึดครองใต้หล้าไปแล้ว ทรัพยากรในมือที่พวกเขามี พวกเราก็เทียบไม่ติดเลย ถ้าปล่อยคนออกไปก็จะทรยศแน่ๆ ประมุขชิงเองก็ไม่ใช่เล่นๆ สำหรับประมุขชิง คนทรยศที่สร้างใบรับรองสมาชิกที่นรก การฆ่าคนของตัวเองนิดหน่อยไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย แต่ขอเพียงมีค่าให้ใช้ประโยชน์ เขาก็จะไม่เพียงแค่มองข้ามความผิดในอดีต แต่จะให้ความสำคัญและตบรางวัลด้วย ครั้งนั้นทำให้พวกเราเสียหายหนักมาก แทบจะหว่านแหกำจัดคนของเราที่อยู่ข้างนอกจนหมด ดังนั้นวิธีการนี้จึงไม่ได้ผลเลย มีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว หลังจากกลับไปนางจะทำยังไงข้าย่อมรู้ ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะไร้ความผิด แต่ยังมีผลงานด้วย!”
เหมียวอี้กลุ้มใจทันที วิธีการนี้ของประมุขชิงช่างโหดจริงๆ สามารถตัดความคิดของโจรกบฏนรกในด้านนี้ได้ในรวดเดียว พอเป็นแบบนี้ก็หมดหนทางกับปี้เยว่แล้วจริงๆ นอกเสียจากจะจงใจหลอกท่านโหวเทียนหยวน ไม่อย่างนั้นขอเพียงปล่อยปี้เยว่กลับไป ทุกอย่างก็จะเปล่าประโยชน์ บีบจุดอ่อนของปี้เยว่ไม่ได้เลย
สืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยที่มาใหม่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจ สืออวิ๋นเปียนกุมหมัดถามว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์และคนอื่นๆ กำลังปรึกษาเรื่องอะไรกันอยู่?”
“คนคนนั้นที่ถูกพวกเราควบคุมไว้ ประมุขปราชญ์อยากจะใช้ประโยชน์เพิ่ม…” กงซุนลี่เต้าเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
สืออวิ๋นเปียนได้ยินแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องให้กลับไปอยู่หน่วยงานภายในของโจรกบฏก็ไม่ต้องคิดแล้ว ประมุขชิงไม่ใช่คนถือศีลกินเจ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น พวกเราเคยเสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่ง ตามความคิดของข้า ถ้าไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ฆ่าให้หมดเกลี้ยงไปเสียเลยดีกว่า”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้…” อ๋าวเถี่ยที่รูปร่างผอมแห้งและสวมชุดคลุมสีดำ เขากำลังเอามือขยี้เคราสีขาว หรี่ดวงตาสามเหลี่ยม แววตาดุร้ายในร่องตาฉายประกายเล็กน้อย กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกใจออกมา “ถ้าไม่รีบร้อนอยากได้ผลงาน ให้นางกลับไปหาโจรกบฏแล้วไม่เปิดเผยความลับ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย”
“อ้อ!” เหมียวอี้สนใจทันที รีบขอคำชี้แนะ “ข้าจะล้างหูรอฟัง”
อ๋าวเถี่ยตอบกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเองก็มีแผนการแล้ว เพียงแต่แผนนี้สกปรกโสมมเกินไป ถ้าพูดออกไปแล้วก็เกรงว่าจะทำให้ประมุขขุนพลไม่พอใจ”
จินม่านลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ตราบใดที่มีประโยชน์ต่อลัทธิอู๋เลี่ยงของข้า สามารถช่วยให้ประมุขปราชญ์โจมตีเข้าไปภายในของโจรกบฏได้ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร จะเรียกว่าสกปรกโสมมได้ยังไง มีประโยชน์ก็พอแล้ว”
อ๋าวเถี่ยหันซ้ายหันขวามองทุกคน “อยากจะฟังจริงเหรอ?”
“อยากฟัง!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน สืออวิ๋นเปียนก็ยิ่งพูดเร่งว่า “เจ้าบอกมาเร็วๆ หน่อย อย่าล่อให้อยากรู้”
“ถ้าใจร้อนจะทำไม่สำเร็จ แผนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลา…” อ๋าวเถี่ยอธิบายแผนของตัวเองทันที
หลังจากได้รู้แผนการของเขาแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งงเป็นไก่ตาแตก เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง พึมพำในใจว่า แผนนี้ช่างต่ำทรามไร้ยางอายจริงๆ มีน่าล่ะถึงรู้สึกเขินอายที่จะพูดออกมา จินม่านกัดริมฝีปาก ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะตบอ๋าวเถี่ยสักฉาด แม้แต่เหลียงหรงที่อยู่ข้างๆ ก็มองเขาราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด
ส่วนอ๋าวเถี่ยเองก็หดคอหัวเราะแห้งๆ หลังจากพูดจบ เป็นชายชราแล้วแท้ๆ แต่กลับทำสีหน้าเขินอายเหมือนเด็กน้อย ทั้งยังรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนากับเหมียวอี้ด้วย “ประมุขปราชญ์ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง จะใช้แผนนี้หรือไม่ก็แล้วแต่ท่านปราชญ์เลย!”
