“…” ปี้เยว่ฮูหยินมองดูกำไลเก็บสมบัติของเขาด้วยความตะลึงงัน ในดวงตาเริ่มฉายแววงุนงงทีละนิด ลังเลนิดหน่อยว่าจะรับหรือไม่รับดี
ทั้งสองหยุดนิ่งอยู่ในท่าทางเดิม หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เห็นปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือออกมาหยิบกำไลเก็บสมบัติในมือเขาอย่างช้าๆ ใช้นิ้วหัวแม่มึงสองข้างวาดแตะบนผิวกำไล สุดท้ายก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของที่อยู่ข้างใน
ของที่คุ้นเคยปรากฏสู่ม่านตาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ของบางอย่างท่านโหวเทียนหยวนเป็นคนมอบให้นาง นางเหม่อลอยนิดหน่อย ไม่รู้ด้วยว่าของที่อยู่ข้างในครบหรือไม่
ไห่ยวนเค่อหันตัวมาพิงระเบียง รอดูปฏิกิริยาของนาง
ผ่านไปพักใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้สติกลับมา ขณะมองดูแผ่นหลังของเขา ก็ถามว่า “ทำไมถึงคืนให้ข้า?”
“การทดสอบสองร้อยปีกำลังจะจบแล้ว” ไห่ยวนเค่อตอบขณะที่หันหลังให้
ร่างงามของปี้เยว่ฮูหยินสั่นเทิ้มทันที “หมายความว่ายังไง?”
“หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยคิดจะออกจากที่นี่เชียวเหรอ?” ไห่ยวนเค่อถาม
“ไม่เคย! ที่นี่ก็คือบ้านของข้า” ปี้เยว่ฮูหยินยืนยัน แต่ดวงตาที่ฉายแววกินปูนร้อนท้องนั้นยากจะปิดบังไว้ได้
ทำไมจะไม่เคยคิดออกจากที่นี่ล่ะ! ตราบใดที่เป็นคนปกติ ก็เกรงว่าคงไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรอก
ในตอนแรก นางไม่กล้าคิดเรื่องออกจากที่นี่ ตอนหลังพอมีลูกแล้ว ความคิดที่จะออกจากที่นี่ก็เจือจางลง ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นางจึงไม่คิดเรื่องอื่น มองเห็นที่นี่เป็นบ้านแล้วจริงๆ
แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่สมัครใจจะอยู่อย่างหงอยเหงาจริงๆ ผู้หญิงคือดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางเกียรติอันจอมปลอม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยๆ ก็ยิ่งยากที่จะสมัครใจช่วยเหลือสามี สั่งสอนบุตรวันแล้ววันเล่าซ้ำแบบเดิม
โลกภายนอกเจริญเฟืองฟูไร้ที่สิ้นสุด ที่นี่จืดชืดหงอยเหงา รอบข้างเป็นทะเลกว้างที่ซ้อนกันเหมือนเดิม ความรุ่งเรืองที่นางมีตอนเป็นฮูหยินท่านโหวอยู่ข้างนอกทำให้นางพึงพอใจมาก นางสามารถเสพสุขจากเกียรติอันจอมปลอมต่างๆ ที่มากับฐานะอันสูงส่งของตำหนักสวรรค์ ถ้าพูดถึงอำนาจและชื่อเสียง ท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถือรองเท้าให้ไห่ยวนเค่อด้วยซ้ำ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ เป็นฮูหยินของไห่ยวนเค่อแล้วยังไงล่ะ? ก็ได้แค่โดนขังอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ดี ไห่ยวนเค่อไม่ให้นางเพ่นพ่านไปที่ไหนซี้ซั้ว
ต่อให้นางเพ่นพ่านไปทั่วได้ แต่นางก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าแดนอเวจีไม่ใช่สถานที่น่าชมน่ามองอะไรเลย สภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ดวงนี้ยังนับว่าดีหน่อย
แต่ทรัพยากรฝึกตนของที่นี่ขาดแคลนมาก เพื่อที่จะทำให้จิตใจของคนมั่นคง ได้ยินว่าทรัพยากรที่ปล้นได้จากตัวผู้เข้าร่วมทดสอบจะถูกแบ่งให้กำลังพลเบื้องล่างทั้งหมด ดังนั้นแม้แต่ไห่ยวนเค่อเองก็ไม่มีทางหาทรัพยากรฝึกตนมาเลี้ยงนางได้ ทำได้เพียงเติมเต็มให้ลูกสาวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะ นางไม่มีทางจินตนาการสภาพตัวเองหลังจากแก่แล้วได้เลย
ความจืดชืดไร้รสชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับคนที่คุ้นชินกับความมีหน้ามีตาข้างนอกอย่างนาง ความรู้สึกในตอนนี้ยากที่จะบรรยายออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาการทดสอบที่ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ในใจนางรู้อย่างชัดเจน ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่นางจะได้ออกไปจากที่นี่ แต่นางไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมา เพราะไม่มีความเป็นไปได้อะไรที่จะออกจากที่นี่ได้เลย!
