หยางชิ่งที่ฟังอยู่นอกตึกศาลาก็ปวดหัวแล้วเช่นกัน เขาพบว่าตัวเองประเมินท่านเจ้าภาพที่อยู่ในนั้นต่ำเกินไป เขาเริ่มสงสัยนิดหน่อยแล้วว่าการให้คนแบบนี้ทำงานให้จะไว้ใจได้หรือเปล่า?
เท่ากับโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตบหน้าแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่เหลียนฟางอวี้ถึงขั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความโมโหแล้ว พวกเราทุกฝ่ายมีเพิ่มมาคนละสิบกว่าคน ถ้าบวกกันก็ได้ร้อยกว่าคน ค่าจ้างของคนมากมายขนาดนี้ใครจะเป็นคนออกล่ะ?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงตอบอย่างฉลาดมากว่า “เรื่องนี้ก็ง่ายมาก เราแค่สลับกันก็พอแล้ว ข้าแบ่งส่งคนไปให้พวกเจ้า ส่วนคนของพวกเจ้าที่เกินมาก็ส่งมาให้ข้า เดี่ยวข้าจะเตรียมข้าจ้างให้พวกเขาเอง”
ในตอนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนไม่มีใครพูดอะไรแล้ว แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงยังพูดเสริมอีกว่า “คนของข้าที่ส่งไปให้พวกเจ้า จะดูแลแย่ๆ ไม่ได้นะ ทุกคนเตรียมตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการไว้คนละสามตำแหน่งก็ไม่ถือว่าลำบากใช่มั้ย?”
งานเลี้ยงสุรารอบนี้ ตอนแรกทุกคนกินดื่มกันอย่างมนุกสนานมาก แต่หลังจากที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเริ่มคุยเรื่องสำคัญ พวกเขาก็อารมณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนก็ออกจากงานไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย
ในใจแต่ละคนเก็บกดแทบแย่ เจ้าหมีควายนั่นจะสำนึกได้อย่างไรว่าทุกคนอยุ่ในระดับเดียวกัน ยื่นมือเขาไปแทรกแซงที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นแล้ว ทำเหมือนเขาเป็นแม่ทัพภาคของจวนแม่ทัพภาคตงหัว
สรุปก็คือทุกคนไว้หน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด ที่สำคัญคือจะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ เพราะทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ อาศัยระดับอย่างพวกเขา ใครจะกล้าไปฟ้องร้องความผิดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่ะ ต่อให้ฟ้องร้องจนชนะแล้ว ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนทำโทษแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ถือว่าอีกฝ่ายทำผิดกฎร้ายแรงสักเท่าไร เพราะเจ้าสามารถไม่ตอบตกลงได้ ดังนั้นจึงดึงเจ้าหมีควายนั่นให้ล้มไม่ได้เลย
ทว่าด้วยนิสัยอย่างเจ้าหมีควายนั่น เรียกได้ว่าชื่อเสียงดังไปถึงข้างนอก ถ้าโค่นไม่ล้มผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก ทำเอาทั้งเจ็ดคนจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ช่วยครั้งเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ทั้งเจ็ดคนกังวลว่าถ้าในภายหลังเจ้าหมีควายนี่มาขอให้ช่วยบ่อยๆ ล่ะ แล้วพวกเขาจะทำยังไง? เมื่อจวนแม่ทัพภาคตงหัวมีนายท่านผู้นี้มา เกรงว่าต่อให้เป็นท่านแม่ทัพภาคก็อาจจะคุมไม่อยู่!