เหมียวอี้lส่งเผือกร้อนในมือกลับไปทันที “ขุนพลใหญ่อ๋าวรู้สึกว่าใช้แผนนี้ได้จริงเหรอ?”
อ๋าวเถี่ยตอบว่า “ตามหลักการแล้วได้ผล แต่สามีของปี้เยว่คือท่านโหวของฝั่งโจรกบฏ วรยุทธ์ก็ถึงระดับระดับบงกชกลายแล้วด้วย ถ้าอยากให้โอกาสของแผนนี้สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ทางฝั่งพวกเราต้องส่งคนที่ไม่ว่าปัจจัยทางด้านวรยุทธ์ ความสามารถหรือรูปลักษณ์ภายนอกล้วนเหนือกว่า”
กงซุนลี่เต้าเหล่ตามตอบ “ทางข้ามีตัวเลือกที่ดีอยู่คนหนึ่ง!”
สืออวิ๋นเปียนหลุดขำออกมา แทบจะกล่าวชื่อของคนคนหนึ่งออกมาเป็นเสียงเดียวกับอ๋าวเถี่ย “ไห่ยวนเค่อ!”
“ใช่แล้ว!” กงซุนลี่เต้ากล่าวอย่างสบายๆ
จินม่านได้ยินแล้วกลอกตามองบน แล้วจะหลุดพูดคำว่า ‘ต่ำช้าไร้ยางอาย’ ออกมา
“หา!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนตกใจมาก กลืนน้ำลายแล้วถามว่า “ขุนพลใหญ่ไห่จะยอมตอบตกลงทำเรื่องแบบนี้เหรอ?”
กงซุนลี่เต้าตอบว่า “ประมุขปราชญ์ไม่เคยเจอไห่ยวนเค่อ ถ้าเคยเจอแล้วจะต้องรู้สึกว่าเหมาะสมแน่นอน ปัจจัยภายนอกของเจ้านั่นมีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงอยู่หลายส่วน ทั้งยังชอบวางมาดเก๊กหล่อทั้งวัน ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะอ้วก ตอนนี้ส่งไปใช้ประโยชน์ได้พอดีเลย เพียงแต่เป็นอย่างที่ประมุขปราชญ์บอก เจ้านั่นจะยอมตอบตกลงทำเรื่องแบบนี้เหรอ เกรงส่าจะต้องให้ประมุขขุนพลไปเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเอง”
จินม่านปฏิเสธทันที “ถ้าจะพูดพวกเจ้าก็ไปพูดเองสิ ข้าพูดไม่ออกหรอก”
“เหอะๆ!” สืออวิ๋นเปียนยกมือห้าม “ช่างเถอะ ประมุขขุนพลเป็นผู้หญิง ไม่สะดวกจะพูดเรื่องประเภทนี้จริงๆ พวกเราสามคนไปเป็นนายหน้าติดต่อด้วยกัน”
ขุนพลใหญ่ทั้งสามสบตากันด้วยรอยยิ้มราวกับใจตรงกัน ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ดุร้าย
“จริงด้วย ถ้าสามารถใช้แผนนี้ได้ ตอนหลังก็จะใช้แผนนี้ได้อีกหลายครั้ง” กงซุนลี่เต้าพยักหน้า
อ๋าวเถี่ยบอกว่า “ไม่เหมาะจะใช้แผนนี้หลายครั้ง อันดับแรกเป็นเพราะผู้หญิงที่มาเข้าร่วมการทดสอบมีไม่เยอะ แล้วถ้าคนเยอะมีหลายปากก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าฝ่ายนั้นเปิดเผยความลับขึ้นมา ฝั่งโจรกบฏจะต้องระวังผู้หญิงทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบแน่นอน กลับจะทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้าเสียเปล่าได้ง่ายๆ”
สืออวิ๋นเปียนพยักหน้า แล้วกล้าวว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพล พวกเราขอตัวไปจัดการเรื่องนี้ก่อน”
เหมียวอี้ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ “รบกวนแล้ว ขุนพลใหญ่กงซุน รีบจัดการเรื่องนั้นให้เร็วไว”
กงซุนลี่เต้าพยักหน้าบอกใบ้ว่าทราบแล้ว จากนั้นขุนพลใหญ่ก็ออกไปด้วยกัน
ตอนนี้จินม่านถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดเหน็บแนมว่า “พวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”
เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าอึดอัดเก้อเขิน พลอยโดนด่าไปด้วยแล้ว