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีพันธนาการอยู่ที่นี่แล้ว
ไห่ยวนเค่อกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเคยคิดหรือไม่…พวกเราโดนขังอยู่ที่นี่ด้วยความจนใจ ที่นี่ไม่เหมาะสมกับเจ้า และไม่เหมาะสมกับใครทั้งนั้น ตอนนี้เจ้าไม่โอกาสไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะดึงรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ไปเถอะ กลับไปเถอะ”
ปี้เยว่ฮูหยินกังวลว่าเขาจะกำลังหยั่งเชิงตัวเอง จึงเดินไปข้างหลังเขา เอามือโอบเอวเขา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากไปจากเจ้า”
ไห่ยวนเค่อให้เหตุผลที่ดีมากเพื่อให้นางออกไปจากที่นี่ “เจ้าพาซินเอ๋อร์ออกไปด้วยกันได้มั้ย? ข้าไม่อาจปล่อยให้นางโดนขังอยู่ที่นี่ทั้งชีวิต”
ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งทันที ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมเขาถึงให้ตนออกไปจากที่นี่ ที่แท้นางก็ได้อาศัยบารมีจากลูกสาวนี่เอง นางเงียบไปครู่หนึ่ง คลายแขนสองข้างออก แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างผิดหวังว่า “ต่อให้ข้าออกไปได้ แต่ก็ไม่มีทางพาซินเอ๋อร์ออกไปได้ เพราะตอนเข้าออกแดนอเวจีจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่มีทางพาคนออกไปได้”
นางไม่มีทางพูดโกหกว่าออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้นางจะหนีออกจากที่นี่ได้ แต่ถ้าฝั่งนี้เปิดเผยเรื่องที่นางแต่งงานคลอดลูกที่นี่ เกรงว่าต่อให้ท่านโหวเทียนหยวนจะฆ่านางทิ้งก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ บางทีถ้าคนในนรกพูดอาจจะไม่มีใครเชื่อ แต่ที่นี่ยังมีคนของตำหนักสวรรค์อีกสามคน เป็นประจักษ์พยานกับทุกสิ่งที่นางทำแล้ว ถ้าปล่อยใครไปสักคน นางก็จะต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมา
ไห่ยวนเค่อหันตัวมามองนาง แล้วบอกว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวที่เจ้าจะได้ออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องกลับไป ต่อให้ทำเพื่อซินเอ๋อร์เจ้าก็ต้องกลับไป”
ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ามองเขา แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เพราะอะไร?”