นี่ก็คือข้อดีของการที่ชื่อเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงโด่งดังออกไปข้างนอก และมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำเรื่องนี้แล้วดูสมเหตุสมผล ทั้งเจ็ดคนต่างก็รู้ว่าเขาไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ทั้งเจ็ดคนก็คงไม่ได้พูดง่ายขนาดนี้ แต่ครั้งนี้ยอมแล้ว อย่างมากถ้าครั้งหน้าเจ้าเวรนี่จัดงานเลี้ยงเรียกทุกคนมาอีก ทุกคนก็จะหลบให้ไกลหน่อย
อย่างน้อยมารยาทบางอย่าง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังรักษาไว้ได้ ถึงอย่างไรก็มาจากตระกูลใหญ่
หลังจากส่งกลุ่มเพื่อนร่วมงานไปแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็กลับเข้ามานั่งในตึกศาลา
หยางชิ่งมองดูด้านนอกครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินเข้ามาในตึกศาลา พอเข้ามาข้างใน ก็ได้ยินเซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “น้องหนิวต้องการตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการหนึ่งตำแหน่ง ข้าให้พวกเขาจัดหาคนละสามตำแหน่ง ข้ามีน้ำใจมั้ยล่ะ? กลับไปก็อย่าลืมเอ่ยเรื่องนี้ให้น้องหนิวฟังสักหน่อยนะ”
หยางชิ่งไม่รู้จะด่าเขาว่าอย่างไรดี มีตำแหน่งเพิ่มขึ้นก็ย่อมดีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนสิ เจ้ากดดันโหดขนาดนี้ในครั้งเดียว เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะพังเหรอ ข้ากลัวว่าเรื่องนี้จะสะดุดตาคนอื่นมากเกินไปนะ!
แต่ภายนอกเขาก็ยังยิ้มพร้อมชมว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! ใช่สิ หลังจากนายท่านสลับคนกับพวกเขาหนึ่งร้อยคนแล้ว ก็เท่ากับลูกน้องของนายท่านเพิ่มขึ้นรวดเดียวหนึ่งร้อยคน นายท่านเคยคิดมั้ยว่าจะจัดการอย่างไร?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ “เรื่องนี้ง่ายมาก มาก็มาสิ เดี๋ยวยัดเยียดข้อหาความผิดให้พวกเขา เตะพวกเขาออกจากตลาดสวรรค์ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ตำแหน่งพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองที่ไม่มีคนอย่างไปเป็นก็มีตั้งเยอะ ยังจะกลัวหาที่ลงไม่ได้อีกเหรอ”
หยางชิ่งพูดไม่ออก ไม่ง่ายเลยกว่าอีกฝ่ายจะได้มาทำงานในตลาดสวรรค์ เจ้าจะเตะพวกเขาไปอย่างนี้น่ะเหรอ?
ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็หัวใหญ่ ตอนนี้หยางชิ่งกังวลอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า จึงถามว่า “เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับคำพูดหรือเปล่า เมื่อใกล้ถึงเวลาแล้วจะไม่กลับคำหรอกใช่มั้ย?”
“ข้าสงสัยว่าทำไมน้องหนิวถึงส่งคนขี้บ่นพูดมากอย่างเจ้ามาที่นี่?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าเหมือนทนรำคาญไม่ไหว “นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ ถ้าฝั่งพวกเขาไม่ยอมรับไว้จริงๆ ก็ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? ก็แค่เพิ่มมาหนึ่งร้อยคนเอง ข้าเหมาหมดคนเดียวเลยก็สิ้นเรื่อง!”