วันต่อมา กงซุนลี่เต้าพาเหมียวอี้ไปยังดาวเคราะห์ที่ปี้เยว่ฮูหยินซ่อนตัวอยู่ เหมียวอี้เป็นฝ่ายขอมาเอง เพราะอยากจะเห็นว่าปี้เยว่ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แน่นอน เขารู้สึกว่าละครเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ไม่อยากจะพลาด อยากจะเห็นว่าตัวเอกฝ่ายชายหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนกลุ่มหนึ่งผลักให้มาทำเรื่องแบบนี้
กงซุนลี่เต้า อ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียน แล้วก็ยังมีขุนพลใหญ่ซือถูชิงหลันที่รู้สึกว่าพลาดละครยอดเยี่ยมเรื่องนี้ไม่ได้ก็มาด้วยเช่นกัน เดิมทีที่นี่ก็คือเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบของนางอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าประมุขปราชญ์มา ถ้านางไม่โผล่หน้ามาเจอสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล
“ซือถูกชิงหลันคารวะประมุขปราชญ์!”
บนป่าที่รกร้าง ซือถูกชิงหลันสวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางสีม่วง ปล่อยผมยาวคลุมหลังโดยไม่ได้มัด นางกำลังกุมหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้ ดวงตางามมองสำรวจเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ แต่จนใจที่บนใบหน้าเหมียวอี้ใส่หน้ากากปลอมตัวอยู่ มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วก็คงไม่ดีถ้านางจะฉีกหน้ากากบนหน้าเหมียวอี้ออก ทำให้เจอแล้วก็เหมือนไม่ได้เจอ นางรู้สึกเซ็งในใจ
“ขุนพลใหญ่ไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย ในใจแอบรู้สึกปลง เป็นผู้หญิงสวยอีกคนหนึ่งแล้ว ผู้ชายในใต้หล้านี้ตายหมดแล้วรึไง ทำไมมีแต่ผู้หญิงที่กุมอำนาจมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นจินม่าน เขายังมีทัศนคติเรื่องชายเป็นใหญ่อยู่นิดหน่อย
ซือถูกชิงหลันย่อมไม่ทำตัวมากพิธีรีตองอยู่แล้ว นางหยุดทำความเคารพ แล้วมองคนอื่นๆ พร้อมถามว่า “แค่นักพรตบงกชรุ้งคนเดียว สะเทือนจนทำให้พวกเจ้าต้องโผล่หน้ามาพร้อมกันเลยเหรอ พวกเจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
พวกเขายิ้มอย่างถ่อมตัวและมีลับลมคมใน สืออวิ๋นเปียนโบกมือบอกว่า “เรื่องแบบนี้ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าอย่ารู้จะดีกว่า”
ซือถูกชิงหลันเหล่ตามถาม “ดูถูกผู้หญิงเหรอ? พวกเจ้าเกิดมาจากก้อนหินรึไง?”
“ทุกคน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน” เหมียวอี้รีบคลี่คลายบรรยากาศ กลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน รีบเปลี่ยนประเด็นพูดว่า “ปี้เยว่อยู่ที่ไหน?”
“ตามข้ามา เบาๆ หน่อย อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น” กงซุนลี่เต้าบอก
จากนั้นทุกคนก็ลอยไปเหยียบลงเหนือหุบเขาแห่งนึ่ง กงซุนลี่เต้าชี้ไปยังหินก้อนใหญ่ที่อุดปากถ้ำตรงหุบเขาด้านล่าง เหมียวอี้มองดูสภาพด้านล่างแล้วต้องกลั้นขำ นึกไม่ถึงว่าปี้เยว่ฮูหยินที่ยามปกติใช้อำนาจบาตรใหญ่ชี้นิ้วสั่งเขาจะทำงานประเภทขุดถ้ำได้
หลังจากดูเสร็จแล้ว กงซุนลี่เต้าให้ก็พวกเขาหลบไปอยู่ในที่ลับเพื่อรอดูละครสนุกๆ จากนั้นก็โบกมือ คนสี่คนที่ดักซุ่มเฝ้าดูอยู่ตลอดกระโดออกมา พวกเขาสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะลงไปในหุบเขาด้วยกัน
…………………………