“ถ้าเจ้าอยู่ข้างนอกถึงจะดูแลนางได้ดียิ่งขึ้น” ไห่ยวนเค่อถาม
“แต่ข้าไม่มีทางพานางออกไปได้” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าว
ไห่ยวนเค่อบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะคิดหาทางเอง ถ้ามีโอกาสเหมาะข้าจะคิดหาทางรวมกลุ่มรุกโจมตีใหญ่สักครั้ง หาวิธีโจมตีให้เกิดช่องโหว่ตรงทางออก ข้าจะออกไปได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ตราบใดที่หาโอกาสส่งซินเอ๋อร์ออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว ข้างนอกยังมีลูกน้องเก่าของข้าอยู่บ้าง จะมีคนส่งตัวซินเอ๋อร์ไปให้เจ้าเอง”
ปี้เยว่ฮูหยินใจสั่นหวาดหวั่น จ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าออกไปจริงเหรอ?”
ไห่ยวนเค่อตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้เจ้าจากไป เพียงแต่ไม่อยากให้ซินเอ๋อร์โดนขังอยู่ที่นี่ตลอดไป ที่นี่ขาดทรัพยากรฝึกตน หรือเจ้าหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็นนางแก่กว่าพวกเรา”
“ข้าถามอะไรเจ้าสักอย่างได้มั้ย?”
“ว่ามา!”
ปี้เยว่ฮูหยินลังเลอยู่หลายครั้ง ก่อนจะถามว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากับตำหนักสวรรค์กำลังสู้กัน ทั้งสองฝ่ายสามารถควบคุมแนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าได้ แพ้เป็นโจร ชนะเป็นกษัตริย์ ส่วนขั้นตอนระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไร ก็เล็กน้อยต่ำต้อยจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึงในสายตาพวกเจ้า เหมือนตัวละครเล็กๆ อย่างข้า ในสายตาของพวกเจ้าก็ไม่นับว่าสำคัญอะไรหรอก ข้าเพียงอยากจะรู้ ว่าที่เจ้าแต่งงานกับข้า แล้วตอนนี้ก็จะปล่อยข้าไปอีก เป็นเพราะอยากจะหลอกใช้ข้าใช่มั้ย?” ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย นางก็เสียงสั่นเล็กน้อย
ไห่ยวนเค่อตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าจะใช้ประโยชน์เจ้า ข้าคงไม่ให้เจ้าคลอดซินเอ๋อร์มาเป็นอุปสรรคต่อตัวข้าเองหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง ทางฝั่งนี้มีคนรู้ฐานะของเจ้าไม่เยอะ เมื่ออยู่ที่นี่คำพูดของข้ายังมีน้ำหนักอยู่บ้าง หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะจัดการทางนี้เอง ไม่ให้ใครเปิดโปงสถานการณ์ของเจ้าตอนอยู่ที่นี่หรอก และจะไม่มีใครหลอกใช้ประโยชน์เจ้าด้วย”
ปี้เยว่ฮูหยินคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าจะใช้ประโยชน์นางจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกสาวกับนางเพื่อให้เกิดความทรมาน ถึงอย่างไรนั่นก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา…
“ท่านแม่! วันนี้ไม่ต้องฝึกตนจริงๆ เหรอคะ?”