ถ้าให้เจ้าเหมาคนเดียวได้ ข้ายังจะสิ้นเปลืองความพยายามแบบนี้อีกเหรอ? หยางชิ่งเริ่มกลัวแล้ว พบว่าเจ้าเวรนี่ไว้ใจไม่ได้เลย พอรู้สึกว่ายุ่งยากนิดหน่อยก็ไม่ทนแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะทำแบบนี้ จึงรีบพูดห้าม “ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไปทำโดยที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้สั่ง เกรงว่าจะทำให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่พอใจ”
เขามาที่นี่หลายวันแล้ว พอจะมองออกอยู่บ้าง ว่าท่านนี้กลัวเหมียวอี้ยู่นิดหน่อย เขาทำได้เพียงอ้างเหมียวอี้
เป็นอย่างที่คาดไว้ พอได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไม่พอใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะดูดฟันตัวเอง กล่าวเหมือนปวดประสาทมากว่า “น้องหนิวคนนี้อะไรก็ดีหมด เพียงแต่เจ้าอารมณ์ไปหน่อย เอะอะก็จะตัดหัว เฮ้อ! ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากแล้ว จะได้ไม่ต้องกลับไปแล้วอธิบายลำบาก วางใจเถอะ อย่างมากข้าก็แค่ต้องไปเยี่ยมเจ็ดคนนั้นถึงบ้าน ถ้ากล้ากลับคำพูดเรื่องที่ตอบตกลงไว้แล้ว ปู่คนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”
“ผู้บัญชาการใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!” หยางชิ่งกุมหมัดขอบคุณ แล้วพลิกฝ่ามือนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาวางตรงหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยเหลือขนาดนี้ ก่อนที่จะมา ผู้บัญชาการใหญ่หนิวฝากฝังเป็นพิเศษว่าให้มอบน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ให้ผู้บัญชาการใหญ่ หวังว่าจะไม่รังเกียจขอรับ”
“ของอะไรกัน!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพึมพำ ถือโอกาสหยิบมาดู หลังจากเห็นชัดว่าของข้างในคืออะไร ดวงตาทั้งคู่ก็ลุกวาวทันที เงยหน้าถามอย่างตกตะลึงว่า “นี่น้องหนิวให้ข้าหมดเลยเหรอ?”
“ขอรับ!” หยางชิ่งยิ้ม
“ไอ๊หยา! น้องหนิวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นน้ำใจที่มอบให้ งั้นถ้าข้าปฏิเสธก็จะถือว่าไม่เคารพแล้ว” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูกคลำกำไลด้วยความโปรดปรานจนวางไม่ลง แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก เลิกคิ้วถามว่า “ของที่น้องหนิวสั่งให้เจ้าเอามาให้ข้าอยู่ในนี้หมดแล้วนะ? เจ้าไม่ได้เก็บไว้ส่วนตัวใช่มั้ย?”
“มิบังอาจแน่นอน! เดี๋ยวผู้บัญชาการใหญ่ไปตรวจสอบจำนวนกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็จะรู้เอง ข้าน้อยไม่กล้าเล่นตุกติกหรอก” หยางชิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพ่นเสียงทางจมูกสองที แล้วบอกว่า “รู้แล้วก็ดี!”
หยางชิ่งกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “เออใช่ ก่อนที่จะมาที่นี่ ผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้าน้อยเตือนผู้บัญชาการใหญ่ไว้ด้วย ว่าของที่นำมาให้ผู้บัญชาการใหญ่ล้วนเป็นของที่แอบหักไว้ส่วนตัวตอนค้นยึดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ถ้ามันรั่วไหลออกไปเมื่อไร เกรงว่าถึงตอนนั้นเบื้องบนก็จะสั่งให้ผู้บัญชาการใหญ่คายของออกมาเช่นกัน ดังนั้นเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวฝากฝังผู้บัญชาการใหญ่ไว้ จะต้องปิดปากให้มิด ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเกี่ยวข้องกับผู้บัญชาการใหญ่หนิว…ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวล่วงเกินคนอื่นไว้มากมาย จะต้องมีคนถือโอกาสนี้สร้างเรื่องแน่นอน สืบสาวไปถึงตัวผู้บัญชาการใหญ่หนิวจริงๆ เกรงว่าหลักฐานพวกนี้ก็จะต้องส่งมอบขึ้นไปเหมือนกัน”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงจับกำไลเก็บสมบัติไว้แน่นทันที พร้อมกล่าวด้วยสายตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวว่า “พวกฝานอวี้เฟยเป็นลูกน้องเก่าของน้องชายข้า ข้าย้ายกำลังคนมาจากลูกน้องเก่าของน้องชายนิดหน่อยจะเกี่ยวอะไรกับน้องหนิว? มีแต่คนขี้บ่นพูดมากไม่รู้จักหยุดอย่างเจ้านั่นแหละ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไว้ใจไม่ได้ ข้าขอเตือนเจ้าไว้นะ ถ้ากล้าเปิดเผยเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ ก็อย่าหาว่าปู่คนนี้ไม่เกรงใจ!”
หยางชิ่งพูดไม่ออก พบว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทอง ท่านนี้ก็สมองใสปราดเปรื่องมาก!
เวลาของแดนฝึกตนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสองร้อยปีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล ถือเป็นช่วงเวลาที่สงบเงียบสำหรับเหมียวอี้
ในห้องสมาธิ ดอกบัวสีทองห้ากลีบตรงหว่างคิ้วค่อยๆ เบ่งบานอีกกลีบอย่างงดงามเรืองรอง วรยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว บงกชทองขั้นหก!
ยาแก่นเซียนหนึ่งกำที่หมุนวนอยู่รอบกายระเบิดกลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเหมือนน้ำนม เขาทดสอบความคืบหน้าในการฝึกตนอีกครั้ง
ยาเม็ดโลหิตที่ได้มาจากปีศาจโลหิตก็ใช้ไปหมดแล้ว เขาใช้ยาแก่นเซียนจำนวนมากตั้งนานแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิและดูดซับพลังจิตวิญญาณจดหมดเกลี้ยงก็ลืมตาขึ้น แล้วนับนิ้วคำนวณ
ความเร็วในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนแต่ละวันเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าตัว ตอนนี้กลั่นกรองได้สามร้อยสามสิบเม็ดแล้ว ถ้าอยากจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นเจ็ด ก็เกรงว่าต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกห้าสิบล้านกว่าเม็ด คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสี่ร้อยห้าสิบกว่าปีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ เวลามีเหลือเฟือ แต่ช่วยไม่ได้ที่เรื่องกวนใจรอบกายไม่เคยคอยใคร เขาหลับตาฝึกฝนต่อไปอีก
ทว่าอยู่อย่างสงบเงียบได้เพียงสองปี การทดสอบระยะเวลาสองร้อยปีที่แดนอเวจีก็กำลังจะจบลงแล้ว ทางนรกส่งข่าวมาแล้ว
“ถุย…”
สาวสวยพริ้มเพราคนหนึ่งที่ผมยาวประบ่าโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล พอโผล่หน้าขึ้นมา ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพ่นเสาน้ำขึ้นมา
ปี้เย่วฮูหยินที่ยืนอยู่บนชายหาดถลึงตา ยืนเท้าเอวสองข้างพร้อมตะโกนว่า “ซินเอ๋อร์ ยังไม่รีบกลับมาอีก เด็กผู้หญิงมาเล่นน้ำกลางแจ้งกลางวันแสกๆ แบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย! ยังไม่ไสหัวกลับมาฝึกตนอีก!”
“คิคิ…คิคิ!”