ไห่ผิงซินที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียงในห้องพลันลืมตาแล้วกระโดดลงจากเตียง ไปยืนอยู่ตรงหน้าปี้เยว่ฮูหยินเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง
ปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือไปลูบใบหน้าลูกสาวด้วยความรักทะนุถนอม ในใจนางรู้อย่างแจ่งแจ้ง ถึงแม้ไห่ยวนเค่อจะพูดแบบนั้น แต่ทางเข้าออกแดนอเวจีมีค่ายกลป้องกันที่ใหญ่และแข็งแกร่งมาก จะโจมตีฝ่าออกไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า หลังจากวันนี้ไปนางอาจจะไม่ได้เจอลูกสาวคนนี้อีกแล้ว การไปครั้งนี้อาจจะเป็นการทอดทิ้งลูกสาวคนนี้ตลอดกาลเลยก็ได้
“วันนี้แม่อยากจะคุยกับเจ้าสักหน่อย! สิ่งนี้มอบให้เจ้า เก็บไว้ใช้เอง” ปี้เยว่ฮูหยินจูงลูกสาวมานั่งลงบนเตียง แล้วหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาใส่ไว้ที่ข้อมือของลูกสาว
“ว้าว! ยาแก่นเซียนเยอะจังเลยค่ะ!” ขณะที่ลูบกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือ ไห่ผิงซินก็ร้องอุทานอย่างดีใจ
ในคืนนี้ ไห่ผิงซินสังเกตเห็นว่ามารดาพูดกับนางเยอะมาก สั่งนางไม่หยุดว่าควรจะดูแลตัวเองอย่างไร
ภายใต้แสงจันทร์ คลื่นคลั่งซัดกระทบฝั่ง ที่ริมหน้าผาด้านบน ไห่ยวนเค่อกับจินม่านยืนเคียงข้างกัน ข้างหลังคือตำหนักอู๋เลี่ยงที่เก่าแก่ กลุ่มดาวหลายกลุ่มส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
จินม่านเอียงหน้าถามว่า “นางตอบตกลงที่จะไปแล้วเหรอ?”
“ตอบตกลงแล้ว” ไห่ยวนเค่อตอบ
จินม่านลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน ดูออกว่าประมุขปราชญ์ก็ไม่กล้าคล้อยตามกับวิธีการนี้เหมือนกัน ถ้าเจ้าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ ข้าก็จะไปปรึกษากับประมุขปราชญ์ บางทีอาจจะหันหลังกลับได้”
ไห่ยวนเค่อตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ช่างแถอะ ที่จริงข้าดูออกตั้งนานแล้ว ว่าหัวใจนางไม่ได้อยู่ที่นี่เลย นางอยากจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากกว่า ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ถ้านางยืนหยัดปฏิเสธที่จะจากไป…แต่ถึงยังไงนางก็ตัดสินใจจะทิ้งซินเอ๋อร์แล้ว ช่างเถอะ ให้นางไปเถอะ”
จินม่านถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว!”
ไห่ยวนเค่อ “ไม่มีอะไรไม่ยุติธรรมหรอก ที่ข้าตอบตกลงในปีนั้น ก็เป็นเพราะเชื่อมั่นในความสามารถของประมุขไป๋ หวังว่าประมุขไป๋จะไม่ทำให้การเสียสละของข้าสูญเปล่า หนี้เลือดของทุกคนในครอบครัวข้ายังรอให้ข้าไปทวงคืนกลับมา ข้าเคยสาบานไว้แล้ว ข้าจะต้องตัดหัวโค่วหลิงซวีด้วยมือตัวเอง ล้างเลือดทั้งตระกูลโค่ว หนี้เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือก!”
“ต้องมีสักวันแน่นอน!” จินม่านตอบ
ไห่ยวนเค่อเงียบไปสักพัก แล้วถามอีกว่า “ธนูเทพสังหารของประมุขขุนพลสามารถส่งซินเอ๋อร์ออกไปอย่างปลอดภัยได้ใช่มั้ย?”
“ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะยังไม่กล้าต่อต้านธนูเทพสังหารของข้าเลย ขอเพียงมีโอกาสเหมาะ ก็น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด” จินม่านตอบ
ไห่ยวนเค่อบอกอีกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซินเอ๋อร์ หวังว่าประมุขขุนพลจะช่วยบอกประมุขปราชญ์ ว่าอย่าทำให้นางลำบาก ถ้าเป็นไปได้โปรดช่วยดูแลแทนด้วย!”