เสียงหัวเราะที่ใสเหมือนระฆังดังมาจากผิวทะเล สาวน้อยใช้สองมือทำท่าเหมือนโทรโข่ง ตะโกนว่า “ท่านแม่! ขอเล่นอีกประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว…”
เงาคนคนหนึ่งแฉลบเข้ามา ร่างของไห่ยวนเค่อเหาะลงมาจากฟ้า แล้วยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างกายปี้เย่วฮูหยิน ยังคงแต่งกายเหมือนในปีนั้น มองดูลูกสาวเล่นน้ำทะเลด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปี้เย่วฮูหยินหันมาย่อตัวคำนับทันที
สาวน้อยที่โผล่แขนเหนือผิวทะเลแลบลิ้นสีแดงสดออกมาทันที เหมือนจะกลัวนิดหน่อย รีบลอยขึ้นมาเหยียบบนคลื่น ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง ได้รับถ่ายทอดหน้าตามาจากส่วนดีของพ่อและแม่ จึงงามหยาดเยิ้มราวกับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ ลักษณะท่าทางก็อ่อนโยน เรือนร่างลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ ชุดกระโปรดแนบติดลำตัว มีส่วนเว้าส่วนโค้งอ่อนช้อย ราวกับหยกงามที่สลักออกมา พอไอน้ำแผ่กระจายรอบกาย เสื้อผ้าที่แนบติดลำตัวก็เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนปลิวพลิ้ว นางลอยติดผิวน้ำเข้ามาเหยียบลงข้างกายไห่ยวนเค่อกับปี้เย่วฮูหยิน แล้วกล่าวเรียกเสียงหวานอย่างน่าเอ็นดูว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
สาวน้อยคนนี้ก็คือลูกสาวของไห่ยวนเค่อกับปี้เย่วฮูหยิน ชื่อว่าไห่ผิงซิน ตอนที่ตั้งชื่อ ปี้เย่วฮูหยินเคยถามไห่ยวนเค่อว่าทำไมจึงตั้งชื่อนี้ให้ลูกสาว ไห่ยวนเค่อบอกว่า ไม่ว่าในอนาคตจะประสบกับเรื่องอะไรก็ล้วนสามารถก้าวข้ามไปได้ด้วยใจที่สงบเยือกเย็น
นี่ยังไม่เท่าไร ปี้เย่วฮูหยินหวังว่าไห่ยวนเค่อจะถ่ายทอดวิชาที่ลึกล้ำให้กับลูกสาวตัวเอง แต่ไห่ยวนเค่อบอกเพียงว่า “ในภายหลังค่อยว่ากัน”
เมื่อเผชิญหน้ากับลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า ไห่ยวนเค่อไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันตัวเดินเข้าไปในจวนแล้ว
ปี้เย่วฮูหยินกลับรีบบิดหูลูกสาว พร้อมตำหนิว่า “นางเด็กแก่นแก้ว ถ้าครั้งหน้ากล้าหนีออกมาเล่นน้ำอีก ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง!”
“ไม่กล้าแล้วค่ะ ไม่กล้าแล้ว” ไห่ผิงซินขอร้องซ้ำๆ กว่าจะรอดตัว นางเอามือนวดหูพลางเดินตามหลังไห่ยวนเค่อที่อยู่ไกลๆ แต่ปากก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามมารดาที่เดินอยู่ข้างกายว่า “ท่านแม่ ทำไมข้าไม่เคยเห็นท่านพ่อยิ้มเลยล่ะ?”
ข้างหน้า ไห่ยวนเค่อที่ได้ยินแบบนั้นกระตุกมุมปากเล็กน้อย แววตาที่อมทุกข์ยังคงสงบนิ่ง
“อ๊า…” ไห่ผิงซินร้องอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง นางกำลังนินทาบิดาลับหลัง จึงโดนปี้เย่วฮูหยินดึงหูอีกแล้ว
หญิงรับใช้สามคนกำลังเดินตามหลังครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกสามคนนี้
หลังจากเข้ามาที่เรือนพักด้านในจวน จู่ๆ ไห่ยวนเค่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันตัวมาบอกปี้เย่วฮูหยินว่า “มาคุยกับข้าสักหน่อย”
ปี้เย่วฮูหยินหันกลับมากำชับให้หญิงรับใช้สามคนดูแลลูกสาวทันที เสร็จแล้วถึงเดินตามไห่ยวนเค่อออกมาจากประตูด้านหลัง เดินเข้ามาในศาลาริมทะเล
ไห่ยวนเค่อที่เดินนำมาก่อนหันตัวมา แล้วยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ตรงหน้านาง
ปี้เย่วฮูหยินงงทันที ถามอย่างแปลกใจว่า “อะไรเหรอ?”
“ของที่แย่งชิงมาจากตัวเจ้าในปีนั้น ช่วยนำกลับมาคืนให้เจ้าโดยไม่แตะต้องอะไรตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยคืนให้เจ้าเลย เจ้าลองดูสิว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า” ไห่ยวนเค่อตอบ
…………………………