จินม่านพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ…
ฟ้ายังไม่สว่าง ไห่ยวนเค่อยืนอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง เงาร่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ปี้เยว่ฮูหยินเดินออกมาจากห้องนอนของลูกสาวอย่างเงียบๆ ปิดประตูห้องเบาๆ เดินออกมาได้ก้าวหนึ่งก็หันกลับไปสามครั้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่สุดท้ายก็ยังเดินไปพยักหน้าตรงหน้าไห่ยวนเค่อ
ไห่ยวนเค่อโบกมือ เก็บนางเข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้า หายลับไปในขอบฟ้ายามค่ำคืน
ตอนที่เหยียบลงพื้นอีกครั้ง ก็เป็นบนดาวดวงหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางระหว่างทางเข้าออกแดนอเวจีแล้ว เขาเรียกปี้เยว่ฮูหยินออกมาอีก จากนั้นก็ยื่นแผ่นหยกส่งให้ตรงหน้านาง “นี่คือคะแนนทดสอบอย่างดีที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า เพียงพอที่จะทำให้เจ้ารักษาตำแหน่งแม่ทัพภาคไว้ได้ เพียงแต่เจ้าเป็นคนเดียวที่ได้คะแนนส่วนนี้ไป คนที่คุ้นเคยกับเจ้าจะต้องสงสัยแน่ เจ้าเคยคิดรึเปล่าว่าจะอธิบายยังไง?”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้ามีทางอธิบายอยู่แล้ว” ปี้เยว่ฮูหยินตอบ
ไห่ยวนเค่อบอกว่า “เจ้ารักษาตัวด้วย ข้าไปก่อน” พูดจบก็หันตัวกำลังจะจากไป
“ช้าก่อน!” จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็กางแขนสองข้างกอดเขาไว้ กอดไว้อย่างแนบแน่น พร้อมบอกว่า “ถ้ามีการจัดการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์ต่อไป ข้าก็ยังมีโอกาสกลับมาหาเจ้าอีก” จู่ๆ นางก็พบว่าสิ่งที่นางประสบในแดนอเวจีไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ ถ้าได้มาเข้าร่วมทดสอบอีกครั้ง ไห่ยวนเค่อจะต้องช่วยเหลือนางแน่นอน
ไห่ยวนเค่อตบหลังนางเบาๆ แล้วผละนางออก พยักหน้าบอกว่า “ไปเถอะ!”
ขณะมองดูเงาร่างจากไปอย่างรวดเร็ว ปี้เยว่ฮูหยินก็โบกมือส่ง หลังจากมองไม่เห็นเขาแล้ว นางก็รีบมองสำรวจรอบข้าง รีบหาสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยขุดถ้ำเพื่อเข้าไปซ่อนตัว ในบรรดาโจรกบฏหกลัทธิมีคนที่รู้จักนางไม่เยอะ ถ้าถูกพบตัวก็เป็นอันตรายอยู่ดี
หลังจากซ่อนตัวอย่างมั่นใจและเชื่อถือได้แล้ว นางก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านโหวเทียนหยวน ตอนที่ถืออยู่ในมือก็ลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ยังเขย่าระฆังติดต่อไป
พอท่านโหวเทียนหยวนได้ข่าวก็ย่อมตกตะลึงมาก รีบตอบกลับมาว่า : ฮูหยิน เจ้านี่ยังไงกันแน่? ทำไมติดต่อเจ้าแต่เจ้าไม่เคยสนใจเลย?
ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้ายังมีกะจิตกะใจมากพูดแดกดันอีกเหรอ มีโจรกบฏกลุ่มหนึ่งมาพักอยู่ข้างๆ ที่ซ่อนตัวของข้าพอดี ข้าตกใจจนไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ จะกล้าขยับระฆังดาราติดต่อกับพวกเจ้าได้ยังไง บางทีอาจะเป็นเพราะการทดสอบใกล้จะจบแล้ว โจรกบฏกลุ่มนั้นเพิ่งจะย้ายรัง พอพวกนั้นไป ข้าก็ติดต่อกับเจ้าทันที แทนที่จะถามถึงความปลอดภัยของข้า กลับมาดุข้าเสียอย่างนั้น เจ้าลองมาลิ้มรสชาติความเก็บกดเวลาไม่กล้าขยับตัวร้อยสองร้อยปีบ้างมั้ยล่ะ?
…………………………